ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 718 อาวุธกึ่งเทพ (2)
บทที่ 718 อาวุธกึ่งเทพ (2)
ลู่เซิ่งต้องการจะฉวยโอกาสไปดูดซับพลังอาวรณ์ของอาวุธกึ่งเทพชิ้นนี้ตอนมันถูกจัดแสดง
เขาอาศัยอยู่ที่เมืองแสงอรุณมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอาวุธกึ่งเทพ
เขาเคยอัญเชิญจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งระดับกึ่งเทพมาไม่น้อย แต่ว่าเกราะและอาวุธในห้วงอเวจีเสียหายเร็วถึงขีดสุด จึงไม่มีพลังอาวรณ์ฝังตัวอยู่
เหลือแต่อาวุธกึ่งเทพของศาสนจักรเท่านั้น
“คนที่ขนส่งอาวุธกึ่งเทพในครั้งนี้คืออาร์คบิชอปเจทแห่งโบสถ์รุ่งอรุณ ยังมีกองทัพคุ้มกันของโบสถ์อีกสองร้อยกว่าคน”
ลู่เซิ่งประเมินข้อมูลที่เพิ่งได้มาจากเงามารในใจ
รถม้าไปถึงประตูโถงนิทรรศการ
มีขุนนางกับคนชนชั้นสูงในเมืองจำนวนไม่น้อยมาถึงแล้ว
เหล่าองครักษ์ผู้องอาจที่สวมเกราะสีขาวทั้งตัวเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูโถงนิทรรศการ องครักษ์พวกนี้ถืออาวุธที่เหมือนกับสามง่ามไว้ในมือ บ้างก็คุ้มกันอยู่หน้าประตู บ้างก็ลาดตระเวนอยู่รอบๆ
คนเข้าชมที่เข้าๆ ออกๆ มีอยู่ไม่น้อย ไม่ได้มีแค่คนชนชั้นสูงเท่านั้น คนชนชั้นกลางและชาวบ้านธรรมดาส่วนหนึ่งก็มีสิทธิ์เข้าชมโถงนิทรรศการเช่นกัน
ลู่เซิ่งมองผ่านหน้าต่างรถ คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้นวนเวียนอยู่รอบๆ โถงนิทรรศการ
ความศักดิ์สิทธิ์เป็นความรู้สึกที่บรรยายได้ยากยิ่ง มันจะทำให้คนที่สังเกตเห็นรู้สึกเกรงขามจนเกิดความยำเกรงและความเคารพจากจิตใจโดยไม่รู้ตัว
คล้ายกับตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่กำลังก้มมองจากที่สูง
“เจ้าไม่ต้องเข้าไป แม้ข้าจะเปลี่ยนร่างให้เจ้าแล้ว แต่หากเข้าใกล้อาณาเขตการครอบคลุมของแสงศักดิ์สิทธิ์จากเทพมากเกินไปก็ยังถูกพบได้อยู่ดี” ลู่เซิ่งสั่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว” เวสตันพยักหน้า
ลู่เซิ่งผลักประตูรถลงไป จัดโบว์หูกระต่ายที่คอเสื้อ วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสีขาว บวกกับโบว์หูกระต่ายสีแดง
ถ้าไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อทรวงอกกับแขนบึกบึนเกินไป จนทำให้เขาติดกระดุมสองเม็ดด้านบนสุดของเสื้อเชิ้ตไม่ได้ เขาก็ไม่อยากจะผูกโบว์หูกระต่ายเท่าไหร่
“เถ้าแก่ลู่! ไม่เจอกันนาน ดูเหมือนท่านจะล่ำสันขึ้นอีกแล้วนะ!” ชายวัยกลางคนไว้หนวดจิ๋มคนหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ พลางเข้ามาใกล้
“อ้าว? ศาสตราจารย์กรีนนี่นา ท่านเองก็มาชมกระบี่แห่งแสงอรุณเหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งรีบยื่นมือออกไปจับกับอีกฝ่าย
“ใช่แล้ว…ยังไงมันก็เป็นอาวุธเทพระดับตำนานในประวัติศาสตร์ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ได้เห็นคือห้าปีก่อน พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว”
ศาสตราจารย์กรีนเป็นศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์ในสถาบันที่ลู่หงเย่เรียนอยู่ เป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างแท้จริงที่สถาบันแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการ
แต่เขาไม่อยากให้คนอื่นๆ เรียกตำแหน่งของเขา ชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าศาสตราจารย์มากกว่า
“เถ้าแก่ลู่สนใจของพวกนี้ด้วยหรือนี่ หายากจริงๆ” เขาหมุนตัวไปมองลู่เซิ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถึงข้าจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ก็สนใจของพวกนี้เหมือนกันนั่นแหละ เข้าไปดูด้วยกันไหม” ลู่เซิ่งเสนอด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนๆ!”
ทั้งสองทยอยเดินเข้าโถงนิทรรศการ
ด้านในมีคนอยู่ไม่น้อย ราคาของบัตรเข้าชมคือหนึ่งโกลด์ สำหรับครอบครัวทั่วไปแล้ว นี่เป็นรายจ่ายที่ไม่น้อยทีเดียว เทียบได้กับค่าใช้จ่ายสามวันของครอบครัวสามคน
ถึงแม้คนทั่วไปจะดูได้ แต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อเข้ามาดูอย่างเดียว
แต่สำหรับชนชั้นกลางและชนชั้นสูงแล้ว เงินแค่นี้ไม่สำคัญอะไร
หลังจากเข้ามาในโถงนิทรรศการ ลู่เซิ่งก็เห็นกระบี่ยาวสีทองขนาดยักษ์ที่ใช้กล่องคริสตัลทรงขนมเปียกปูนปิดผนึกไว้ ลอยอยู่เหนือโถงนิทรรศการ
บนกระบี่ยาวมีลวดลายรูปนกและอัศวิน ด้ามกระบี่พันผ้าหลากสีไว้ ดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ แต่ว่าประกายสีทองบนคมกระบี่กลับกลบความไม่เข้ากันทั้งหมดไป
พอเห็นกระบี่ยาว ลู่เซิ่งก็พลันนึกถึงกำไลอันเล็กที่กิ้งก่าสีทองตัวน้อยเอาออกมา เขาลืมไปเสียแล้ว กำไลอันนั้นจะมีพลังอาวรณ์อยู่ไหมนะ
‘เอาพลังอาวรณ์บนกระบี่เล่มนี้มาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน’ เขาเยือกเย็นลง
ไม่ได้ปล่อยการสัมผัสด้วยจิตวิญญาณออกไปด้านนอก เพียงแค่รับการกระเพื่อมและการไหลเวียนของคลื่นพลังรอบๆ เท่านั้น จากนั้นก็แยกแยะจำนวนของผู้เข้มแข็งที่อยู่ด้านนอกออก
‘ระดับตำนานหนึ่ง ระดับทองคำห้า กองกำลังแบบนี้ไปอยู่ไหนก็ไม่นับว่าแย่ บวกกับไม่มีคนกล้าลงมือกับอาวุธกึ่งเทพของโบสถ์เทพเจ้าอยู่แล้ว ไม่ถือว่าเลินเล่อ’
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย แล้วเงยหน้ามองประกายสีทองที่ส่องสว่างบนตัวกระบี่สีทองเล่มยาว
เขากำลังพิจารณาอยู่ว่าจะใช้วิธีไหนสัมผัสอาวุธกึ่งเทพดี การลงมือโดยตรงสะดุดตาเกินไป เขายังไม่อยากเปิดศึกกับพวกเทพเจ้า การชิงอาวุธเทพก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน
‘ทำยังไงดีนะ’ เขาลูบคาง…
ใช้เวทมนตร์หรือ ต่อให้เขาเป็นจอมเวทระดับตำนาน ถ้าอยากจะสัมผัสกับอาวุธกึ่งเทพโดยไม่สร้างความตื่นตัวให้คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ยิ่งอย่าว่าแต่ยังต้องป้องกันไม่ให้สถานะรั่วไหลด้วย
‘ดูเหมือนได้แต่ต้องขโมยแล้วสิ…’ เขาไม่ได้จะขโมยจริงๆ เพียงแต่ชิงมาชั่วคราวเท่านั้น หลังจากดูดซับพลังอาวรณ์หมดแล้วค่อยวางกลับที่เดิม
‘ดังนั้น ขอแค่สร้างสถานการณ์ขโมยแบบหลอกๆ ก็พอ’ ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปด้านหน้ากำแพง ทำเป็นชมภาพน้ำมันรูปโบสถ์ที่แขวนอยู่
‘ขอลองดูหน่อยว่าอาวุธกึ่งเทพมีความสำคัญขนาดไหน…’ ลู่เซิ่งมองอาร์คบิชอปซึ่งกำลังท่องคำสอนเสียงดังที่อยู่ไม่ไกลออกไป คนคนนี้คือระดับตำนานเพียงคนเดียวในนี้
คนที่ยืนอยู่รอบๆ ตัวเขาคือหัวหน้าทหารองครักษ์ของโบสถ์ ต่างเป็นยอดฝีมือระดับทองคำ ถัดไปด้านหลังเขาสังเกตเห็นหญิงสาวอายุสิบกว่าปีที่มีอายุพอๆ กับลู่หงเย่ยืนอยู่ใกล้ตัวอาร์คบิชอป
หญิงสาวคนนั้นมีดวงตาสีเขียวมรกต ผมยาวสีทองที่อ่อนนุ่มถูกลมอ่อนๆ พัดจนโบกไสวอย่างต่อเนื่อง
แม้หน้าตาจะดูน่าเอ็นดู แต่ก็ไม่นับว่าสวย ได้แต่นับว่ามีเสน่ห์ไม่เลว
ตอนที่ลู่เซิ่งมองไป ไม่ทราบว่าหญิงสาวคนนั้นมองเขาและยิ้มพลางพยักหน้าให้แก่เขาอย่างเป็นมิตรได้อย่างไร
‘น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้างุนงง จากนั้นก็ยิ้มตอบอีกฝ่าย
โบสถ์จะจัดแสดงห้าวัน เขาจึงไม่รีบร้อน
ลู่เซิ่งยืนชมอยู่ที่เดิมอีกสักพัก จากนั้นก็ออกจากโถงไป
วันต่อมา เขายังคงมาชมอาวุธเทพ
วันที่สาม…
วันที่สี่…
จนกระทั่งถึงวันที่ห้า
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ตัดสินใจลงมือ งานนิทรรศการถึงช่วงสุดท้ายพอดี
ติ๊ง…ติ๊ง…
เสียงกระดิ่งเงินเสนาะหูดังไปรอบบริเวณในตอนที่อาร์คบิชอปสะบัดน้ำมนตร์
ทุกคนต่างกำลังอธิษฐาน บางคนก็อธิษฐานอย่างจริงใจ แต่ส่วนใหญ่แค่เสแสร้งแกล้งทำเพื่อแสดงความเคารพต่อเทพแห่งรุ่งอรุณเท่านั้น
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในฝูงชน เพียงรอให้การอธิษฐานจบลง แล้วจะลงมือปล้นปลอมๆ ในตอนที่นิทรรศการช่วงบ่ายเริ่มต้น
“ทางนี้ๆ” อยู่ๆ เสียงเรียกอันแสนเบาก็ดังเข้าหูเขาจากที่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
หญิงสาวงดงามเจ้าของเรือนผมสีทองคนหนึ่งสวมเดรสสีขาวแนบเนื้อเดินเข้าโถงมา โดยที่ด้านหลังมีเด็กผู้หญิงหน้าตาหมดจดที่ลู่เซิ่งรู้จักคุ้นเคยดีคนหนึ่งคอยติดตาม
‘หงเย่?!’ ลู่เซิ่งหยีตา เขาสั่งให้หงเย่ทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมสอบอยู่ที่บ้านแล้วแท้ๆ แม่หนูนี่กล้าแอบหนีออกมาเองโดยไม่ฟังคำสั่งเขางั้นหรือ?!
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็คิดจะเข้าไปหาเพื่อสั่งสอนลูกบุญธรรมของตัวเองเพื่อให้นางหลาบจำเสียหน่อย
ทว่าอยู่ๆ หางตาก็เหลือบมองไปด้านข้าง หญิงสาวดวงตาสีเขียวมรกตที่คอยติดตามอาร์คบิชอปคนนั้นกำลังเข้าใกล้ลู่หงเย่อย่างช้าๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ทหารคุ้มครองโบสถ์หลายคนที่อยู่รอบๆ ก็กำลังเข้ามาใกล้ทางด้านนี้โดยไม่ให้รู้ตัว โดยโอบล้อมพวกลู่หงเย่ไว้ตรงกลางเช่นกัน
“ระวังตัวหน่อยนะเพคะ ปกติเทพแห่งรุ่งอรุณไม่ถูกกับเทพมังกร เพราะผู้แทนคนหนึ่งของเทพแห่งรุ่งอรุณถูกราชามังกรทองรุ่นก่อนฆ่าตาย พวกเราแค่มองอาวุธกึ่งเทพอยู่ไกลๆ แล้วค่อยไปเถอะนะเพคะ” มีซูอธิบายแผนการในครั้งนี้ให้ลู่หงเย่ฟังเบาๆ
“กระบี่แห่งแสงอรุณไม่เพียงเป็นอาวุธกึ่งเทพทั่วไป ยังมีผลงานอันเจิดจรัสที่เคยสังหารมังกรทองและมังกรนิลสิบกว่าตัว ถือว่าเป็นอาวุธสังหารมังกรเล่มหนึ่ง จึงมีพลังกดข่มต่อพวกเราในระดับหนึ่ง ต่อจากนี้ถ้าท่านเจอเข้าจะต้องรีบหนีให้ไวนะเพคะ”
“ถูกต้อง ข้าสัมผัสคลื่นพลังคุกคามที่วนเวียนอยู่ตรงนั้นได้แล้ว” ตอนนี้ลู่หงเย่ใช้ความสามารถตรวจจับคลื่นพลังขั้นต้นบางส่วนได้บ้างแล้ว
แม้จะไม่ได้คล่องนัก แต่ก็ยังคงสัมผัสกระบี่แห่งแสงอรุณที่มีความรู้สึกในการดำรงอยู่รุนแรงถึงขีดสุดได้
“ขออภัย…ท่านคือฝ่าบาท…ฌาร์อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวตาสีมรกตไม่ทราบเดินไปอยู่ใกล้ๆ ลู่หงเย่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วต่ำด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า!?” มีซูตื่นตระหนก การถูกคนเรียกสถานะแท้จริงอย่างกะทันหันไม่อยู่ในความคาดหมายของนาง
แต่นางไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว รีบฉุดหงเย่วิ่งออกจากโถงทันที
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าเร่งร้อน ไม่ทราบว่าด้านนอกโถงว่างเปล่าไม่เหลือใครสักคนเดียวตั้งแต่ตอนไหน
รอบๆ มีหมอกลวงจำนวนมากโผล่มา เงาคนผมสีทองสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกลวง ขวางเส้นทางของทั้งสองไว้ เป็นหญิงสาวตามรกตคนเมื่อครู่นั่นเอง
“แก! พวกแกไม่สนใจข้อตกลงของเหล่าเทพหรือ!?” มีซูตะโกน
หญิงสาวเพียงยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับ
ทหารองครักษ์คนอื่นๆ ที่อยู่ท่ามกลางหมอกลวงพากันหยิบอาวุธและย่างสามขุมเข้ามา นี่แสดงให้เห็นถึงท่าทีของพวกเขาแล้ว
“หนี!” มีซูรู้ว่าตัวเองไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้ จึงหมุนตัวอุ้มหงเย่แล้วออกวิ่ง ก่อนจะหายไปในหมอกหนาทันที
“ข้ามาหาพวกท่านโดยเฉพาะเลยนะ…” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือเข้าหาคนทั้งสองจากระยะไกล
“แอนเดรีย เจ้าจะลงมือที่นี่จริงๆ งั้นหรือ”
อยู่ๆ หมอกลวงด้านหลังหญิงสาวก็กระจายออกโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นชายร่างใหญ่ที่สูงชะลูดและกำยำ เขาใส่ต่างหูทองคำที่ประณีตไว้ที่หูข้างหนึ่ง รวมถึงฝังคริสตัลสีทองแคบยาวเม็ดหนึ่งไว้กลางแขน
“ผู้อาวุโสคริส ลองคำนวณดู พวกเราไม่ได้เจอกันมาสามร้อยปีแล้วใช่ไหม” หญิงสาวหมุนตัวไปมองอีกฝ่าย
“เผ่ามังกรทองของพวกเจ้าไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือเขตของข้า”
คริสเพิ่งจะสัมผัสความผิดปกติได้ จึงรีบรุดมาทันที แต่ตอนที่เห็นหญิงสาวผมทองเข้า เขาเคร่งเครียดเล็กน้อย
เขารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นใคร ผู้ได้รับเลือกแห่งรุ่งอรุณ แอนเดรีย ฟีลพุสการ์ด
“ถ้าแกอยากเปิดศึก พวกเราก็พร้อมสนอง” เขาเอ่ยเสียงเย็น
“ขออภัย ข้าแค่เกิดอยากเห็นราชินีมังกรทองในอนาคตก็แค่นั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลย” หญิงสาวชูสองมือขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
…
ด้านในโถง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลดมือขวาที่ยกขึ้นลง สายตาตกลงบนอาวุธกึ่งเทพกลางอากาศอีกครั้ง
‘บอกให้ชัดๆ ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว…ข้ามันพวกขี้กลัว ตกใจอะไรง่ายๆ’
หากฟันมือเมื่อครู่ลงไป ทุกคนที่อยู่รอบๆ นอกจากลู่หงเย่ล้วนต้องตาย
มือของจอมเวทระดับสูงขั้นสามพันหกร้อยกว่าสามารถบดขยี้เมืองแสงอรุณให้จนราบกลายเป็นหน้ากลอง พร้อมกับสร้างหลุมลึกมากกว่าพันหมี่ขึ้นบนพื้นได้
ถ้าเด็กนั่นนั่นพูดช้าอีกนิด เมืองแสงอรุณต้องเริ่มใหม่แต่ต้นเพื่อฟื้นคืนทิวทัศน์อลังการของป้อมปราการใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อนอีกครั้ง
‘ดูอาวุธกึ่งเทพก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งเก็บพลังมนตราที่รวบรวมไว้บนมือ แล้วบินเข้าไปใกล้กระบี่แห่งแสงอรุณ