ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 719 เขม่า (1)
บทที่ 719 เขม่า (1)
ณ พิภพลี้ลับ
ฟองน้ำเรียวเล็กสีน้ำเงินก้อนหนึ่งลอยอยู่ด้านในวังวนทะเลลึกที่ล้ำลึกไร้ก้น คนคนหนึ่งนั่งอยู่ในฟองน้ำ กำลังหลับตาฝึกฝน รอบๆ ตัวมีปราณวิญญาณพลังงานสีทองที่เหมือนเส้นสายวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
คนผู้นี้ผมขาวหน้าเด็ก ด้านหลังมีแสงสีรุ้งกลุ่มหนึ่งส่องสว่างอยู่รอบๆ เขามัดเชือกหยาบสีขาวไว้บนหน้าผาก บุคลิกล่องลอยเลือนราง
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ ชายชราก็ลืมตาขี้น
‘อยู่ไกลกว่าเดิมแล้ว…ระยะห่างนี้ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะหนีหรอกกระมัง’
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นชี้ไปด้านหน้า
“ใฝ่หาความว่างเปล่า มองเห็นเส้นทาง”
ฟ้าว!
ลวดลายโปร่งแสงจำนวนมากกระเพื่อมบนนิ้วชี้ของเขาในทันที ปลายนิ้วปักเข้าไปในความว่างเปล่าตรงๆ ส่วนหน้าหายเข้าไปในส่วนลึกของมิติ
…
ด้านในโถงนิทรรศการ หมอกขาวกระจัดกระจาย ทุกคนไม่ขยับเขยื้อนเหมือนถูกตรึงเอาไว้
ขณะลู่เซิ่งกำลังเอื้อมมือเข้าหากระบี่แห่งแสงอรุณอันเป็นอาวุธกึ่งเทพนั่นเอง
อยู่ๆ แสงสีทองสว่างไสวสายหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นด้านหลังเขา ความรู้สึกคุกคามที่รุนแรงและบรรยายไม่ได้สายหนึ่งคว้าหัวใจของเขาไว้ในพริบตา
“ใคร!?” เขาระเบิดพลังทั่วร่างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น หมายจะกระแทกพันธนาการจากแสงสีทองออกไป แต่แสงสีทองกะพริบแล้วหายไป เหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน
ลู่เซิ่งรีบชักพลังของร่างหลักกลับ หากระเบิดร่างหลักตรงนี้จริงๆ เกรงว่าอาณาเขตในรัศมีมากกว่าร้อยกิโลเมตรรอบๆ เมืองแสงอรุณจะถูกพลังที่ร่างหลักของเขากระจายออกมาระเบิดเป็นจุณ
หลังจากถึงขอบเขตมายาพิศวง พลังก็พุ่งทะยานแทบตลอดเวลาเหมือนกับนั่งจรวด
นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกคุกคามที่รุนแรงอย่างในตอนนี้
ฮ่า!
ลู่เซิ่งชะงักมือกลางอากาศ พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พร้อมกับระเหยเหงื่อกาฬบนแผ่นหลัง
ถ้าหากบอกว่าก่อนมายังรู้สึกสบายอกสบายใจ เช่นนั้นหลังจากถูกแสงทองกระตุ้นเข้าไป สภาพจิตใจในตอนแรกของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา
ลู่เซิ่งก้มหน้ามองจุดที่แสงทองเพิ่งระเบิด นั่นคือชายเสื้อตรงเอว
ตอนนี้ไม่ทราบว่าบนชายเสื้อมีตัวอักษรเล็กๆ สีทองอ่อนแถวหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
‘นัดหมายหนึ่งร้อยปี จงอย่าลืม’
‘พิภพลี้ลับ…เจ้าลัทธิไม่จีรัง!’ ลู่เซิ่งจิตใจเย็นเยียบ
ถึงกับแจ้งเขาข้ามโลกสองใบได้ ทั้งยังแจ้งเขาที่จุติมายังโลกเบื้องล่างอีก นี่เป็นการเตือน!
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะคาดเดาไว้แล้วเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะต้องทิ้งตราประทับไว้บนตัวเขาแน่ แต่ความสามารถนี้…
เขานึกถึงแสงสีทองที่ทำให้เขาขนลุกขนพองเมื่อก่อนหน้า
‘ทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเราจริงๆ สินะ…’
สีหน้าลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เกิดความคิดนับไม่ถ้วนในพริบตา แต่ยังค่อยๆ เอื้อมมือเข้าหาตู้คริสตัลของอาวุธกึ่งเทพ เอาผลประโยชน์ตรงหน้ามาก่อนค่อยว่ากัน
ฝ่ามือเพิ่งแตะคริสตัลโปร่งแสง ลวดลายสีขาวจำนวนเหลือคณานับบนผิวคริสตัลพลันเรืองแสง พลังในลวดลายกำลังจะระเบิด
ฟ้าว…!
ลวดลายสีแดงที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงสว่างขึ้นบนฝ่ามือของลู่เซิ่งเช่นกัน สองวันมานี้เขาไม่ได้แค่เข้าร่วมนิทรรศการเฉยๆ เท่านั้น
ลวดลายบนฝ่ามือจับคู่กับลวดลายบนคริสตัลเป็นคู่ๆ พอสองสิ่งปะทะกัน ก็เกิดแสงสีขาวจุดหนึ่งสว่างขึ้นทันที ลวดลายสองชนิดดับแสงและหายไปในเวลาเดียวกัน
รู้สึกเหมือนจับเหล็กนาบที่ร้อนลวก พลังที่แข็งแกร่งและร้อนแรงแผดเผาระเบิดออกมาจากในตัวกระบี่ หมายจะดิ้นให้หลุดจากฝ่ามือของเขา
ลู่เซิ่งแค่นเสียง ปราณปฐพีของร่างหลักทะลักออกมาสะกดพลังในพริบตา
กระบี่แห่งแสงอรุณสั่นอย่างไม่ยินยอมอยู่หลายที แล้วเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพลังอาวรณ์ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากก็ไหลเชี่ยวเข้ามา
ผ่านไปสองสามนาที ลู่เซิ่งก็ก้าวออกจากโถงจัดนิทรรศการ ไม่นานก็หายไปยังส่วนลึกของหมอกเข้ม
คาถาเทพของโบสถ์แสงอรุณเป็นเหมือนเวทตรึงร่างสิ่งมีชีวิตในอาณาเขตใหญ่ สามารถหยุดร่างกายและความคิดทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้ มีจอมเวทมากมายเรียกคาถาเทพนี้ว่าหยุดเวลา
สิ่งที่หยุดไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากเวลาชีวิตของตัวสิ่งมีชีวิตเอง น่าเสียดายที่ไม่มีผลต่อลู่เซิ่ง
กลับมาถึงคฤหาสน์ ลู่เซิ่งเข้าห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว แล้วนำวัตถุดิบกางวงแหวนเวทบางส่วนออกมาใหม่ ก่อนจะโผบินไปยังทางเมืองแสงอรุณ
เขาไม่ได้ใช้ประตูข้ามมิติ หากแต่ออกห่างจากที่นี่ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดอย่างคลื่นมนตรา
ข้อความจากเจ้าลัทธิไม่จีรังทำให้เขารู้ว่าบนร่างกายของตัวเองมีเล่ห์กลที่อีกฝ่ายวางไว้ หากไม่กำจัดทิ้ง บางทีถ้าเจอกันครั้งหน้า อีกฝ่ายจะรู้ว่าตนไม่อาจกำจัดความสามารถแค่นี้ได้
หากต้องการสัดส่วนที่มากเท่าเดิมในการร่วมมือครั้งหน้า เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว…
ใต้ฟ้าครามเมฆขาว ลู่เซิ่งเสริมเวทเร้นร่างให้ตัวเอง จากนั้นก็ใช้พลังของร่างหลักเก็บคลื่นพลัง พร้อมกับใช้หลักการร่อนของเครื่องบิน หลังจากลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว เพียงใช้แรงขับแค่เล็กน้อยก็สามารถบินไปได้ไกลมาก
ข้ามเขตเมืองแสงอรุณ จากนั้นก็บินผ่านเมืองที่ไม่รู้จักอีกหลายแห่งและเทือกเขาสูงใหญ่อีกแห่ง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนทุ่งราบที่มีก้อนหินกองระเกะระกะและรกร้างเงียบสงัด
ทุ่งราบสีเขาวอมเทาเกลื่อนไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่หายากและแปลกพิกลหลายก้อน ก้อนหินบางก้อนมีท่วงท่าหลากหลายจนเหมือนกับรูปสลักหินมากกว่า
แสงอาทิตย์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งเมื่ออยู่ที่นี่ จึงดูเย็นเยียบและมืดสลัวกว่าเดิม
ลู่เซิ่งสัมผัสบางสิ่งได้ จึงโฉบลงด้านล่าง ไม่นานก็เข้าใกล้พื้นดิน ก่อนจะลงเหยียบพื้นเบาๆ
‘แดนต้องสาป…’ ลู่เซิ่งนึกถึงแดนต้องห้ามบางส่วนที่ถูกระบุไว้บนแผนที่ของมหาทวีป
ในนั้นมีที่นี่อยู่ด้วย
ในมิติหลักมีสนามรบระหว่างเทพเจ้าและยมโลกหรือห้วงอเวจีอยู่ไม่น้อย แดนต้องสาปเป็นหนึ่งในนั้น
ที่นี่มีการดำรงอยู่ต้องห้ามที่มีอันตรายต่อเหล่าเทพเจ้าและยมโลกอาศัยอยู่
แม้แต่ลู่เซิ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการดำรงอยู่แบบไหนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งเทพเจ้าและยมโลกพร้อมกันได้
‘ที่นี่นี่แหละ พลังต้องสาปของแดนต้องสาปน่าจะเพิ่มอุปสรรคต่อการควบคุมพลังของเจ้าลัทธิไม่จีรังได้ระดับหนึ่ง’
หลังจากมาถึงที่นี่ ลู่เซิ่งค่อยโล่งอกเล็กน้อย เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังสีทองตรงชายเสื้อคลุมเครือลงส่วนหนึ่ง
‘ขุดหลุมก่อนดีกว่า!’ เขาเหลียวมองรอบๆ กางห้านิ้วเป็นกรงเล็บพร้อมกับตะกุยใส่พื้น
สวบ!
พลังงานมนตราไร้รูปร่างกลายเป็นมือแห่งจอมเวทปักเข้าไปในดิน กรวดหินจำนวนมากถูกขุดกระจุย บนพื้นปรากฏหลุมใหญ่ที่ลึกหลายเมตรหลุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ดินโคลนและเศษหินที่ถูกขุดออกมากระจายไปรอบๆ กลบฝังหินผุพังที่เต็มไปด้วยรู
ลู่เซิ่งขุดหลุมอย่างต่อเนื่อง
โครม
อยู่ๆ หัตถ์แห่งจอมเวทก็พุ่งชนใส่ของแข็ง
‘อะไรกัน’ ลู่เซิ่งงุนงง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าหัตถ์แห่งจอมเวทของตนเหมือนถูกอะไรดูดหายไป
พลังเวทที่ก่อตัวเป็นหัตถ์แห่งจอมเวทหายวับไปในพริบตา
ลู่เซิ่งชะโงกหน้ามองไปยังหลุมที่ลึกมากกว่าร้อยเมตร
‘มีบางอย่างขวางทางอยู่’
ในหลุมเหมือนมีหมอกอะไรสักอย่างปกคลุมอยู่ จึงมองเห็นไม่ชัด ลู่เซิ่งพยายามหยีตาและยื่นศีรษะเข้าใกล้อีกนิดเพื่อจะมองให้ละเอียดขึ้น
ควับ!
จู่ๆ ลิ้นสีแดงก็พุ่งออกมารัดคอลู่เซิ่งอย่างรุนแรงเหมือนสายฟ้าฟาด ก่อนจะลากตัวเขาลงไปด้านล่าง
ลู่เซิ่งไม่ทันตั้งตัว จึงถูกพละกำลังอันมหาศาลกระชากเข้าไปในหลุมลึกทันที
อ๊าก!
จากนั้นก็เกิดเสียงร้องโหยหวน
ลู่เซิ่งกระโดดออกมาจากหลุมลึกใหม่ มือข้างหนึ่งอุ้มสิ่งมีชีวิตสีดำที่ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นกระทิง และมีฟันแหลมงอกเต็มปากไว้ตัวหนึ่ง
“ได้การล่ะ ที่นี่มีอาหารเสียด้วย!”
“ข้าคืออสูร ข้าคือไอนี ฟิส อสูรผู้กลืนกินแก่นความมืด! เจ้ามนุษย์เอ๋ย! เจ้ากล้าล่วงเกินข้า…” สัตว์ประหลาดตะโกนในขณะที่กล้ามเนื้อทั่วร่างขยับยุกยิกอย่างน่าประหลาด ระเบิดพละกำลังขนาดมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่กลัวมนตรา ความเร็วและพละกำลังร้ายกาจจนน่ากลัว กินพลังเทพเป็นอาหาร ใช้พลังแห่งห้วงอเวจีและยมโลกเป็นสารอาหาร
มีแต่การโจมตีทางกายภาพเท่านั้นที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้
แต่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ร่างกายที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับร่างอมตะของเขา ทำให้ต่อให้เขาจะเผชิญกับสัตว์ประหลาดที่มีพลังระดับเดียวกัน ก็ไม่เกรงกลัวอยู่ดี
นี่คืออสูร สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการผสมกันของพลังแห่งเทพและความโกลาหลอื่นๆ
ถ้าหากปล่อยให้อสูรออกจากมิติหลัก พวกเขาจะทำลายโลกได้
ไอนี ฟิสครอบครองพละกำลังอันมหาศาล มีพลังคืนชีพที่เหมือนกับเจ้าชายผีดูดเลือด มีความทนทานต่อมนตราตั้งแต่ขั้นเจ็ดลงไป พลังแห่งเทพกับพลังแห่งห้วงอเวจีและยมโลกได้แต่กลายเป็นอาหารให้แก่เขาเท่านั้น
เขาเคยสังหารมังกรยักษ์และราชามังกร เคยกินระดับศักดิ์สิทธิ์ กึ่งเทพ และร่างแปลงของเทพที่จุติลงมายังโลกมนุษย์มาแล้ว
ดินแดนแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยที่เขาเฝ้ามาหลายปี ในแวดวงระดับตำนาน นี่เป็นความลับสาธารณะที่คนแทบทุกคนรู้
ดังนั้นในแดนต้องห้ามผืนนี้จึงไม่มีใครสักคนเดียวและไม่มีใครกล้าเข้าออกตามใจ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าที่นี่มีเจ้าของ หลายปีมานี้ สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่ใช่พลังที่จอมเวทระดับตำนานครอบครอง และไม่ใช่ร่างมังกรยักษ์ของมังกรสีรุ้ง
ความจริงแล้วแกนหลักของเขาคืออานุภาพอันน่ากลัวจากการฝึกฝนพลังแห่งมนตราเก้าสิบเก้าชนิด แล้วใช้พลังสายนี้ปรับปรุงร่าง รวมถึงควบคุมร่างมังกร
การควบคุมมนตราโจมตีศัตรูโดยตรงเป็นวิธีการที่โง่เง่าที่สุด
ลู่เซิ่งเคยแนะนำบริวารใต้อาณัติเช่นนี้
“มีแต่การเปลี่ยนพลังทั้งหมดให้กลายเป็นพลังงานจลน์แล้วแปลงเป็นกล้ามเนื้อ จากนั้นก็ใช้พลังป่าเถื่อนทำลายศัตรูให้สิ้นซากเท่านั้น ถึงจะเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่แท้จริง!”
เขาบอกแบบนี้และทำแบบนี้
ดัชนีมรณะขั้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเป็นแค่หนึ่งในระบบนี้เท่านั้น
สิ่งที่ลู่เซิ่งฝึกฝนคือระบบมนตราสมบูรณ์แบบที่ค่อยๆ เกิดจากการที่เขาใช้ดีปบลูเรียนรู้ขึ้น
‘รอบนี้ดูดซับพลังอาวรณ์ในอาวุธกึ่งเทพไปแล้ว เอามาลองปรับปรุงระบบมนตรานี้ได้พอดี!’ ลู่เซิ่งจับคอของอสูรและยกขึ้น พร้อมกับกวาดตามองรอบๆ
“พลังของเจ้าไม่เลวนี่ ไม่คิดจะมาร่วมงานกับข้าหน่อยหรือ ข้ามอบพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้เจ้าได้นะ” เขาเพิ่งเคยเจอสิ่งมีชีวิตอย่างอสูรเป็นครั้งแรก คุณสมบัติต้านทานเวทที่แข็งแกร่งของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างยิ่ง
คุณสมบัติต้านทานนี้ไม่ได้มีผลต่อพลังงานธาตุหรือพลังเวทมนตราเท่านั้น ยังมีผลต่อพลังเทพ พลังจากห้วงอเวจี และพลังจากยมโลกด้วย กล่าวคือต้านทานได้ทุกสิ่ง
“ฝันไปเถอะ! ข้าคือศัตรูของเทพแห่งความมืด! การทำลายและกินความมืดเป็นภารกิจของข้า!”
ไอนี ฟิสคำรามอย่างบ้าคลั่ง
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พละกำลังของเขาไม่มีความหมายต่อลู่เซิ่งแม้แต่น้อย
เขาในฐานะอสูรไม่กลัวสิ่งใดนอกจากพละกำลัง
ลู่เซิ่งที่เพิ่งได้เจอคือคนที่เปลี่ยนแปลงพลังทั้งหมดเป็นพละกำลังได้
กอปรกับตัวลู่เซิ่งเป็นมังกรสีรุ้ง ต่อให้ใช้พละกำลังอย่างเดียวก็ยังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดามากมาย
ไอนี ฟิสจึงถูกจัดการอย่างอยู่หมัดด้วยประการฉะนี้