ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 72 ท้ารบ (2)
ลู่เซิ่งหาอยู่สักพัก ในที่สุดสายตาก็ไปอยู่ที่ชั้นชั้นหนึ่ง
‘วิชาโซ่เก้าสินธุ’
วิชาที่เขาถูกใจนี้ ชื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือบนแม่น้ำสร้างขึ้น
ลู่เซิ่งจดจำชื่อนี้ เดินไปที่โต๊ะผู้ดูแล
“ข้าคือผู้จัดการภารกิจภายนอกลู่เซิ่ง ต้องการอ่านวิชาโซ่เก้าสินธุ” เขาส่งป้ายคำสั่งให้ชายชราผมขาวหลังโต๊ะยาว
ชายชราหยีตามองเขา ลมปราณกำลังภายในที่เร้นลับโผล่ขึ้นมาบนร่างแล้วหายไป ถึงกับเป็นยอดฝีมือ
เขารับป้ายคำสั่งไปดู
“วิชาโซ่เก้าสินธุเป็นคัมภีร์ลับระดับพลังปลอดโปร่ง แต่ละปีผู้จัดการภารกิจภายนอกมีสิทธิ์อ่านคัมภีร์ลับต่ำกว่าระดับผนึกจิตเล่มหนึ่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านแน่ใจว่าจะเอาเล่มนี้”
“แน่ใจ”
ลู่เซิ่งตอบโดยไม่แสดงสีหน้า
“ได้” ชายชราหมุนตัวไปควานหาในโต๊ะยาวที่ลั่นดาลไว้พักหนึ่ง ไม่ทันไรก็พลิกสมุดเล่มเล็กเป็นแผ่นพับสีฟ้าเล่มหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักไม้สีแดง
“เก็บไว้ให้ดีอย่าได้ส่งให้ภายนอก ไม่อย่างนั้นกฎพรรคมาก่อน”
“นี่ย่อมเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า รับสมุดเล่มเล็กมาพลิกดู ด้านบนเป็นตัวหนังสือถี่ยิบ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นฉบับคัดลอก คัมภีร์ลับระดับพลังปลอดโปร่งไม่มีภาพของสภาพสำนึก วิชาที่ไม่มีภาพของสภาพสำนึกนี้เป็นประเภทที่ส่งต่อให้ภายนอกง่ายดายที่สุด ถึงอย่างไรคัดลอกแล้วก็กระจายออกไปได้
ลู่เซิ่งได้คัมภีร์มาก็เดินออกมาจากศาลาประกาศยุทธ เขาใช้สิทธิ์ไม่มีค่าใช้จ่ายในปีนี้ไปแล้ว ภายหลังจะตรวจสอบวรยุทธ์ จำเป็นต้องใช้ผลงานในพรรค ส่วนเรื่องหมู่บ้านตระกูลซ่งก่อนหน้าเขาไม่ได้จัดการ ดังนั้นจนถึงตอนนี้ผลงานของเขายังเป็นศูนย์ แค่ได้นั่งตำแหน่งก็ถือว่าได้รับการเลือกปฏิบัติจากประมุขพรรคผู้เฒ่าแล้ว
‘ตอนนี้สมควรไปปรับกายใจ วิชาโลหิตพิฆาตเปลี่ยนถ่ายเป็นวิชาลมปราณแดงฉาน หวังว่าจะเสร็จก่อนลงมือ’ ลู่เซิ่งนำคัมภีร์ลับออกจากเรือวาฬแดง กลับมาถึงบ้านในเมืองเลียบคีรีอย่างรวดเร็ว พักผ่อนอย่างสงบ
…
เวลาสามวันครู่เดียวก็มาถึง
ส่วนลึกของเขาบูรพา หุบเขากาลนาน
สายน้ำสีเขียวมรกตคดเคี้ยวสายหนึ่งทะลุจากเขาบูรพาเข้าไป ตกลงด้านในหุบเขากาลนาน ณ ส่วนลึกของป่าส่วนกลาง เป็นน้ำตกสีขาวราวหิมะ
น้ำตกกระแทกลงลำธารโค้งกลมด้านล่าง หมอกน้ำผืนใหญ่กระจาย
บนหาดทรายทรงครึ่งวงกลมที่อยู่ตรงข้ามน้ำตกตรงริมธาร กงซุนจางหลานสวมชุดคลุมสีเขียว ยืนเอามือไพล่หลัง เท้าย่ำอยู่ตรงน้ำตื้น มองไอน้ำที่กระจายขึ้นมาจากน้ำตกอย่างสงบ
ด้านข้างของเขามีคนสองคน คนหนึ่งคือฟางจือต้งจอมยุทธ์แห่งเมืองเลียบคีรีที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขา อีกคนเป็นน้องสาวของเขาจางฮุ่ยซู เป็นมารดาของกงซุนจิ้ง
ทั้งสามคนยืนนิ่งบนหาดทราย รอคอยลู่เซิ่งมาต่อสู้
มุมหนึ่งของแม่น้ำใกล้ๆ พวกเขา ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือกับเฒ่าหวังกำลังยืนมองด้านนี้อย่างสงบบนแพไม้ไผ่
พวกเขารู้ว่าลู่เซิ่งจะตัดสินเป็นตายกับกงซุนจางหลานในที่ลับ จึงแอบมาชมการต่อสู้
“ศิษย์น้องมีพลังยากหยั่งคาด ข้าแม้ว่าหยั่งเชิงเขาไปสองสามกระบวนท่า แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เอาจริงเลย
“พลังฝ่ามือเอกาลี้ลับของจางหลานน่าทึ่ง ผู้โดนฝ่ามือทุกคนเส้นลมปราณแตกตาย พลังฝ่ามือสามารถทำลายอวัยวะภายในผ่านเส้นลมปราณ การฝึกปรือที่เขาฝึกอย่างลำบากมากว่าห้าสิบกว่าปีไม่ใช่จะรับมือได้ง่าย” ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือกล่าวเสียงทุ้ม
“ท่านประมุข มีท่านอยู่ด้วย จะต้องกลัวอันใด ลงมือปกป้องชีวิตน้องลู่ในห้วงเวลาสำคัญได้” เฒ่าหวังกล่าวอย่างไม่นำพา
“ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เฉินอิงออกไปจัดการภารกิจ พอดีที่เวลานี้จางหลานท้าสู้กับศิษย์น้อง ทั้งเชิญฟางจือต้งมาด้วย เป้าหมายก็เพื่อพัวพันข้าไว้ ขอแค่ถ่วงเวลาได้ชั่วคราว เขาจะทำอะไรก็ได้” ประมุขพรรคเฒ่าดวงตามีความเป็นห่วง “น่าเสียดาย…ถ้าเวลามีมากพอและเฉินอิงอยู่ด้วย เวลานี้ต้องป้องกันความผิดพลาดได้แน่…”
“เป็นไร ท่านประมุขไม่เชื่อถือน้องลู่หรือ” เฒ่าหวังถามอย่างสงสัย
“แค่กังวลเล็กน้อย” หงหมิงจือส่ายหน้า “สำหรับข้า พลังของศิษย์น้องไม่เลว แต่อย่างไรก็หนุ่มเกินไป ตอนต่อสู้แค่มีความลังเลและความผิดพลาดเล็กน้อย ก็อาจถูกกระบวนท่าพ่ายแพ้ได้”
คราวนี้เฒ่าหวังก็เป็นห่วงบ้างแล้ว
“น่าเสียดายพี่ใหญ่ของข้าเดินทางอยู่ ท่านประมุขก็เร็วเกินไป ที่น้องลู่ฝึกเป็นฝ่ามือทำลายใจในตระกูลพวกเรา ถ้าเขากลายเป็นศิษย์ของพี่ใหญ่ข้า เฮ้อ…” พูดถึงตรงนี้เขารู้สึกไม่เชื่อบ้างแล้ว ถ้าลู่เซิ่งเป็นยอดฝีมือที่ทัดเทียมกงซุนจางหลาน ต่อให้พี่ใหญ่คิดจะรับเขาเป็นศิษย์ ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
…
เวลาเที่ยง อาทิตย์ร้อนแรง
ลู่เซิ่งนั่งบนหัวเรือท่องเที่ยว มองแม่น้ำสีเขียวจางๆ กระจ่างใสที่ไหลเคลื่อนไม่หยุดนิ่งอยู่เงียบๆ
เขาสวมชุดบัณฑิตสีขาว ศีรษะเงางามสะท้อนแสงในแสงอาทิตย์ โดดเด่นเป็นพิเศษ
นิ่งซานร่างไม่นับว่ากำยำ เสื้อสีดำอำพรางรูปร่างได้ ยืนอยู่ข้างลู่เซิ่งไม่ต่างจากเด็กรับใช้
บนเรือท่องเที่ยวนอกจากพวกเขาสองคน ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเหล่าคุณชายคุณหนูที่มาชมทัศนียภาพที่หุบเขากาลนาน
คนพวกนี้ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ด้านหลังราวนกกระจอก
เรือลำนี้เป็นเรือส่วนตัว พวกลู่เซิ่งเพียงแวะขึ้นมาโดยสาร ลดความเหน็ดเหนื่อยยามเดินทาง ดังนั้นบนเรือจะเอะอะอย่างไร ต่างเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าของ
“พี่ชายท่านนี้ ดูบุคลิกของท่านไม่ธรรมดา เหตุใดเอาแต่นั่งที่หัวเรือคนเดียว ไม่มาชมทิวทัศน์กับพวกเรา” คุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่ดื่มจนเมาอยู่บ้างคนหนึ่งบนดาดฟ้าเรือ เดินโขยกเขยกเข้ามาถามเสียงใส
เขาเป็นเจ้าของเรือ ที่เชิญพวกลู่เซิ่งขึ้นเรือตอนที่ทั้งสองขอมาหุบเขากาลนานด้วย นามว่าเปียนซู่
“ไม่ต้องแล้ว พี่เปียนรวมตัวกับสหาย ผู้แซ่ลู่ไม่อยากรบกวน ได้โดยสารระยะหนึ่งก็มากพอแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม เดิมสมควรจัดเรือในพรรคมา น่าเสียดาย หนึ่งเพื่อรักษาความลับ สองก่อนหน้านี้เขาลืมเรื่องนี้ ก่อนมาจึงค่อยนึกออกว่าเดินทางทางน้ำได้ แต่เมื่อจะหาเรือก็สายไปบ้างแล้ว ไม่อาจไม่ขึ้นเรือของเปียนซู่ที่ผ่านมา
เปียนซู่ผู้นี้นิสัยผ่าเผย แต่ร่างกายผอมบาง ผิวหนังนุ่มนิ่ม ลู่เซิ่งมองดูก็รู้ว่านางเป็นสตรี สตรีที่แต่งตัวเป็นบุรุษ
เรือของนางเหมือนใช้ผ่อนคลายท่องเที่ยวไปทั่ว ตอนลู่เซิ่งขึ้นเรือมาก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาไม่พอใจของเหล่าคนบนเรือ ที่มองมาที่ตนเอง คล้ายไม่อยากให้ตัวเขาขึ้นเรือมาด้วย
เป็นเพราะประสาทสัมผัสปราดเปรียว เขาได้ยินบทสนทนาของเปียนซู่กับคนเหล่านี้ระหว่างทาง เข้าใจสภาพของคุณชายท่านนี้คร่าวๆ
คนผู้นี้เดิมทีเป็นคุณหนูใหญ่ที่หนีออกมาจากบ้าน คนบนเรือเป็นเพื่อนนางเที่ยวเล่นเพียงในนาม แต่ความจริงแฝงความคิดล้ำลึก มีแผนการ เปียนซู่คิดเปลี่ยนเส้นทางส่งข่าวกลับบ้านหลายครั้ง คนเหล่านี้ใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งเกลี้ยมกล่อมให้นางกลับมา คล้ายกับเกิดความคิดไม่ดีกับนาง
กล่าวง่ายๆ เป็นฉากคุณหนูใหญ่ที่หนีออกจากบ้านแล้วเจอคนคิดร้าย หนำซ้ำฟังคนเหล่านี้พูดคุยกัน ที่บ้านของเปียนซู่ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน
หลังปฏิเสธเปียนซู่อย่างละมุนละม่อม ลู่เซิ่งมองนางเดินตัวเอียงกลับไปท้องเรือ สายตาของเขาไปจับอยู่ที่ผืนแม่น้ำใหม่
“คุณชาย คนข้างกายคุณชายท่านนี้ดูเหมือนไม่อยากให้เราขึ้นเรือ” นิ่งซานกระซิบอยู่ด้านข้าง
“ข้ารู้แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นคุณชายท่านยัง…” นิ่งซานหมดคำพูด
“นี่ไม่ใช่เพราะไม่เจอเรือดอกหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างใจลอยเล็กน้อย
“แต่พวกเขาไม่ต้อนรับพวกเรา…” นิ่งซานจนใจ
“มีเรือนั่งก็ดีแล้ว ต้อนรับไม่ต้อนรับเป็นเรื่องพวกเขา นั่งไม่นั่งเป็นเรื่องพวกเรา” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“แต่ถ้าพวกเขาไม่ให้พวกเราขึ้นเรือเล่า” นิ่งซานอดถามไม่ได้ แม้ทราบว่าตนไม่ควรสืบสาวราวเรื่อง แต่เขาก็สงสัย
“อย่างนั้นก็ให้พวกเขาลงจากเรือ” ลู่เซิ่งตอบกระชับครอบคลุม
นิ่งซานเกือบสำลักน้ำลาย งงงันเพราะตรรกะของลูกพี่ อยู่ในพรรควาฬแดงมานาน ต่อให้เป็นประมุขพรรคในเรื่องเล่าขาน ตอนหนุ่มก็ไม่ได้ยินว่าเกรี้ยวกราดขนาดนี้
“วีรบุรุษอยู่ในกลียุค ไม่สนใจรายละเอียดเหล่านี้ พวกเราเป็นคนทำการใหญ่” ลู่เซิ่งยื่นมือไปตบบ่านิ่งซาน อีกฝ่ายหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ลู่เซิ่งย่อมล้อเล่น เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลปานนั้น เพียงแค่มองออกว่าเปียนซู่ผู้เป็นเจ้าของเรือคิดช่วยพาพวกเขาไประยะหนึ่งจริงๆ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ใช่เจ้าของเรือ เขาย่อมไม่ใส่ใจ
เรือท่องเที่ยวเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่องไปจนถึงหุบเขากาลนาน
ป่าทึบสองฝั่ง แว่วเสียงนกร้องวานรโวย ยังมีอีกาสีดำขนาดหนึ่งหมี่กว่าๆ กระพือปีกบิน บางครั้งผ่านด้านบนของเรือท่องเที่ยว น่ากลัวจนคนบนเรือพากันอุทาน
เปียนซู่ถูกชายหญิงหลายคนห้อมล้อม เมามายกว่าเดิม กลับชนจอกแลกถ้วยกับคนด้านข้าง
ตึง
ทันใดนั้นตัวเรือสั่นน้อยๆ คล้ายชนหินโสโครก
“เกิดอะไรขึ้น”
“ทำอะไรน่ะ”
เสียงด่าและเสียงถามไถ่เพราะตั้งตัวไม่ทันดังขึ้นบนเรือ
คนเรือรีบอธิบาย พวกเขาไม่ทราบวันนี้เกิดอะไรขึ้น ปกติแม่น้ำบริเวณนี้ไม่มีหินโสโครก วันนี้เหตุใดจึงมีหินโสโครกเพิ่มมาได้
เปียนซู่นวดขมับที่ปวดเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน นางรู้สึกว่าไม่อาจดื่มได้อีกแล้ว จึงผลักสุราออกไปหลายจอก คิดเดินไปรับลมให้สดชื่นที่กราบเรือ
“อาไท่ ท่านว่าข้าควรมอบของให้ใครดี”
นางคล้ายพึมพำกับตัวเอง รอบๆ ไม่มีคนอื่น
“แล้วแต่คุณหนูตัดสินใจ ตอนนี้ที่บ้านไร้นายผู้เฒ่า สิ่งนี้เป็นภัย ไม่ว่าให้ใคร เมื่อเก็บไว้สุดท้ายจะเป็นต้นตอหายนะ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างกายนาง
เปียนซู่เงียบเสียง สิ่งนี้ไม่ว่ามอบให้ใครต่างตัดใจไม่ได้ สุดท้ายเป็นสมบัติของตระกูลที่ส่งต่อกันมาหลายปี แต่นางทราบว่าตัวเองเก็บมันไว้ไม่ได้
“ข้าหลบจากจงหยวนมาแดนเหนือ แต่ยังถูกพวกเขาจับตา” นางถอนใจ ความเมามายคล้ายอยู่ๆ ก็หายไป
“เอ๋ ผู้โดยสายคนนั้นจะทำอะไร” ทันใดนั้นนางเหลือบเห็นบุรุษหัวล้านที่หัวเรือลุกขึ้น เดินไปถึงหัวเรือไม่ทราบคิดจะทำอะไร
“เขา…” อาไท่ปรากฏตัวขึ้นข้างเปียนซู่ขณะมองที่หัวเรือก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจเช่นกัน
ตูม!”
พริบตานั้น เรือท่องเที่ยวโคลงเคลง การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงส่งจากหัวเรือถึงท้ายเรือ เรือท่องเที่ยวกระดกด้านหน้าขึ้นอย่างรุนแรง เหมือนมีวัตถุหนักอึ้งอันใดกระแทกใส่ดาดฟ้าเรือ
ลู่เซิ่งกระทืบเท้าขวาใส่ดาดฟ้าเรือ แรงมหาศาลที่มีเขาเป็นศูนย์กลาง แผ่ออกไปด้านหลังเรือ ดาดฟ้าเรือที่แข็งแกร่งพริบตาเดียวเหมือนกับเกิดระลอกคลื่น
เขาพุ่งตัวออกไปดุจปืนใหญ่ สองตาเป็นประกายฮึกเหิม กระโจนไปยังหาดทรายเบื้องหน้า
กงซุนจางหลานที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอนตัวไปด้านหลัง สองมือประสานห่างๆ ผมเผ้าหนวดเคราเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อเส้นเอ็นส่งเสียงดังทึบเหมือนสายธนู รวมกำลังภายในจำนวนมากมาไว้ที่สองฝ่ามือ
เขามองลู่เซิ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาปรากฏจิตสังหารอันเย็นเยียบ
………………………………………….