ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 721 ฉากหลัง (1)
บทที่ 721 ฉากหลัง (1)
หลังจากปลอบเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่มีบาดแผลทั่วตัว ลู่เซิ่งก็ได้รับข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับทีอาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวที่มีชื่อเดียวกับอดีตครูฝึกมังกรสีรุ้งผู้นี้ ถูกมังกรสีรุ้งสองตัวเข้าใจผิดว่าเป็นร่างมนุษย์ของอาจารย์ จึงขอการคุ้มครองจากนาง
ด้วยความสงสาร ทีอาจึงลงมือสังหารศัตรูที่ไล่ล่ามังกรน้อยและรับภารกิจคุ้มครองส่งมังกรน้อยด้วยตัวเอง
ตอนแรกมังกรน้อยทั้งสองตัวไม่ได้อยากมาที่นี่ แต่ว่าหลังจากพวกเขาได้ยินทีอาบอกว่าผู้นำขององค์กรเงามารที่อยู่ที่นี่เป็นมังกรสีรุ้งตัวหนึ่ง ก็คิดจะมาอยู่ภายใต้การคุ้มครอง
เผ่ามังกรสีรุ้งเป็นเผ่าที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว สมาชิกส่วนใหญ่จึงพึ่งพากันและกัน
ดังนั้นเหล่ามังกรน้อยจึงขอร้องให้ทีอาพาพวกเขามาที่นี่เพื่อแสวงหาการคุ้มครอง ไม่ใช่เดินทางไกลมาเพื่อตามหาเผ่ามังกรสีรุ้งที่หายสาบสูญ
ระหว่างทางทั้งสามเจอการไล่ล่าลอบโจมตีทุกรูปแบบ เหล่านักล่าที่มีความละโมบในร่างกายของมังกรสีรุ้งทยอยโผล่มาอย่างไม่กลัวตาย
เพราะเลินเล่ออยู่หลายรอบ ทีอาที่ผ่านมาร้อยศึกจึงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ก็ยังคุ้มครองมังกรน้อยทั้งสองตัวไว้ได้ เพียงแค่บอบช้ำภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเป็นอย่างที่ลู่เซิ่งเห็น
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในห้องสมุดของคฤหาสน์ค่อยๆ วางเอกสารในมือลง
“เด็กคนนี้ลำบากทีเดียว…” หลังเขาอ่านข้อมูลของทีอาเสร็จก็เกิดความสะท้อนใจ
“นายท่านจะสั่งอะไรไหมขอรับ” เงาสีแดงฉานที่บิดเบี้ยวกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นห่างจากตัวลู่เซิ่งไม่ไกล และส่งเสียงไม่ชายไม่หญิง
“น้ำใจนี้จะต้องใช้คืน” ลู่เซิ่งบีบเอกสารทั้งหมดกลางฝ่ามือเป็นผุยผง
“พรุ่งนี้ข้าจะไปศาสนจักรน้ำแข็งด้วยตัวเอง” ลู่เซิ่งลูบคาง
“เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ พรุ่งนี้คุณหนูเย่หงเตรียมจะแอบตามกิ้งก่าน้อยไปฝึกพิเศษ พวกเรายังไม่รู้ว่าเนื้อหาการฝึกพิเศษอยู่ในขอบเขตที่พวกเราควบคุมได้หรือไม่ บางทีนายท่านอาจต้องไปคุมด้วยตัวเอง” เงาสีแดงกล่าวเสียงแผ่วต่ำ
“ช่วงนี้เย่หงไม่ได้ก่อปัญหาอะไรใช่ไหม” ลู่เซิ่งถือโอกาสถาม
“ยังดีอยู่ขอรับ”
นิ่งไปสักพัก ลู่เซิ่งก็พยักหน้าน้อยๆ
“ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าไม่ไปแล้ว ตอนแรกเตรียมจะออกไปผ่อนคลายสักหน่อย…ดูท่าจะล่มเสียแล้ว…ทางทีอาต้องฝากพวกเจ้าด้วย จัดการให้ดีล่ะ”
หลังจากใช้แดนต้องห้ามขจัดสัญลักษณ์ของเจ้าลัทธิไม่จีรังออกไป เขาก็สนใจการพัฒนาของลู่หงเย่มากกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะความหวังที่เขาจะฝากไว้ที่ตัวนางเท่านั้น ยังเป็นเพราะแผนการอีกส่วนหนึ่งด้วย
“รับบัญชา” เงาแดงตอบ
…
ศาสนจักรน้ำแข็งเป็นอาณาจักรศาสนาที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองแสงอรุณ ปกครองประชาชนผู้งมงายจำนวนมาก
ตอนนี้ทีอาเพิ่งจะออกมาจากทางเมืองแสงอรุณ
“ขอให้ดาบนำมาซึ่งชัยชนะ” นางพนมมืออธิษฐานเบาๆ ขณะนั่งอยู่ในรถเทียมวัวที่โคลงเคลง
หญิงสาวผิวดำที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองนางอย่างแปลกพิกล แต่ไม่ได้พูดอะไร
ชายหนุ่มที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าซึมเซาหลายคนนั่งอยู่ในรถ พวกเขาล้วนเป็นสาวกผู้ศรัทธาจากหลายสถานที่ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังศาสนจักร
หลังออกจากเมืองแสงอรุณ ทีอาก็เข้าร่วมกับขบวนกลุ่มนี้เพื่อติดรถไปยังศาสนจักร
นางที่อยู่บนที่นั่งมองดูใบหน้าไร้อารมณ์ของคนมากมายที่อยู่รอบๆ ในใจเศร้าสร้อยเล็กน้อย
บนใบหน้าของพวกคนที่ส่งชนเผ่าของนางขึ้นไม้กางเขนก็มีความเฉยชาแบบนี้เช่นกัน
รถเทียมวัวเคลื่อนตัวไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ระหว่างทางมีคนขึ้นลงตลอดเวลา พอเห็นว่ามีที่นั่งว่าง ทีอาก็รีบเปลี่ยนที่นั่ง จากนั้นก็ขดตัวอยู่ในมุมพร้อมกับจัดระเบียบและตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเอง
นางได้เปลี่ยนทรัพยากรทั้งหมดที่ตนเองใช้ได้เป็นแรงหนุนในการเดินทางครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว
แม้นางจะรู้ว่าความหวังในครั้งนี้ช่างริบหรี่ก็ตาม
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ดวงอาทิตย์ด้านนอกรถเคลื่อนตัวจากกลางศีรษะไปยังทิศตะวันตก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ผ้าม่านหนาหนักสกปรกของรถเทียมวัวก็ถูกเลิกขึ้น บุรุษมัดผ้าโพกหัวสีขาวไว้เครายาวคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามา
“ลูกค้าทุกท่าน ถึงแล้วขอรับ”
“ถึงแล้วเหรอ” ทีอางุนงง รู้สึกเคร่งเครียดเล็กน้อย จึงรีบเอื้อมมือไปจับด้ามดาบในอกไว้
“ลงมาเถอะ ลงมาให้หมด” เหล่าผู้โดยสารพากันลงรถ
พอทีอาลงรถและเหลียวมองรอบๆ ก็สับสนเล็กน้อย
ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงของศาสนจักร หากแต่เป็นเส้นทางเล็กๆ ในป่ารกร้างแห่งหนึ่ง
ทางขวามือมีเพิงขายชาขนาดเล็ก คนหลายคนนั่งอยู่ด้านใน เหมือนจะกำลังรอคนที่ผ่านทางมาที่นี่อยู่
“ที่นี่คือที่ไหน” มีผู้โดยสารถามอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่พาพวกท่านเข้าเมืองนะ แต่ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ องครักษ์เฝ้าเมืองอนุญาตเพียงให้มาถึงนี่เท่านั้น พวกท่านไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไปตามเส้นทางเล็กๆ เส้นนี้ เดินเท้าไม่ถึงห้านาทีก็เป็นที่ตั้งของเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว” บุรุษไว้เคราที่ขับรถอธิบาย
ทุกคนฟังจบก็ถอนใจอย่างจนปัญญา
บางคนก็เข้าไปพักผ่อนในเพิงขายชา บางคนก็จัดสัมภาระบนตัวและเดินทางต่อ
ทีอานึกย้อนถึงข้อมูลที่ได้ตรวจสอบมาในรอบนี้
หากคิดจะแก้แค้น อันดับแรกนางจะต้องทำลายฐานที่มั่นรอบๆ ของอีกฝ่ายเสียก่อน ไม่อย่างนั้นหากเกิดถูกรุมเข้า ทักษะการต่อสู้ที่นางฝึกฝนอย่างลำบากลำบนมาหลายปีก็จะไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
‘ถ้าซ่อนตัวระวังๆ หน่อย อาจจะมีความหวังก็ได้’ ทีอารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายอ่อนแอที่สุด ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ลงมือ บางทีวันหน้านางอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็ได้
‘แอบทำลายจุดรับตัวกับหัวหน้าฐานที่มั่นพวกนั้นก่อนก็แล้วกัน’นางกระชับดาบในอก แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางเส้นน้อย
ไม่มีใครมาเป็นเพื่อน มีแค่นางตัวคนเดียว นางเองก็ไม่ได้เดินตามเส้นทางเพียงอย่างเดียว
ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง นางก็แอบออกจากทางเส้นเล็ก ตัดทะลุป่าทางขวามือ แล้วเริ่มหาบางสิ่งบางอย่าง
ไม่นานนางก็เจอเป้าหมายที่ตัวเองเล็งไว้
เป็นแท่นบูชาทรงรีที่ปกคลุมด้วยลวดลายสีขาวสลับฟ้า
รอบๆ แท่นบูชามีนักบวชสิบกว่าคนกำลังท่องบทสวดเบาๆ บริเวณใกล้เคียงยังมีองครักษ์ที่สวมเกราะสีเงินกลุ่มหนึ่งคอยลาดตระเวนอยู่ด้วย
รูปสลักหินรูปคนที่ฝังตัวอยู่บนยอดแท่นบูชากะพริบแสงสีเงินจางๆ ตามการอธิฐานจากบทสวด
‘เจอแล้ว!’ พอเห็นภาพนี้ ดวงตาของทีอาก็สาดความเย็นเยียบ นางค่อยๆ ซ่อนลมหายใจและการเต้นของหัวใจ แล้วเดินย่องเข้าใกล้แท่นบูชาอย่างช้าๆ
สวบ!
เสียงคมดาบเสียบทะลุเนื้อดังขึ้น
ถัดจากนั้นหลังจากต่อสู้กันช่วงสั้นๆ รอบแท่นบูชาก็มีศพนอนเกลื่อน ทีอารีบเช็ดเลือดบนคมดาบและหลบหนีออกมา
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ฐานที่มั่นที่สองก็ถูกลอบโจมตีจนมีคนตายไปยี่สิบกว่าคน
แล้วก็ยังมีฐานที่มั่นที่สาม
ทีอาแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง ความแค้นในใจเริ่มกลายเป็นความสุขอย่างมิอาจสะกดกลั้นหลังจากได้ฆ่าฟัน
ตามการคาดการณ์ของนาง ศาสนจักรน้ำแข็งจะต้องส่งกองอัศวินคุ้มครองศาสนาออกมาไล่ล่านางหลังจากนางทำลายตำหนักบูชาไปห้าแห่งแน่
แต่รอจนกระทั่งนางทำลายฐานที่มั่นแห่งที่เจ็ดแล้ว ศาสนจักรก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?’ หลังจากเช็ดคมดาบกับเสื้อของศพจนแห้งอีกรอบ ทีอาก็ใคร่ครวญอย่างสงสัย
ตอนแรกนางเตรียมจะสู้ไปพลางเคลื่อนไหวไปพลาง แต่ความง่ายดายในการฆ่าติดต่อกันที่ผ่านมาทำให้นางเกิดความสงสัยที่ไม่อยากเชื่อขึ้น
…
ในหุบเขาเคอโลว์
หุบเขาประหลาดที่ตั้งอยู่รอบเมืองหลวงแห่งนี้ เป็นเส้นทางที่กองอัศวินคุ้มครองศาสนาใต้บังคับบัญชาของศาสนจักรน้ำแข็งต้องเดินทางผ่านในตอนที่ออกเคลื่อนไหว
เวลานี้ กองอัศวินที่ได้รับคำสั่งกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้ออกเดินทางมาเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ แล้ว
สมาชิกทุกคนในกองอัศวินกองนี้เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ ต่างเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งได้รับการคัดสรรจากกองทัพปกป้องศาสนา อัศวินทุกนายมีพลังระดับเงินเป็นอย่างต่ำ ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ทหารล้วนเป็นผู้เข้มแข็งระดับทองคำ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหัวหน้าและรองหัวหน้ากองอัศวินสองคน ต่างเป็นผู้เข้มแข็งระดับตำนานที่แท้จริง
จำนวนของกองอัศวินมีทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยคน ขุมกำลังแบบนี้ก่อให้เกิดการข่มขวัญอย่างรุนแรงที่ยากจะมองข้ามแก่ขุมกำลังทั้งหมด
ทว่าในหุบเขาเคอโลว์ ณ เวลานี้ ศพทั้งหลายกองนอนอยู่บนพื้นหุบเขาเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกโยนทิ้ง
อีแร้งขนาดยักษ์ส่งเสียงร้องพลางบินวนอยู่กลางอากาศ หมาป่ากินเนื้อที่พบเห็นได้บ่อยบางส่วนชะโงกหัวออกมาจากในเงามืด ดวงตาที่โลภและหิวกระหายเป็นประกาย
“คนกลุ่มสองตายที่นี่หมดแล้ว”
บาวิตันนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่สีขาวเพียงก้อนเดียวที่ยังถือว่าสะอาดในหุบเขาอย่างเบื่อหน่าย ควันสีดำที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตกระจายออกมาจากรอบๆ
นับตั้งแต่เจ้านายถ่ายทอดวิชาที่แยกอารมณ์ด้านลบได้ให้แก่พวกเขา จิตปีศาจที่พวกเขาแยกออกมาจากเทพและอสูร ไม่ว่าจะดูจากพลังทำลายหรือการแพร่เชื้อทั้งหลาย ต่างก็เป็นระดับตำนานที่ร้ายกาจทั้งนั้น
และสติปัญญาที่ตอนแรกสับสนของพวกเขาก็มีเหตุมีผลมากขึ้นเมื่อการแบ่งแยกนี้ได้รับการปรับปรุง เทียบเท่ากับการแยกอสูรตนหนึ่งออกเป็นหลายตน อีกทั้งพลังยังลดต่ำลงไม่เท่าไหร่เสียด้วย
‘หวังว่าครั้งหน้าจะแข็งแกร่งกว่านี้หน่อย น่าเบื่อเกินไปแล้ว…’ พื้นรอบๆ ตัวบาวิตันขยับและเริ่มกลืนศพที่กองระเกะระกะลงไปซ่อนในหลุมที่ไร้ก้น
แสงสีดำสาดขึ้น ทุกสิ่งในหุบเขาอันตรธานหายไป เหลือแค่รอยเลือดน้อยนิดไว้เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยเกิดศึกดุเดือดมาก่อน
…
เมืองแสงอรุณ
“นางน่าจะทำใจที่จะตายเอาไว้แล้ว การบุกฐานที่มั่นใหญ่ๆ ของศาสนจักรน้ำแข็ง คงจะคิดว่าฆ่าได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นสินะ เป็นการกระทำที่น่าสงสารจริงๆ” ลู่เซิ่งที่ถือรายงานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เพิ่งจะส่งบริวารไปหามังกรสีรุ้งได้ไม่นาน พอเขาหันมามองทางทีอา กลับค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายว่าความก้าวหน้าด้านนี้เร็วกว่าที่เขาจินตนาการไม่น้อย
“สั่งให้พวกบาวิตันตั้งใจคุ้มครองผู้มีพระคุณหน่อย ลงมือให้ดุดันเข้าไว้ ให้คนอื่นๆ ทราบถึงความห่วงใยอย่างล้ำลึกจากพวกเรา” ลู่เซิ่งผุดรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้
“ถ้าเป็นแบบนั้น…เกรงว่าพวกเราจะต้องปะทะกับศาสนจักรน้ำแข็งซึ่งๆ หน้านะขอรับ…” หนึ่งในเงาคนพร่ามัวหลายสายซึ่งยืนอยู่ในห้องสมุดเอ่ยเสียงทรงพลัง
“ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ก็แค่ศาสนจักรน้ำแข็งเอง”
พวกเขาไม่พูดอะไรอีก เพราะทราบดีจากคำพูดของนายท่านแล้วว่าอีกฝ่ายยึดมั่นในเรื่องนี้ขนาดไหน
“เอาล่ะ แยกย้ายเถอะ” ลู่เซิ่งโบกมือ
ขณะเงาร่างหลายสายกำลังจะพร่ามัวหายไป อยู่ๆ เงาร่างสายหนึ่งก็สั่นไหวน้อยๆ
“นายท่าน มีข่าวด่วน” เงาคนยกมือขึ้นเสกแสงสีแดงลอยไปถึงกลางฝ่ามือลู่เซิ่ง แล้วกลายเป็นรายงานที่เหมือนกับเทียบเชิญอันประณีต
ลู่เซิ่งเลิกคิ้วและหยิบรายงานขึ้นกวาดตามองเร็วๆ
“หือ…?” เขาประหลาดใจเล็กน้อย พอเห็นเนื้อหาบนรายงาน ต่อให้เป็นเขาก็อดนึกชมความแน่วแน่ของทีอาไม่ได้
“พึ่งแค่บาวิตันคนเดียวน่าจะไม่พอแล้ว…” ลู่เซิ่งวางรายงานลง ก่อนกวาดตามองร่างทุกคนตรงหน้า
“เช่นนั้น มีใครสนใจจะไปไหม”
……………………………………….