ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 722 ฉากหลัง (2)แ
บทที่ 722 ฉากหลัง (2)
“ไม่! ไม่นะ! เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้! ข้าคือคอนสแตนนา โอซิล พระบุตรหนึ่งเดียวแห่งศาสนจักรน้ำแข็งนะ!”
เสียงโหยหวนปานผีร่ำไห้หมาป่าเห่าหอน ผสมกับเสียงวิงวอนและเสียงสะอึกสะอื้น ดังมาจากค่ายที่พังทลาย
นกในป่าตกใจบินหนีหาย สัตว์ป่าที่มีสติปัญญาอยู่บ้างส่วนหนึ่งออกห่างจากที่นี่ ด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลงจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปด้วย
ทีอาถือดาบแห่งความบิดเบี้ยวที่เป็นดาบคู่กาย คมดาบยังมีเลือดไหลลงมาไม่หยุด แต่ดาบในตอนนี้วางขวางอยู่บนคอหมูร่างกลมที่อวบอ้วนถึงขีดสุดตัวหนึ่ง
หมูอ้วนตัวนี้ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล อุจจาระปัสสาวะราด เหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน เสื้อคลุมนักบวชระดับสูงของศาสนจักรที่สวมอยู่ถูกย้อมเป็นสีแดงหย่อมหนึ่งและสีเหลืองหย่อมหนึ่ง
เลือดสายเล็กๆ ซึมออกมาจากคอของหมูอ้วนอย่างต่อเนื่อง
ทีอามองพระบุตรแห่งศาสนจักรน้ำแข็งตรงหน้าอย่างรังเกียจ
ทั้งยังเป็นพระบุตรหนึ่งเดียวอีกต่างหาก
พระบุตรหนึ่งเดียวคือมนุษย์ที่รับสืบทอดสายเลือดเทพเจ้าของศาสนจักร สามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเทพเจ้ามากที่สุดนอกจากผู้ได้รับเลือก
คนจำนวนมากนึกว่าพระบุตรหนึ่งเดียวคือชายรูปงามที่องอาจกล้าหาญ สง่างามและมีคุณธรรม แต่ว่าทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ทำให้ทีอาที่เคยจินตนาการถึงภาพลักษณ์ของพระบุตรหนึ่งเดียวเกิดความรังเกียจจนอยากอาเจียน
“ยังมีคำสั่งเสียอะไรอีกไหม” นางกระชับดาบในมือ ไม่คลายมือแม้แต่นิดเดียว
“ไม่นะ! อย่าฆ่าข้าเลย! ขอร้องล่ะ! ขอร้อง! ถ้าฆ่าข้า ศาสนจักรจะออกคำสั่งไล่ล่าระดับสูงสุด! เจ้าไม่มีทางหนีพ้นแน่!” หมูอ้วนคุกเข่าวิงวอนเสียงดัง ไม่มีความตระหนักรู้และความน่าเกรงขามของทายาทแห่งเทพอยู่แม้แต่น้อย
ทีอาแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ฉากเหตุการณ์มากมายที่ครอบครัวถูกสังหารซึ่งนางได้เห็นด้วยตาตัวเองตอนที่แอบซ่อนในความมืดแวบผ่านสมอง
เวลานั้น นางได้เปิดเผยคำสั่งอัญเชิญสัญญาจากความว่างเปล่าอันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในชนเผ่าของตัวเองระหว่างการโอ้อวดโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากนั้นศาสนจักรน้ำแข็งที่ได้รับข่าวก็ชิงลงมือก่อน ชนเผ่าถูกสังหาร พ่อแม่และครอบครัวทุกๆ คน ตายต่อหน้าต่อตานาง ส่วนนางก็ถูกท่านตาใช้เวทข้ามมิติแบบสุ่มระยะไกลส่งไปถึงดินแดนแห่งความหนาวที่อยู่ไกลแสนไกลด้วยพลังชีวิตทั้งหมด
ณ ที่แห่งนั้น นางฝึกฝนทักษะการต่อสู้อย่างหนัก พยายามเรียนทักษะการลอบสังหารและทักษะการลอบโจมตีมากมาย
จากนั้นเด็กสาวผู้งดงามที่ธรรมดาสามัญคนหนึ่งก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนักรบระดับทองคำขั้นสูงสุดในปัจจุบัน
ชนเผ่าสิ้นสูญเพราะความผิดของนาง แต่นางยังใช้ความตายชดเชยความผิดไม่ได้ เพราะนางยังมีแค้นที่ต้องชำระ
อดีตอันน่าสยดสยองมากมายแวบผ่านดวงตาของทีอาอย่างต่อเนื่อง มือที่ตอนแรกลังเลอยู่บ้างมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะ” นางกระซิบ
“ไม่!” พระบุตรเหมือนกับอ่านความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของทีอาออก จึงกรีดร้องพร้อมกับหมุนตัวหมายจะวิ่งหนีเข้าป่า
สวบ!
เพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว แผ่นหลังเขาก็ระเบิดเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้น
ทีอาค่อยๆ ลดดาบแห่งความบิดเบี้ยวในมือลง เป็นเพราะบังเอิญเจอพระบุตรหนึ่งเดียวที่มาตรวจตราในตอนทำลายฐานที่มั่นพอดี เหตุการณ์ในตอนนี้ถึงได้เกิดขึ้น
ทีอาเข้าใจดีว่า เกิดนางฆ่าพระบุตรหนึ่งเดียวตายจริงๆ สิ่งที่รอนางอยู่ก็คือผู้เข้มแข็งที่แข็งแกร่งที่สุดของ ศาสนจักรน้ำแข็งซึ่งอย่างน้อยก็อยู่ในระดับตำนาน!
โอ้!
พระบุตรหนึ่งเดียวยังร้องครวญคราง ไม่ได้ตายทันที เลือดแห่งเทพที่แข็งแกร่งทำให้เขามีร่างกายที่แม้จะบาดเจ็บขนาดนี้ก็ยังรอดได้อยู่
แต่เขาไม่ได้ใช้ร่างกายนี้สู้กับศัตรู เพียงแต่ใช้เป็นโอกาสสุดท้ายในการร้องขอชีวิตเท่านั้น
ฉัวะ!
ทีอาก้าวเข้าไปปาดดาบลงบนคอของเขา ร่างกายพลันถูกเฉือนอย่างสมบูรณ์
ครืน!
ฟากฟ้าเหมือนกับพิโรธเพราะการตายของสายเลือดแห่งเทพ ฟ้าครามระเบิดสายฟ้าลงมาสายหนึ่งทันที
ทีอาเงยหน้ามอง ก่อนจะหลบหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว
พระบุตรทุกคนต่างก็มีความสามารถรักษาชีวิตมากมายที่ศาสนจักรมอบให้อยู่บนร่าง พระบุตรหนึ่งเดียวผู้นี้ย่อมมีมากกว่า
การที่ตัวตนอันทรงเกียรติแบบนี้ถูกฆ่าตายในอาณาเขตนี้ ถือเป็นความอับอายขายขี้หน้าของทุกองค์กร!
ทีอาวิ่งด้วยความเร็วสูง เหมือนกับเสือดาวที่เผ่นโผนในป่า
ฟ้าว!
ทันใดนั้นมีขวานศึกสีเงินเล่มหนึ่งจามใส่นางจากทางซ้าย มันมาพร้อมกับแรงกระแทกอันรุนแรงและความเร็วปานสายฟ้าแลบ ยังมีอักขระประกายสีเงินชนิดพิเศษที่ฟุ้งกระจายอยู่บนหัวขวาน
ทีอาหลบฉากไปทางซ้ายดุจสายฟ้าฟาด หลบพ้นหัวขวานอย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ตีลังกากระโดดไปนั่งบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
“จงบิดเบี้ยวเถอะ ดาบแห่งสรรพสัตว์” นางชักดาบแห่งความบิดเบี้ยวออกมาด้วยแขนข้างหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งลงด้านล่าง พริบตาเดียวก็ฟันอัศวินศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ออกเป็นสองส่วน
หลังจากฆ่าผู้ลอบโจมตีเสร็จ นางก็เร่งฝีเท้าพุ่งผละออกไปต่อ
แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ชายหล่อเหลาที่สวมเสื้อคลุมสีทองคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นด้านหน้านาง ขวางทางนางไว้พอดี
“ทีอา เฌอลิช ทายาทคนสุดท้ายของสายเลือดแห่งความว่างเปล่า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำถึงขั้นนี้ได้จริงๆ”
ครั้นทีอาเห็นชายคนนี้ ตอนแรกก็ผุดสีหน้างุนงงก่อน จากนั้นสองตาก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น ม่านตาขยายตัว ทั่วร่างเริ่มสั่นไหวเหมือนกับใช้แรงทั้งหมด
ความแค้นพรั่งพรูออกมาจากจิตใจอย่างบ้าคลั่งราวกับน้ำพุ ความแค้นนั้นรุนแรงเสียจนนางไม่สนใจด้วยซ้ำว่ารอบๆ ตัวผู้ชายคนนี้จะมีผู้เข้มแข็งคนอื่นอีกหรือไม่
วินาทีนี้ ในสายตาของทีอามีแค่คนคนเดียว
“ผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์! ฟิลิปมัน!”
…
เปรี้ยง
ดาบกระดูกขนาดยักษ์ปะทะกับดาบอัศวินขนาดใหญ่เล่มหนึ่งอย่างบ้าคลั่งด้วยความคล่องแคล่วเหนือจินตนาการ
อาวุธที่มีขนาดใหญ่เหมือนกันสองเล่มใช้ส่วนที่แหลมคมที่สุดฟันใส่กันและกันโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย แต่ทุกๆ ครั้งต่างกลายเป็นการปะทะกันอย่างสูสี
บาวิตันฟาดฟันดาบกระดูกอย่างเมามันบ้าคลั่ง ต่อสู้กับนักรบศักดิ์สิทธิ์ร่างกำยำที่เรือนผมยาวสีแดงปลิวไสว
อัมนุส จอมอำมหิตใช้พลังในระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ยังคงไม่เห็นความหวังในการฝ่าอีกผ่ายออกไป
ลูกหลงที่เกิดขึ้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายสู้กันได้ทำลายหุบเขาไปแล้ว ทุกที่เต็มไปด้วยก้อนหินและต้นไม้ใหญ่หักโค่นลง
ส่วนอัมนุสที่มีฐานะเป็นท่านเอิร์ลของนักรบศักดิ์สิทธิ์ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
“ยอมแพ้เสียเถอะ…ความสามารถระดับตำนานของเจ้าไม่มีผลต่อข้าแม้แต่น้อย” บาวิตันใช้ดาบฟันใส่อีกฝ่ายหลายรอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก เขาได้แต่ใช้วิธีแบบนี้สะสมความได้เปรียบเท่านั้น ไม่สามารถฆ่าได้ในทันที
“ฝันไปเถอะ!” อัมนุสคำราม ก่อนจะโถมตัวเข้าหา “กางเขนแห่งแสง!”
ดาบใหญ่ที่เขาถือด้วยสองมือระเบิดแสงที่เหมือนกับเนบิวลาออกมา อัมนุสตะโกนก้องพร้อมกับพุ่งใส่อีกฝ่ายด้วยพลังทั้งหมด
“บาเบล” บาวิตันถอยหลังก้าวหนึ่ง แสงสีม่วงอันงดงามที่เหมือนกับวังวนสว่างขึ้นในดวงตาข้างขวา
แสงขยายใหญ่ขึ้นแล้วกลืนกินอีกฝ่ายกับดาบใหญ่เข้าไปเกือบหมด
“สุรเสียงศักดิ์สิทธิ์!” ทันใดนั้น เสียงตะโกนเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังบาวิตัน
ตูม!
บาวิตันโซเซ ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ตกลงมาจากท้องฟ้าปกคลุม โซ่อักขระสีทองหลายสายลอยขึ้นจากใต้เท้าของเขาและรัดพันธนาการเขาเอาไว้
“ตุลาการหรือ!” บาวิตันสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“ครั้งนี้อย่าคิดหนีเลย!” อัมนุสยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมพร้อมย่างเท้าใกล้เข้ามา
…
ณ ใจกลางป่า เงาร่างสีทองและสีดำต่อสู้กันดุจสายฟ้าฟาด เกิดสะเก็ดไฟยามที่อาวุธปะทะออกมาระหว่างทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง
ทีอาใช้พลังทั้งหมดด้วยสองตาแดงฉาน ฟันดาบมากมายใส่จุดอ่อนของอีกฝ่ายโดยแทบไม่สนใจความเป็นความตายของตัวเอง
เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ชายสวมเสื้อคลุมสีทองจึงตกเป็นรอง แต่เขาก็พลิกสถานการณ์ได้ในทันที แสงสีทองหลายสายที่สว่างในมืออย่างต่อเนื่องบ่งบอกได้ว่าเขาฝึกฝนทั้งเวทและการต่อสู้
“ครั้งนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว” อีกฝ่ายเยาะหยัน “ใช้ที่นี่เป็นสถานที่ฝังศพของเจ้าก็แล้วกัน สายเลือดแห่งความว่างเปล่าจะสิ้นสุดลงเท่านี้ วันหน้าข้าจะตั้งป้ายหลุมศพให้ ถือเป็นรางวัลให้แก่ความดีความชอบที่เจ้าเคยทำ”
ทีอาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร นางเพียงแต่โจมตีแล้วโจมตีเล่าต่อไปเท่านั้น
ฟ้าว!
ทันใดนั้นดาบแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งมาไกลๆ
“แค่สัตว์ประหลาดที่มีสายเลือดความว่างเปล่าตัวเดียว! กลับฆ่าอัศวินของศาสนจักรได้มากมายขนาดนี้ จงชดใช้บาปของเจ้าเสียเถอะ” เสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกล
อ๊าก!
ทันใดนั้นแขนขวาของทีอาก็ขยายตัวและบิดเบี้ยวพร้อมกับตะปบไปด้านหน้า ร่างของนางพุ่งตามไปด้วยความเร็วที่สูงสุดขีด เร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว
พริบตาเดียวก็ฟาดใส่ทรวงอกของชายในเสื้อคลุมสีทองที่ตั้งตัวไม่ทัน
ตูม!
ทั้งสองพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกัน หลบรอดการโจมตีจากดาบแสงสีทองได้พอดี
“เคียวศักดิ์สิทธิ์!” ฟิลิปมันหรือชายในเสื้อคลุมสีทองกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด การป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ซ้อนทับกันบนร่างถูกมือที่บิดเบี้ยวขยายใหญ่ข้างนี้กระแทกจนทะลุ
แต่หลังจากเอ่ยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ เคียวขนาดยักษ์สีทองเล่มหนึ่งก็ฟันเข้าใส่กลางหลังของทีอา
แต่นางไม่สนใจ หากยังคงพุ่งกรงเล็บใส่คอฟิลิปมันอีกรอบ
เปรี้ยง!
เคียวแหลกสลายในกลางทางอย่างอธิบายไม่ได้ ส่วนกรงเล็บก็ตะปบเข้าใส่ทรวงอกของฟิลิปมันอีกครั้ง
เขาเงยหน้ากระอักเลือดออกมากองใหญ่ ใบหน้าซีดขาวเหมือนคนเป็นโรค
“องค์เทพเอ๋ย! โปรดรับสายเลือดที่เรียกหาท่านกลับไปเถอะ!” เขาพลันส่งเสียงตะโกนดังลั่น ลวดลายสีทองที่ซับซ้อนสว่างขึ้นบนแผ่นหลัง
…
ซู่…
ด้านในพุ่มไม้ที่อยู่ไกลแสนไกลด้านหลังคนทั้งสอง ระลอกคลื่นโปร่งแสงที่พร่ามัวสายหนึ่งปรากฏแวบขึ้นบนแท่นบูชาแท่นหนึ่งอย่างฉับพลัน
ที่ว่างเกิดเสียงแตกดังเพล้ง ชายในชุดขาวที่ร่างส่องแสงสีทองเดินออกมาจากระลอกคลื่นมิติ
นัยน์ตาขาวส่องแสงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วนของเขาจ้องมองดูฟิลิปมันที่กำลังถูกโจมตี พลันความโกรธก็ฉายวาบในดวงตา
“เจ้าคนหมิ่นเทพ!”
เขาก้าวไปด้านหน้า พุ่งตัวไปยังสนามการต่อสู้
“เด็กสองคนทะเลาะกัน ผู้ใหญ่อย่างพวกเราอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเขาเหมือนอยู่ใกล้แค่คืบ
ชายคนนั้นตัวสั่น แววตาฉายความตื่นตระหนก รีบเคลื่อนย้ายในพริบตาไปทางซ้าย ก่อนจะหันไปมองตำแหน่งเดิมของตน
ข้างต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นมีชายท่าทางประหลาดที่มีแสงสีแดงสาดออกมาจากทั่วร่างคนหนึ่งลอยอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ฝ่าบาทเรซ่า” ชายที่มีแสงสีแดงยิ้มพลางยกมือทักทายอีกฝ่าย
“แกนี่เอง! แคล ดีปเปอร์! แกหนีออกมาได้แล้วหรือ!” ดวงตาของเรซ่าฉายความตื่นตระหนกหวาดกลัวมากกว่าเดิม มือของเขากำแหวนเทพองค์หลักที่สวมไว้บนนิ้วกลางไว้อย่างรวดเร็ว
“ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าลงมือดีกว่า” แคล ดีปเปอร์ยิ้มอย่างจนปัญญาพลางชี้ไปที่ด้านหลังตัวเอง “เดิมทีก็แค่เด็กสองคนทะเลาะกัน แค่ให้พวกเราโผล่มาก็มากเกินไปแล้ว ถ้ายังสร้างเรื่องอีก ด้านหลังเจ้ามีหัวหน้า ด้านหลังข้าก็มีหัวหน้าเหมือนกัน เกิดสู้กันขึ้นมาจริงๆ จะปกป้องคนไว้ได้หรือเปล่าข้าไม่รู้แล้วล่ะ แต่ศาสนจักรแห่งนี้ไม่รอดแน่นอน”
“เจ้า!” เรซ่ากำหมัดแน่น เดิมทีที่เตรียมการจะแจ้งเทพองค์หลักก็พลันผ่อนช้าลง
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก ผ่อนคลายเสียหน่อย นับตั้งแต่เจ้าจุดอัคคีเทพ พวกเราก็ไม่เจอกันมากว่าพันปีแล้ว มาดื่มด้วยกันสักแก้วสองแก้วสิ” แคล ดีปเปอร์ดีดนิ้วอย่างเกียจคร้าน เก้าอี้สองตัวและโต๊ะตัวหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมาระหว่างคนทั้งสอง จากนั้นก็มีเหล้าและอาหารโผล่มาอีก
…
เมืองแสงอรุณ
ลู่เซิ่งอมยิ้มขณะยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องสมุด พร้อมกับมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยบันไดเมฆ
“มาเถอะ…จะร่างแปลงหรือร่างแยก ก็มาลองลิ้มรสชาติกันสักหน่อย…”
ดวงตาเขาเปล่งประกายสีเหลืองเข้ม ชวนให้รู้สึกถึงความละโมบที่ชั่วร้าย
……………………………………….