ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 723 อัญเชิญ (1)
บทที่ 723 อัญเชิญ (1)
อาณาจักรเทพเหมันต์สัมบูรณ์เป็นดวงดาวลำดับที่สามซึ่งเป็นรองเพียงอาณาจักรเทพแสงสว่างและอาณาจักรเทพเงาเท่านั้น
เทพองค์หลักราห์ได้รับการเรียกขานว่าผู้หลับใหล ผู้ถูกจองจำชั่วนิรันดร์ เทพแห่งความนิ่งสงบ และผู้แช่แข็งมิติเวลา
อาณาจักรเทพของเขาอยู่ส่วนคาบเกี่ยวของห้วงอเวจีและยมโลกที่อยู่ใกล้ๆ กับมิติหลัก ที่นั่นมีวายุเหมันต์สุญญตากับพายุมิติไร้สิ้นสุด
ธาตุสีดำเย็นยะเยือกน่าหวาดผวานับไม่ถ้วนกลายเป็นพายุสีดำพัดไปทุกสารทิศ นอกจากอาณาจักรเทพแห่งอื่นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงอสูรก็ไม่อาจอาศัยอยู่กลางพายุมิตินี้ได้ตามใจ
ท่ามกลางความว่างเปล่าสีดำ อาณาจักรเหมันต์สัมบูรณ์หมุนอยู่กลางความว่างเปล่าอย่างช้าๆ เหมือนกับก้อนน้ำแข็งสีน้ำเงินขนาดยักษ์
เมื่อมองผ่านชั้นน้ำแข็งหนา เลยผ่านเทือกเขาหิมะและมหาสมุทรน้ำแข็งเหลือคณานับด้านในอาณาจักรเทพ
ส่วนแกนกลางที่อยู่ลึกที่สุดของอาณาจักรเทพ ด้านในเป็นตำหนักเทพที่กว้างขวางและเปล่งประกายสีฟ้า
ราห์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างสงบ
เขามีผมตัดสั้นสีฟ้า กลางหว่างคิ้วมีอักขระวงแหวนสีน้ำเงินหมุนวนอย่างช้าๆ ด้านหลังคือปีกกว้างที่เกิดจากเส้นพลังงานสีฟ้านับไม่ถ้วนคู่หนึ่ง
ถ้าหากมองให้ละเอียดถี่ถ้วนก็จะพบว่า มีคำอธิษฐานและบทสวดของมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนเติมเต็มอยู่ในขนปีกทุกๆ เส้น
บนเส้นขนสีฟ้า แค่กวาดตามอง ก็จะเห็นภาพลวงตานับไม่ถ้วนแวบผ่านอย่างรวดเร็ว ชีวิตของมนุษย์ทุกคนกำลังพลิกผันไปเรื่อยๆ อยู่ตรงนั้น
“ทางมิติหลักมีความผันผวนผิดปกติอะไรหรือ” ราห์ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางถามเสียงเบา
“ท่านผู้แช่แข็งมิติเวลาที่เคารพ มีคนหมิ่นโลหิตแห่งเทพในศาสนจักรบนมิติหลักขอรับ ฝ่าบาทเรซาเทพแห่งเหมันต์ได้ส่งร่างแปลงไปจัดการแล้ว” เสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งค่อยๆ ตอบในตำหนักใหญ่
“ศาสนจักรกับ โลหิตแห่งเทพหรือ” จิตที่ยิ่งใหญ่ไพศาลของราห์กระเพื่อมคลื่นสายหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะพลิกหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนศาสนจักรแล้วอ่านจนจบเหมือนอ่านหนังสือ
“มีอะไรบางอย่างกำลังเข้าแทรกแซงการลงโทษสาวกแห่งความว่างเปล่า” เขาเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “เกรงว่าฝ่าบาทเรซาคนเดียวจะไม่อาจจัดการปัญหาได้”
“ให้ข้าไปเถอะเทพองค์หลัก” เงาคนสีแพลตินัมสายหนึ่งโผล่ขึ้นในตำหนักใหญ่อย่างกะทันหัน เป็นหญิงสาวผมขาวรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน
นางสะพายอาวุธสีฟ้าสิบกว่าชนิดไว้ด้านหลัง อาวุธทั้งหมดอยู่ในลักษณะจานกลมซึ่งปล่อยรังสีเย็นเยียบเสียดกระดูกออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เทพแห่งความหนาวเหน็บเพกา…” ราห์ลังเลเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อยว่านอกจากตัวเขา เทพแห่งความหนาวเหน็บเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในระบบเทพที่เขาเป็นผู้นำ กล่าวได้ว่าเป็นเทพสงครามในระบบเทพทั้งระบบก็ว่าได้
แต่ตอนนี้กำลังเกิดการกระทบกระทั่งกันกับระบบเทพแห่งแสงสว่าง หากบุ่มบ่ามส่งเทพแห่งความหนาวเหน็บไปลงมือเพราะความขัดแย้งในการเผยแผ่ศาสนาบนมิติใหญ่ๆ อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ต่อให้มิติหลักจะเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุด ก็ไม่ควรอยู่ดี
“อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือก่อน เพียงแค่กำลังปกป้องคนธรรมดาที่มีสายเลือดความว่างเปล่าเท่านั้น ในเมื่อพวกเขาไม่ได้หยามเกียรติเรา พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือก่อน” ราห์เอ่ยอย่างช้าๆ
ดูจากบริวารที่อีกฝ่ายส่งมา ยังไม่พูดถึงว่าทั้งหมดเป็นอสูร คลื่นพลังคลุมเครือที่ปนเปื้อนอยู่บนร่างพวกมันยังเห็นได้ชัดว่ามาจากห้วงอเวจี
เป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือเจ้าอสูรระดับต่ำของห้วงอเวจี
พวกจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีในระดับชั้นต่ำสุดไม่ใช่จะสู้ได้ง่ายๆ ต่อให้เขาจะเป็นเทพองค์หลัก หากจะฉีกหน้าในสมรภูมิมิติหลักกันจริงๆ ก็คงมีแต่บาดเจ็บกันเปล่าๆ ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
“ไม่ต้องจุติร่างหลักลงไป แค่ส่งร่างแปลงไปก็พอ” ราห์ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
“ตามความปรารถนาของพระองค์” เทพแห่งความหนาวเหน็บเพกาก้มหน้าน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ
…
แสงสีขาวบนท้องฟ้าสาดลอดผ่านชั้นเมฆ
สายลมรวมตัวเหนือเมืองแสงอรุณอย่างช้าๆ ความเข้มข้นของธาตุและสสารที่กระจัดกระจายในอากาศยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งรอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังสัมผัสไม่ได้ว่าอาณาจักรเทพบนฟากฟ้ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เขาก็รู้ในทันทีว่าอาณาจักรเทพเหมันต์สัมบูรณ์อาจจะไม่ยอมออกโรงเอง
ในความเป็นจริง เมื่อเทียบกับจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีแล้ว ลู่เซิ่งอยากจะกินเหล่าเทพบนสวรรค์มากกว่า เป็นเพราะว่าอย่างไรก็มีลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีประโยชน์กับเขามากกว่า
ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แค่จุดเดียวเทียบได้กับผลึกลี้ลับระดับสูงก้อนหนึ่งในโลกมารสวรรค์! ความรู้และความเข้าใจที่บรรจุอยู่ด้านในจะทำให้การสั่งสมของตัวเองพุ่งทะยานขึ้นได้เหมือนกับนั่งจรวด
ถ้าหากอยู่ในโลกมารสวรรค์ ก็อย่าฝันว่าจะมีโอกาสดีๆ ในการหาผลึกลี้ลับจำนวนมากมายได้ขนาดนี้เลย
‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นผลึกลี้ลับของโลกใบนี้ ร่างแปลงที่มีพลังเทพอ่อนแอสักร่างบรรจุลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้จุดหนึ่ง ประเภทของพลังเทพชนิดอื่นๆ ไม่มีความหมายสำหรับเรา แค่เทียบได้กับพลังงานชนิดอื่นๆ ที่มีความเข้มข้นสูงเท่านั้น’
ลู่เซิ่งถอนใจและละสายตากลับมา
‘น่าเสียดาย สำหรับมิติหลัก มนุษย์และสัตว์ทั่วไปบรรจุลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แค่จุดเดียวเท่านั้น ต่อให้จะเป็นสัตว์ระดับสูง อย่างมากสุดก็ได้แค่สองจุด ในการครอบครองลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ นอกเสียจากเลื่อนเป็นกึ่งเทพ…ถึงจะครอบครองได้สามจุด นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว และหากร่างแปลงของเทพองค์หลักที่แท้จริงจุติลงมา ก็จะมีลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสิบจุดเป็นอย่างน้อย ถ้ากินได้สักหนึ่งร่าง ก็เท่ากับได้รับการชดเชยมหาศาล!’
ลู่เซิ่งมองท้องฟ้าอีกครั้งอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าทางอาณาจักรเทพเหมันต์สัมบูรณ์ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงค่อยปิดหน้าต่างอย่างผิดหวัง แล้วนั่งลงด้านหน้าโต๊ะหนังสือ
‘ในเมื่อทางนั้นไม่คิดเคลื่อนไหว เราก็ควรไปดูทางมังกรสีรุ้งก่อนดีกว่า’
เขาเริ่มอ่านข้อมูลที่ส่งมาล่าสุดเกี่ยวกับฝูงมังกรสีรุ้ง
…
ในป่าที่สภาพพังเละเทะเหมือนเพิ่งถูกพายุถล่มไป
ทั่วทั้งป่าเต็มไปด้วยหลุมลึกขนาดใหญ่กับต้นไม้ที่หักโค่น ก้อนหินแหลกสลายเป็นผุยผง แทบไม่เห็นหญ้าต้นไหนที่มีสภาพสมบูรณ์
ทีอากับฟิลิปมันยืนประจันหน้ากัน
พวกเขาร่างอาบเลือด ทางทีอาเลือดออกที่ศีรษะและเอว ส่วนฟิลิปมันเลือดออกที่ทรวงอก
ทั้งสองใช้แทบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแล้ว
เดิมที ทีอาไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่าย กรงเล็บยักษ์ของนางคงอยู่ได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
แต่เมื่อครู่ฟิลิปมันได้อัญเชิญเทพจุติ ตอนแรกนึกว่าจะต้องใช้เวทเทพจุติสำเร็จแน่ จึงผลาญค่าตอบแทนและพลังจิตไปมหาศาล สุดท้ายหลังปล่อยออกมากลับไม่มีอะไรเลย
เมื่อฟิลิปมันไม่มีร่างแปลงของเทพจุติ อีกทั้งยังเสียพลังไปจำนวนมากอีก
ทีอาจึงอาศัยชั่วพริบตาที่ฟิลิปมันงุนงง เสียบกรงเล็บใส่อกของอีกฝ่าย
ครั้งนี้กระดูกทรวงอกของฟิลิปมันที่ไม่มีพลังป้องกันเหลือแม้แต่น้อยก็จมยุบลงทันที ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต่อมาทั้งสองต่อสู้กันอีกหลายชั่วโมง จนถึงตอนนี้ ต่างเหนื่อยล้าอิดโรยและไม่มีแรงสู้อีกแล้ว
“ยัง…ยังจะสู้ต่อไหม…” ฟิลิปมันกล่าวเบาๆ พลางหอบหายใจและกุมทรวงอกของตัวเอง
“ไม่จำเป็น” ทีอากระหืดกระหอบเช่นกัน แต่พูดได้เป็นคำกว่า “เป็นเพราะข้าชนะแล้ว” นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาระคนสะใจ
“ชนะแล้วเหรอ” ฟิลิปมันงุนงง ไม่เข้าใจว่าทีอาพูดถึงอะไร
พรู่ด!
อยู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นกระจายมาจากส่วนเอว
ฟิลิปมันงงงัน รีบก้มหน้ามอง
พลันเห็นว่าตรงท้องน้อยของตนมีกลุ่มก้อนสีแดงเข้มโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เลือดเนื้อบนท้องน้อยนั้นกำลังขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็ว ใหญ่ขึ้นและขยับยุกยิก รวมตัวกันกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดเท่านิ้วก้อนแล้วก้อนเล่า
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในกายไม่อาจขจัดพลังประหลาดในท้องน้อยนี้ได้เลย
“ไสหัวไป ดาบแห่งความว่างเปล่า!” ทีอาชักมีดสั้นสีแดงอีกเล่มหนึ่งออกมาจากเอวด้านหลัง แล้วแทงใส่หัวใจของตัวเองอย่างรุนแรง
สวบ!
พรู่ด!
ทว่าคนที่กระอักเลือดกลับเป็นฟิลิปมัน เขาหน้าซีดและโซเซถอยหลังไปหลายก้าว เลือดคำโตทะลักออกมาจากปากไม่หยุด พลังศักดิ์สิทธิ์สีขาวที่ไหลเชี่ยวบนร่างเขาคิดจะสมานบาดแผลบนตัวให้
แต่กลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย การทะลักของพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้เลือดในปากของเขาไหลเร็วขึ้นกว่าเดิม
“องค์เทพเอ๋ย…!” ฟิลิปมันเงยหน้าตะโกน ในดวงตาค่อยๆ ปรากฏความสิ้นหวัง
“เทพของแกช่วยแกไม่ได้แล้ว!” ทีอาก้าวเข้าไปหาก้าวหนึ่ง
สวบ!
ประกายดาบฟาดฟัน ศีรษะของฟิลิปมันขาดกระเด็นกลิ้งบนพื้นหลายตลบก่อนจะหยุดแน่นอนนิ่ง
ร่างกายของเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ละอองเลือดพุ่งออกมาจากส่วนหัวที่ขาดออกไปอย่างต่อเนื่อง
ทีอาคุกเข่าลงพลางหอบหายใจ ขณะมองสภาพเละเทะด้านหน้า ขอบตานางก็แดงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
‘ตอนนี้ยังวางใจไม่ได้ ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้! ถึงจะไม่รู้ว่าใครคอยช่วยก็เถอะ แต่เราจะทำให้เจตนาดีของอีกฝ่ายเสียเปล่าไม่ได้’
นางฝืนหยัดร่างขึ้น แล้วเร่งความเร็ววิ่งออกห่างจากเมืองหลวงของศาสนจักร
การแก้แค้นครั้งนี้ผิดปกติมาก
นางรู้แก่ใจดี ตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่ายอดฝีมือของศาสนจักรน้ำแข็งพวกนั้นไม่ได้ใช้ไม้ตายก้นหีบเลย
ไม่ใช่ว่าไม่ใช้ แต่ใช้แล้วไม่เกิดผลต่างหาก
พระบุตรของศาสนจักรถูกฆ่า ฐานที่มั่นมากมายถูกทำลาย ยังมีผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งถูกสังหาร นี่มันคือพระบุตรหนึ่งเดียวและผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ
ทั้งสองคนนี้มีความสำคัญต่อศาสนจักรถึงขีดสุด พระบุตรหนึ่งเดียวถูกใช้เป็นกายเนื้อที่เหมาะแก่การจุติของเทพที่แท้จริงได้ ทั้งยังใช้ได้หลายต่อหลายรอบโดยไม่มีอุปสรรคเนื่องจากโลหิตแห่งเทพด้วย
ส่วนผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นองค์กรความมืดที่แข็งแกร่งที่สุดของศาสนจักรน้ำแข็ง มีหน้าที่สูงสุดที่ขึ้นตรงต่อพระสันตปาปาและเทพเจ้าโดยตรง
ผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนไม่มาก แต่ต่างก็มีพลังไม่เลว โดยทั่วไปแล้วผู้ตัดสินจะตัดสินสาวกนอกรีตแทนพระสันตปาปา
ผู้ตัดสินแห่งสุรเสียงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถืออำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือ ครอบครองอำนาจในการสังหาร
พอนึกถึงตรงนี้ ทีอาก็พลันนึกถึงผู้ชายคนนั้นที่ลงมือลอบโจมตีด้านหลังฟิลิปมัน จากนั้นในตอนที่นางกับฟิลิปมันต่อสู้กัน คนคนนั้นกลับหายตัวไป ไม่รู้ว่าหนีไปแล้วหรืออย่างไรกันแน่
‘ไม่ว่ายังไง เบื้องหลังจะต้องมีใครสักคนช่วยเราอยู่แน่ บุคคลสำคัญตั้งสองคนถูกฆ่า ศาสนจักรน้ำแข็งไม่มีทางไม่ส่งผู้เข้มแข็งระดับตำนานออกเคลื่อนไหว…’
ที่จริงตอนแรกนางทำใจพร้อมตายเอาไว้แล้ว เพราะไม่ว่านางจะพิเศษขนาดไหน แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของผู้เข้มแข็งระดับตำนานอยู่ดี ต่อให้เป็นระดับตำนานที่อ่อนแอที่สุด พลังทำลายที่ระเบิดออกมาก็เหนือกว่าจินตนาการของนางไปไกลโข
แต่กลับเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีผู้เข้มแข็งระดับตำนานปรากฏตัวสักคน
ทีอาวิ่งตัดทะลุป่าอย่างรวดเร็ว และในตอนที่ใกล้จะออกจากทะเลป่าผืนนี้แล้วนั่นเอง
อยู่ๆ นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นจากสายลมที่พัดมาด้านหน้า
นางรีบทิ้งตัวลงบนคาคบไม้ขนาดใหญ่ ก่อนจะลอบมองไปยังนอกชายป่า
ด้านหน้าคือหุบเขาตะปุ่มตะป่ำที่มีหินประหลาดงอกอยู่
คนผู้หนึ่งยืนอยู่ในหุบเขา เป็นคนลึกลับที่ทั้งตัวเป็นสีแดงเข้ม แม้แต่ผมและดวงตาก็เป็นสีเดียวกัน
“ท่านหญิงทีอา ก่อนจะออกไป ข้าจะช่วยขจัดสัญลักษณ์พลังเทพที่ซ่อนอยู่บนร่างท่านก่อน” เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและค่อยๆ ยื่นมือเข้าหาทีอา
ยังไม่รอให้ทีอาตอบสนอง นางก็รู้สึกว่าตรงกลางทรวงอกของตัวเองมีจุดแสงสีทองอ่อนกึ่งโปร่งแสงจุดหนึ่งค่อยๆ แยกตัวออกมา
จุดแสงดิ้นรนสุดชีวิตเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างจับไว้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
ตูม
จุดแสงระเบิดขึ้น ทันใดนั้นทีอารู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายหมดจด
“เรียบร้อยแล้ว ขออวยพรให้ท่านพบความสุข” ชายร่างแดงฉานยิ้มอีกครั้ง จากนั้นก็แตกตัวกลายเป็นอนุภาคสีเลือดจำนวนมากแล้วไหลลงสู่ดินอย่างไร้สุ้มเสียง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ! พวกท่านเป็นใครกันแน่! ทำไมถึงช่วยข้า!?” ทีอารีบก้าวเข้าไปพร้อมกับถามเสียงดัง
“พวกเราเพียงแค่ตอบแทนความใจดีของท่านเท่านั้น” เสียงของผู้ชายลอยมาแต่ไกล เหมือนซ่อนเร้นเหมือนปรากฏ คล้ายกับมาจากที่แสนไกล
“ความใจดีหรือ” ทีอางงงวย ลองใคร่ครวญดู จากนั้นนางก็พลันตัวสั่น นึกถึงรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้บนใบหน้าของชายคนนั้นหลังจากที่ตนส่งมังกรน้อยทั้งสองไปถึง
แม้นางจะเคยทำเรื่องดีๆ มาไม่น้อย แต่หากจะบอกว่าเรื่องที่ช่วยตัวเองได้มากที่สุดก็มีแต่พี่น้องมังกรสีรุ้งสองตัวนั้นเท่านั้น
ถึงแม้จะดูแค่ภายนอก นางก็มองออกว่าอีกฝ่ายมีพลังไม่ธรรมดา
เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่า ระดับของอีกฝ่ายจะสูงถึงขั้นนี้…
‘แต่ตอนนี้เป็นแค่การคาดเดาของเราคนเดียว ไปพิสูจน์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน’ ความคิดของทีอาทำงานเร็วจี๋ จากนั้นนางก็พุ่งเข้าหุบเขาและมุ่งหน้าไกลออกไป
……………………………………….