ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 724 อัญเชิญ (2)
บทที่ 724 อัญเชิญ (2)
เมืองแสงอรุณ
ลู่เซิ่งวางข้อมูลลงก่อนจะนวดขมับ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
‘ฝูงมังกรสีรุ้งหายไปหมดแล้ว ไม่เจอเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ซาดีนก็หายไปด้วยเหมือนกัน ยุ่งยากจริง…’
ข้อมูลรายงานว่า ระบบเทพแห่งแสงสว่างกับระบบเทพแห่งความมืดสู้กันอีกแล้ว
กองทัพแสงศักดิ์สิทธิ์กับเพชฌฆาตความมืดกำลังเปิดศึกกันในอาณาจักรโอแรนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายอาณาจักร
อาณาจักรโอแรนถูกทำลายพังพินาศ ประชากรหลายร้อยล้านคนพลัดพรากถิ่นฐาน บาดเจ็บล้มตายสาหัส
‘อาณาจักรเทพสิบกว่าแห่งกลางท้องฟ้าสู้ตะลุมบอนกัน ยังมีเทพระดับบนที่มีพลังเทพแข็งแกร่งเข้าร่วมด้วย’
ลู่เซิ่งไม่เคยต่อสู้กับอาณาจักรเทพที่แท้จริงมาก่อน จึงไม่ทราบว่าหากเทียบกับอาณาจักรเทพที่แท้จริงแล้ว พลังของตัวเองเป็นอย่างไร
หากบอกว่าเป็นร่างแปลงหรือนักบุญที่ร่างแยกจุติลงมา เขาล้วนมีความมั่นใจ แต่ว่าพลังและความสามารถของเทพที่แท้จริงซึ่งออกจากอาณาจักรเทพกับอยู่ในอาณาจักรเทพนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เหมือนกับแม่ทัพใหญ่ที่บัญชาการกองทัพใหญ่ การท้าสู้กับคนหนึ่งต่อหนึ่ง กับการบัญชาการกองทัพเข้าห้ำหั่นกับฝูงชน เป็นคนละระดับกันโดยสิ้นเชิง
‘ดูเหมือนจะต้องรีบหาขีดจำกัดการต่อสู้ของเราให้กระจ่างเร็วๆ แล้ว หากกำหนดพลังทั้งหมดของตัวเองได้ ก็จะรู้ว่าตัวอยู่ในระดับไหนของโลกใบนี้’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญและลุกขึ้น ตัวหนังสือในรายงานที่วางบนโต๊ะเลือนหายไปกลายเป็นกระดาษเปล่าที่ไม่มีความหมายปึกหนึ่ง
เขาเปิดประตูเดินออกจากห้องสมุด ฟังการเคลื่อนไหวด้านหน้าประตูห้องนอนของหงเย่ผู้เป็นลูกสาวสักพัก พอแน่ใจว่าเด็กคนนี้กำลังทำการบ้านอยู่ จึงค่อยเดินลงชั้นล่างมาถึงห้องใต้ดินที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างวางใจ
ห้องใต้ดินด้านล่างคฤหาสน์ใหญ่มาก แทบเทียบเท่ากับขนาดสองเท่าของคฤหาสน์บนบก ทั้งยังแบ่งห้องหับกับถ้ำออกมาได้ไม่น้อย
ลู่เซิ่งเดินตามอุโมงค์ไปถึงถ้ำพิเศษที่ติดตั้งลวดลายวงแหวนเวทนับไม่ถ้วนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เขาพลิกมือปิดประตูถ้ำและเปิดใช้วงแหวนเวทที่ใช้ผนึกปิดล็อกไว้
‘ก่อนหน้านี้กินจอมอสูรที่อยู่สูงกว่าชั้นที่สามสิบของห้วงอเวจีมาโดยตลอด พลังของจอมอสูรที่อยู่เหนือชั้นสามสิบขึ้นไปเป็นระดับกึ่งเทพ ไม่นับว่าสู้ยาก ตัวที่ร้ายกาจจริงๆ คือพวกที่อยู่ต่ำกว่าชั้นสามสิบลงไป…’
ลู่เซิ่งรู้จากข้อมูลที่ได้มาว่า ห้วงอเวจีได้ชื่อว่าลึกไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีใครรู้ว่ามันมีกี่ชั้นกันแน่
ต่อให้จะเป็นแค่จิตแห่งห้วงอเวจี ก็เป็นแค่องค์ประกอบรวมของจิตที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติบนหนึ่งร้อยชั้นแรกเท่านั้น ชั้นที่อยู่ลึกลงไปยังคงลี้ลับพิศวงอยู่ดี
มันยืดขยายลงไปด้านล่างเหมือนกับหลุมใหญ่มหึมา
ลู่เซิ่งพลิกหาวัตถุดิบที่เตรียมไว้ก่อนหน้า แล้วเติมสิ่งของบางส่วนลงไปบนวัตถุดิบที่ใช้อัญเชิญพวกจอมอสูรเมื่อก่อนหน้านี้
ผลึกมังกรของมังกรแดงที่วางลงไปเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ต่อให้จะเป็นจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีที่แข็งแกร่งกว่า ผลึกมังกรของมังกรแดงโตเต็มวัยที่กล้าแข็งก็เป็นของว่างที่ไม่เลวเช่นกัน
ผลึกมังกรก้อนนี้รวมถึงวัตถุดิบอื่นๆ เป็นทรัพยากรที่ลู่เซิ่งใช้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรเมื่อจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีมาแล้วก็ไม่ได้กลับไปอยู่ดี จึงไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร บางครั้งยังได้ของเพิ่มบางส่วนที่พลิกหาได้จากตัวจอมอสูรตนก่อนหน้าเข้าไปอีกด้วย
หลังจากเตรียมการเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ลู่เซิ่งก็เริ่มกระตุ้นวงแหวนเวทอัญเชิญห้วงอเวจีอย่างช่ำชอง
อักขระสีแดงเข้มสว่างขึ้นบนวงแหวนเวทมนตร์หลายเหลี่ยมที่ไม่มีรูปทรง หมอกสีแดงฉานหลายสายระเหยขึ้นจากเส้นสายของวงแหวนเวท
‘ครั้งนี้เป็นตั้งแต่ชั้นที่สามสิบลงไป…หวังว่าจะติดต่อกับชั้นที่มีจอมอสูรได้’ ลู่เซิ่งคาดหวัง
ไม่ใช่ว่าห้วงอเวจีทุกชั้นจะมีจอมอสูร ห้วงอเวจีบางชั้นถึงขั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ต่อให้เป็นสัตว์ในห้วงอเวจีก็ไม่อาจอยู่ที่นั่นได้นาน
วงแหวนเวทสั่นไหวน้อยๆ หมอกเลือดที่ระเหยออกมาเริ่มจับตัวเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้หลายตัว
สัญลักษณ์รวมตัวกันกลางวงแหวนเวท ไม่นานก็รวมตัวเป็นประตูข้ามมิติสีแดงฉานสูงเท่าหนึ่งตัวคน
อากาศร้อนแรงที่มีพิษซึ่งไม่ใช่ของมิติหลักหลายสายค่อยๆ ไหลออกมาจากอีกด้านหนึ่งของประตูข้ามมิติ
“ข้า…มีโตกาผู้ยิ่งใหญ่ จอมหลอกลวงแห่งห้วงอเวจี ผู้เผาไหม้มังกรเป็นตอตะโก ผู้แผ่กระจายความกลัว! ตอบรับคำอัญเชิญของเจ้า!”
เสียงคำรามยิ่งใหญ่ลากยาวดังมาจากในประตูข้ามมิติ
ขณะเดียวกัน แสงสีแดงเข้มกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ แผ่ขยายจากกลางประตูข้ามมิติออกไปรอบๆ
ลวดลายวงแหวนเวทรอบๆ ถ้ำที่ลู่เซิ่งอยู่ พากันเปล่งแสงเจิดจ้า โคจรสุดกำลังเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากวงแหวนพลังของจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีที่แข็งแกร่ง
‘คลื่นพลังแข็งแกร่งกว่าจอมอสูรทั้งหมดก่อนหน้ารวมกันเสียอีก…รุนแรงไม่ต่างกับครึ่งหนึ่งของร่างหลักเรา…’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก
“ใครเป็นผู้อัญเชิญข้า! จงเซ่นสรวงวิญญาณของเจ้า แล้วข้าจะตอบแทนความปรารถนาของเจ้าอย่างยุติธรรมเอง!” มีโตกาคำรามออกมาอีกครั้ง
“จอมอสูรมีโตกาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ข้าเอง โอมิส มังกรสีรุ้งผู้ต้อยต่ำที่มาจากมิติหลักเป็นผู้อัญเชิญท่านจุติลงมา” ลู่เซิ่งจัดระเบียบความคิด แล้วรีบตะโกนตอบโดยแสร้งทำเสียงยำเกรง
เขาใช้ภาษาห้วงอเวจี แต่คำพูดแฝงหางเสียงของภาษามังกรที่ฟังออกได้ชัด
“มังกรสีรุ้งหรือ”
มีโตกาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด มังกรสีรุ้งในตอนนี้เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากมิติหลักแล้ว ถึงวิญญาณของมังกรสีรุ้งจะไม่ถือว่าล้ำค่าอะไรสำหรับเขา แต่ว่าจอมอสูรบางตนก็ชอบเก็บสะสมวิญญาณของมังกรหายากแบบนี้มาก น่าจะขายได้ราคาดี
“จงบอกความปรารถนาของเจ้ามาและทำสัญญากับข้าเสีย จงใช้วิญญาณเป็นค่าตอบแทน แล้วข้าจะตอบสนองความต้องการของเจ้าเอง!” มีโตกาค่อนข้างพอใจกับการตอบรับคำอัญเชิญในครั้งนี้
“ข้า โอมิส ยินดีใช้วิญญาณเป็นค่าตอบแทน ขอวิงวอนให้จอมอสูรมีโตกาแห่งห้วงอเวจีจุติลงมายังที่แห่งนี้ เพื่อทำลายศัตรูของข้า และเผาไหม้ศัตรูของข้าให้สิ้นซาก!” ลู่เซิ่งใช้เสียงที่แฝงความโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวตอบรับเงื่อนไขการทำสัญญาของมีโตกา
ชั้นที่ห้าสิบเอ็ด! ตามบันทึกในคัมภีร์ นี่เป็นตัวตนอันแข็งแกร่งที่เทียบเท่าพลังเทพระดับกลาง ถ้าอยู่ในชั้นห้วงอเวจีที่อีกฝ่ายปกครอง จอมอสูรเช่นนี้จะเทียบกับพลังต่อสู้ของเทพแท้จริงผู้มีพลังเทพระดับกลางยามอยู่ในอาณาจักรเทพได้อย่างสมบูรณ์
ลู่เซิ่งใช้มันคาดคำนวณพลังของตัวเองอย่างคร่าวๆ ร่างหลักควรจะอยู่ในระดับค่อนข้างแข็งแกร่งในหมู่เทพระดับกลาง เทพระดับบนแตกต่างกับเทพระดับกลางอย่างใหญ่หลวง ไม่เพียงแค่หนึ่งหรือสองเท่าเท่านั้น ดังนั้นเขาเลยคิดว่าตนไม่อาจปะทะกับเทพระดับบนที่อยู่ในอาณาจักรเทพของตัวเองได้
ตัวเขาเทียบได้กับเทพระดับกลางที่ครอบครองอาณาจักรเทพแห่งหนึ่ง
พอได้ข้อสรุปมาพอประมาณ จิตใจของลู่เซิ่งก็กระจ่างขึ้นในหลายๆ ด้าน
“เช่นนั้นแล้วศัตรูของเจ้าเล่า ข้ากำลังจะจุติ จงชี้บอกศัตรูของเจ้าเสีย!” มีโตกาสั่งเสียงดัง
“ศัตรูของข้าใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านมีโตกาผู้น่ายำเกรง พวกเขาครอบครองเวทมนตร์ระดับสูงอย่างการเคลื่อนย้ายในพริบตา ข้ากับเผ่าพันธุ์ข้าสู้ไม่ไหว” ลู่เซิ่งโอดครวญเสียงดัง
…
ณ ห้วงอเวจีชั้นที่ห้าสิบเอ็ด ดินแดนไร้แสง
มีโตกากระพือปีกยักษ์ที่ประกอบขึ้นจากลาวาอยู่ในความมืด ขณะมองประตูข้ามมิติสีแดงตรงหน้า ตอนที่กำลังจะหดร่างและจุติไปยังมิติหลักนั่นเอง
‘แปลกๆ นะ…เหตุใดจึงสัมผัสจิตสังหารกับเจตนาร้ายของอีกฝ่ายไม่ได้เลย! แถมยังไม่ได้กลิ่นความสิ้นหวังจากตัวผู้อัญเชิญอีกต่างหาก’ มันเกิดความเคลือบแคลงในใจ
ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีจอมอสูรจากหลายๆ ชั้นถูกผู้อัญเชิญปริศนาอัญเชิญออกไป จากนั้นก็หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ…
ไม่ได้…ต้องระวังตัวหน่อยแล้ว
ความคิดที่ตอนแรกตั้งใจจะมุดเข้าประตูข้ามมิติของมีโตกาค่อยๆ หายไป
“ในเมื่อศัตรูของเจ้ายังมาไม่ถึง ก็รอให้พวกมันมาถึงก่อน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูระดับใด ข้าก็กวาดล้างได้ในพริบตา เผาไหม้สรรพสัตว์กลายเป็นตอตะโก!” เขาแสดงความน่าเกรงขามของตนเองอย่างเต็มที่ แต่ร่างขนาดมหึมากลับไม่กระดิกแม้แต่น้อย
“ท่านมีโตกาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย! วงแหวนเวทผลาญพลังงานมากเกินไปนะขอรับ…”
“ไม่ต้องรีบ มีโตกาผู้เมตตาจะช่วยเจ้าคงวงแหวนข้ามมิติเอาไว้” มีโตกาโบกมืออีกรอบ
“ขอบคุณท่านจอมอสูร เช่นนั้นตัวข้า…!”
เปรี้ยง!
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังลั่นมาจากวงแหวนข้ามมิติ
“พวกมันมาแล้ว!” เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังขึ้นอีกครั้ง
มีโตกาได้ชื่อว่าจอมหลอกลวงอยู่แล้ว มีประสบการณ์การหลอกคนมาหลายพันปี พอเห็นดังนั้น ความสงสัยในใจจึงยิ่งก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร มีโตกากำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ ด้วยพลังของข้า ไม่มีใครหลบเลี่ยงจุดจบของการกลายเป็นตอตะโกไปได้!” เขาหัวเราะเสียงเย็นในใจ แต่ปากกลับยังคงคุยโว
อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ข้าเพิ่งจะบอกว่าให้รอคนมา เจ้าก็ว่าคนมาทันที
“มีโตกาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย…เครื่องเซ่น…เครื่องเซ่น…ข้าขอใช้ทุกสิ่งของข้าเป็นเครื่องเซ่น! ขอวิงวอนให้ท่านจุติลงมาด้วยเถอะ!”
ไม่นานทางด้านวงแหวนเวทก็มีคลื่นอันรุนแรงที่คุ้นเคยส่งมา
ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์!
มีโตกาเบิกตาโต แยกแยะที่มาของคลื่นชนิดนี้ ทั้งยังได้ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งเป็นค่าตอบแทนเสียด้วย
เขาเลียริมฝีปากอย่างละโมบและงุ่นง่าน แต่ความกังขาในใจก็สะกดความโลภเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เหอะๆ กล้าเอาลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มาล่อข้าเลยหรือ ตอนแรกข้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าหลอกลวงหรือไม่ แต่พอเสนอลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นี่ออกมา ข้าก็ยืนยันได้เต็มร้อยว่าการอัญเชิญนี้เป็นแผนลวงแน่แท้!”
เขากระพือปีก พลังของห้วงอเวจีอันยิ่งใหญ่เริ่มประคองร่างมหึมาของเขาจากไป
“พอแล้ว เจ้าเล่นไปคนเดียวเถอะ ข้าไปล่ะ แผนลวงหยาบๆ แบบนี้กล้าเอามาใช้หลอกมีโตกาผู้ยิ่งใหญ่หรือ ไร้สาระโดยแท้!”
เขาหัวเราะขณะฟังเสียงร้องโหยหวนที่ดังมาจากในประตูข้ามมิติไม่หยุด ในนี้ที่ถึงขั้นมีความสิ้นหวังและความเจ็บปวดของวิญญาณมังกรสีรุ้งอยู่ด้วยเชียว
“แสดงได้สมจริงดีนี่” แม้ตัดสินใจจะจากไปแล้ว แต่ความสงสัยในใจเขาก็กลับมาอีกครั้ง
ระดับความสมจริงนั้นไม่เหมือนการจัดฉากขึ้นมาเลย
ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายมีโตกาก็ตัดสินใจหยั่งเชิงดูเป็นครั้งสุดท้ายเพราะความโลภต่อเครื่องเซ่น
เขาหยุดนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เข้าใกล้ประตูข้ามมิติพร้อมกับหดขนาดร่าง จากนั้นก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่ประตูข้ามมิติ
‘ขอดูหน่อยก็แล้วกัน ต่อให้มีปัญหา ข้าก็แค่แย่งเครื่องเซ่นไปเร็วๆ ก็พอ สบายๆ!’ มันวางแผนไว้ในใจ อย่างไรขอแค่มันไม่จุติลงไป ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา
นิ้วสีดำแหลมคมเข้าใกล้แสงสีแดงที่กระเพื่อมบนประตูข้ามมิติ
ตอนที่ใกล้จะแตะแสงสีแดงนั่นเอง มีโตกาก็ลังเลอยู่ดี
‘ช่างเถอะ แค่เครื่องเซ่นนิดเดียวเอง เกิดเจอปัญหาเข้าจริงๆ เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสียเอา’ มันส่ายหน้าเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้
เครื่องเซ่นมีมากมาย ต่อให้เครื่องเซ่นในครั้งนี้จะเทียบได้กับพิธีกรรมหลายร้อยครั้ง แต่ถ้าเกิดเจอปัญหา ก็ไม่คุ้มอยู่ดี
เขาชักนิ้วกลับ
แต่ทันใดนั้น เขากลับพบว่าดึงนิ้วกลับมาไม่ได้!
มีโตกาก้มหน้ามอง เห็นข้างใต้ประตูข้ามมิติบานนั้นมีเท้าคนโผล่มาและขยับเข้าใกล้ตนอย่างเงียบๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่!
‘เป็นไปไม่ได้…?!’ มีโตกาเห็นท่าไม่ดีแล้ว
ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ!?
เขารู้สึกว่าตนเองใช้ชีวิตมาหลายหมื่นปีอย่างเสียเปล่า
“ข้า…”
ยังไม่ทันได้พูดคำต่อไป แขนสีดำแน่นขนัดก็พุ่งออกมาจากประตูข้ามมิติ
มือหลายข้างปิดปากเขา ส่วนมือข้างที่เหลือก็แย่งกันจับตัวของเขาเอาไว้ พละกำลังอันมหาศาลที่เหนือจินตนาการออกแรงกระชากเขาหายไปในประตูข้ามมิติทันที
……………………………………….