ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 726 อเวจี (2)
บทที่ 726 อเวจี (2)
แม้อาการบาดเจ็บจะรุนแรง แต่ดีที่หลังจากศึกษาเป็นเวลานาน กายอมตะพันเทวะก็ได้ผสมคุณสมบัติร่างกายของมังกรสีรุ้งเข้าไปแล้วส่วนหนึ่ง
นี่เป็นความมั่นใจที่ทำให้ลู่เซิ่งกล้าใช้ร่างมังกรเข้าสู่ห้วงอเวจี
แต่ครั้งนี้เขาเสียท่าไปไม่น้อย
‘พลังจิตเสียไปหนึ่งในสิบ!’ ลู่เซิ่งตรวจสอบอาการบาดเจ็บของร่างหลัก ตอนไม่ตรวจสอบยังพอว่า พอตรวจสอบปุ๊บเขาก็ตกใจทันที
‘ดูเหมือนจะกินจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีไม่ได้แล้ว ตอนนี้แถมยังหาเรื่องไอ้ตัวสวะในห้วงอเวจีไม่ได้ด้วย’ เขานิ่งงันในทันที
เห็นได้ชัดว่าพฤติการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ของเขาได้ไปถึงขีดจำกัดที่จิตแห่งห้วงอเวจีจะอดทนได้แล้ว
ความเสียหายของห้วงอเวจีเมื่อครู่นี้สาหัสกว่าเขามาก เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
แต่เทียบกับเขาแล้ว จิตแห่งห้วงอเวจีมีพลังจิตยิ่งใหญ่จนเหนือจินตนาการ นั่นเป็นจิตอันน่ากลัวที่รวมตัวกันจากชั้นของห้วงอเวจีทั้งหมดในมิตินับไม่ถ้วน
หากต่อสู้ยืดเยื้อ ลู่เซิ่งร้อยคนก็ยังไม่พอที่จะปะทะกับมัน
‘ดูเหมือนจะกินห้วงอเวจีไม่ได้แล้ว…ขั้นต่อไปลองทางยมโลกดูก็แล้วกัน’
ลู่เซิ่งถอนใจอย่างจนปัญญา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองมีโตกาที่แน่นิ่งอยู่กลางอากาศ
กายเนื้อนี้ไม่มีลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ปนเปื้อนแล้ว และไม่มีตราประทับจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีที่เป็นแกนหลักด้วย ของสิ่งนั้นได้ถูกกระแทกจนแหลกละเอียดไปแล้วในการปะทะกันเมื่อครู่
‘เหลือแต่กายเนื้อแค่อย่างเดียว…’ ลู่เซิ่งลูบคาง ‘กินทั้งอย่างนี้ก็ออกจะเปลืองไปหน่อย…’ เขาพลันเกิดความคิดที่ไม่เลว ทิ้งไว้แบบนี้อาจจะดีเหมือนกัน
การชิงอาวุธเทพที่มีพลังอาวรณ์มากในเวลาต่อจากนี้ สามารถใช้ร่างกายนี้ลงมือได้อย่างสมบูรณ์!
ลู่เซิ่งวาดวงแหวนเวทมิติ แล้วทิ้งกายเนื้อที่มีพลังชีวิตกล้าแข็งเข้าไปในมิติของหอคอยจอมเวทที่เป็นของเขาคนเดียว
จากนั้นเขาก็เริ่มทดลองอัญเชิญเป็นครั้งที่สองต่อ
“ประตูหมายเลขหนึ่ง เจ้ายังไหวไหม” เขามองประตูข้ามมิติสีแดงบานนั้นอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง “ถ้าทนไม่ไหวให้รีบบอก”
“ภาพรวมยังไหวขอรับ หัวหน้าวางใจเถอะ ร่างหลักของข้าอาศัยพลังบิดเบี้ยวจากมิติเสริมความมั่นคง คิดจะทำลายข้า จะต้องทำลายมิติเวลารอบๆ ข้าก่อน ยุ่งยากไม่น้อยขอรับ” ประตูข้ามมิติส่งเสียงหยาบกระด้างมา
“เช่นนั้นก็ดี ครั้งนี้ข้าจะเชื่อมต่อกับทางยมโลก ถ้าเจ้าไม่ไหว ข้าจะเสริมความแข็งแกร่งให้เจ้าเพิ่ม”
พลังด้านเวทมนตร์ข้ามมิติในมนตราแปดสิบแปดชนิดของเขาได้ไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะเรียนรู้ถึงขั้นหกพันเท่านั้น แต่ว่าความรู้อันล้ำลึกต่อมิติเวลากับการข้ามมิติก็ทำให้เขาฝังประตูข้ามมิติของตัวเองเข้ากับตัวมิติเวลาได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเป็นแบบนี้ หากคิดจะทำลายการข้ามมิติ จะต้องทำลายมิติเวลาเสียก่อน แต่เนื่องจากการสะกดจากมิติหลักและการตอบโต้จากร่างหลักของเขา การทำลายเกราะป้องกันมิติเวลานั้นยากเสียจนแม้แต่จิตห้วงอเวจีก่อนหน้านี้ก็ทำไม่ได้
“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาติดตั้งวงแหวนเวทอันต่อไปกัน”
ลู่เซิ่งมองห้องลับที่เละเทะ ลวดลายวงแหวนเวทจำนวนมากในตอนแรกได้ถูกการปะทะกันอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้บิดจนพร่ามัวไปหมดแล้ว
“เทียบกับห้วงอเวจีแล้ว ยมโลกมีระดับมากกว่า พวกเราต้องระวังตัวเท่าที่จะทำได้ เกิดถูกราชายมโลกเจอตัว เกรงว่าขโมยได้ไม่กี่อย่างก็ต้องถอยก่อน” ลู่เซิ่งกำชับ
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ใหญ่ ข้ามั่นใจ ท่านยังไม่รู้จักความสามารถของข้าอีกหรือ” ประตูข้ามมิติตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้วเริ่มกลับมาติดตั้งประตูข้ามมิติไปยังยมโลก
เทียบกับห้วงอเวจีแล้ว การเชื่อมต่อกับยมโลกง่ายดายกว่ามาก
ยมโลกอยู่ใกล้กว่าห้วงอเวจี มีมิติเงาแห่งหนึ่งกั้นมันกับมิติหลักเอาไว้ แม้จะถูกกองทัพพลังงานฝ่ายดีจำนวนมากปิดผนึกไปนานแล้วก็ตาม แต่ด้วยระดับของลู่เซิ่ง การเชื่อมต่อกับที่นั่นไม่ถือว่ายากเท่าไหร่
วิธีการก็คือการใช้กระจกสองบาน
ใบหนึ่งใหญ่ใบหนึ่งเล็ก และต้องเป็นกระจกที่สะอาดสะอ้าน
จากนั้นวางกระจกบานเล็กไว้หน้ากระจกบานใหญ่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แสงมากพอ และต้องวางไว้ตรงกึ่งกลางที่สุดด้วย
จากนั้นก็ใช้เลือดแห่งบาปป้ายตรงกลางไว้เล็กน้อย
เมื่อเป็นแบบนี้ หย่อมเลือดบนกระจกจะถูกแผ่นกระจกที่สะท้อนกลับอย่างไร้สิ้นสุดส่งไปถึงส่วนลึกของจุดสิ้นสุดแห่งมิติเวลา
ช่องว่างซึ่งเชื่อมต่อไปยังยมโลกจะถูกส่องสะท้อนตรงส่วนลึกของกระจกซึ่งสะท้อนอย่างไร้สิ้นสุด ว่ากันว่ายมโลกในอดีตเป็นโลกใบเดียวกับมิติหลัก เพียงแต่เหล่าเทพกลับเฉือนหั่นออกไปเพราะสาเหตุอันใดก็ไม่อาจทราบได้
เมื่อรวมการจัดตั้งอย่างง่ายๆ นี้เข้ากับอักขระที่ช่วยจับคู่กับยมโลก ก็จะเชื่อมต่อกับยมโลกได้ นอกเหนือจากนั้นก็ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก
ลู่เซิ่งใช้เวลาสิบนาที ติดตั้งกระจกและเลือดแห่งบาปอย่างตั้งใจ
จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสิบนาทีเพื่อเชื่อมต่อประตูข้ามมิติหมายเลขหนึ่งเข้ากับด้านหลังของกระจกผ่านวงแหวนเวท
เมื่อเป็นแบบนี้ ขอแค่มีปีศาจในยมโลกตอบรับการอัญเชิญของเขา อีกฝ่ายก็จะถูกส่งออกมาจากประตูข้ามมิติอย่างรวดเร็ว
พอเขาจัดตั้งทุกอย่างเรียบร้อย ก็ขยับไปยืนใกล้ๆ มองผิวกระจก
กระจกบานเล็กส่องสะท้อนตัวเขาในกระจกใบใหญ่ เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ภาพกระจกที่ซ้อนทับกันเล็กลงเรื่อยๆ
“เตรียมลงมือได้”
“รับทราบหัวหน้า”
…
ณ ยมโลกชั้นที่เจ็ด หุบเหวร่วงหล่น
ที่นี่ไม่มีแผ่นดิน ยมโลกเป็นเพียงกระบอกทรงกลมที่ขนาดใหญ่มหึมาเท่านั้น จิตวิญญาณที่มีบาปหนาจะถูกโยนลงไปด้านล่าง จากนั้นก็อยู่ในสภาพร่วงหล่นชั่วนิรันดร์ จนกลายเป็นบ้าและแก่ตายกลางอากาศ
ผู้ปกครองยมโลกชั้นนี้เป็นจิ้งจกแปดหัวที่มีนามว่าควินน์ แมนี่
มันเกาะอยู่บนผนังของหุบเหวในยมโลก ดวงตาสีเขียวมรกตสิบหกข้างที่เรืองแสงปลดปล่อยพลังมายาที่น่ากลัวออกมาตลอดเวลา เพื่อทำให้วิญญาณทุกดวงที่ร่วงหล่นอยู่ในยมโลกได้รับความเจ็บปวดและความทรมานอย่างแสนสาหัส
พลังของมันทำให้พวกวิญญาณค่อยๆ สูญเสียตัวตนและลืมเลือนการดำรงอยู่ของตัวเอง จากนั้นวิญญาณจะค่อยๆ สูญสลายไปและผสมเข้ากับยมโลกชั้นนี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
“นานแล้วที่ไม่มีวิญญาณคุณภาพสูงสดใหม่เข้ามา…หลังจากมิติหลักถูกผนึก วิญญาณที่มาก็มีแต่วิญญาณต่ำต้อยจากมิติอื่น…รสชาติความสิ้นหวังกับความหวังของพวกมันห่วยแตกเหมือนกับกินเทียนไขอย่างไรอย่างนั้น…”
ควินน์ แมนี่ส่ายศีรษะขนาดยักษ์ พร้อมกับส่งเสียงพึมพำไร้ความหมาย เงยหน้ามองด้านบนที่มืดมิด รอคอยผู้ร่วงหล่นคนใหม่ถูกปล่อยเข้ามา
มันคือผู้อยู่อาศัยเดิมของนรก เป็นสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งที่ชอบกินวิญญาณบาปหนา
ความจริงไม่ใช่แค่มันเท่านั้น พวกผู้ปกครองในยมโลกอีกแปดขุมต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคล้ายกัน ราชายมโลกถึงขั้นวิวัฒนาการจากบาปของเทพจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
ดังนั้นยิ่งเป็นวิญญาณที่บาปหนาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งชอบกินเท่านั้น
‘น่าเบื่อจริง ชีวิตแบบนี้น่าเบื่อชะมัด…หลับดีกว่ามั้งแบบนี้’ ควินน์ แมนี่กำลังคิดแบบนี้
มันกะพริบดวงตาสิบหกข้าง เหลือสองข้างไว้ระวังภัย ส่วนอีกสิบสี่ข้างเริ่มปรือ เตรียมจะหลับต่อสักสองสามร้อยปี
ทันใดนั้น เสียงแตกเบาๆ ก็ดังมาจากกลางอากาศ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างแตกออก
หนำซ้ำเสียงยังอยู่ใกล้มาก หากเป็นมนุษย์ อาจต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง แต่สำหรับจิ้งจกแปดหัวแล้ว แค่ไต่ไปด้านหน้าก็ถึงแล้ว
‘เสียงอะไร’ ความง่วงเมื่อครู่ถูกกระตุ้นจนหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความฉงนฉงาย
ซู่ๆ
‘ข้าได้กลิ่นของวิญญาณมนุษย์มีบาป’ จิ้งจกแปดหัวเริ่มเคลื่อนไหว
มันไต่ตามผนังเรียบลื่นขึ้นไปด้านบนเป็นระยะทางสั้นๆ ไม่นานก็ไปอยู่กลางอากาศ แล้วพบแสงสีแดงจางๆ จุดหนึ่ง
แสงสีแดงนั้นกำลังขยายใหญ่อย่างรุนแรง คาดเดาตามความเร็ว อีกไม่ถึงสิบนาที จะขยายจากขนาดเท่ากำปั้นจนเท่าหนึ่งคน
‘หือ? ประตูข้ามมิตินี่ ประตูข้ามมิติที่มีคุณสมบัติอัญเชิญหรือ’ ควินน์ แมนี่ส่ายหน้าน้อยๆ ‘น่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากเรา ไม่มีอะไรให้ใช้อัญเชิญได้’
ถ้าหากเป็นชั้นอื่น บางทีอาจอัญเชิญปีศาจจากยมโลกไปได้สักตน แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากผู้ปกครองคนเดียวอย่างมัน
มันที่เป็นผู้ปกครองย่อมไม่อยากจะออกจากยมโลกอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่การฉายภาพเช่นกัน
แต่ถึงจะไม่คิดที่จะรับการอัญเชิญ ทว่าควินน์ แมนีก็ยังสำรวจอย่างสนอกสนใจอยู่ดี อย่างไรยมโลกชั้นนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจน้อยนิดเหลือเกิน
จุดแสงสีแดงขยายใหญ่อย่างช้าๆ ไม่นานก็กลายเป็นประตูข้ามมิติที่สมบูรณ์ในลักษณะซุ้มกลมโค้ง
แสงสีแดงที่งดงามกระเพื่อมอยู่ในประตู คลื่นพลังจางๆ ของมิติหลักกระจายออกมาจากอีกฝั่งของประตู
‘หือ? มิติหลักนี่!?’ ครั้นควินน์ แมนีได้กลิ่นอากาศสดชื่น ตาก็เปล่งประกายทันที
ในความทรงจำของมัน มิติหลักเป็นที่ที่เต็มไปด้วยอาหารกับของว่างอันโอชะจนน่าลุ่มหลง
ทุกๆ ช่วงเวลาจะมีบาปนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น และบาปนับไม่ถ้วนจะปนเปื้อนวิญญาณให้มีบาปอีกนับไม่ถ้วนด้วย
‘จะไปดูดีไหม ถึงอย่างไรเฝ้าที่นี่ไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี’ ควินน์ แมนีสัมผัสได้อย่างปราดเปรียวว่า ประตูข้ามมิติสายนี้มีความแข็งแกร่งสูงมาก มากพอที่จะทำให้มันข้ามผ่านไปถึงมิติหลักได้อย่างราบรื่น
พอนึกถึงมิติหลักอันเต็มไปด้วยอาหารแสนเอร็ดอร่อย มันก็เกิดความกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนสัตว์ป่าขึ้นในใจ
“ไป หรือไม่ไปดี” มันสับสนจนไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า มีจุดแสงโปร่งแสงจุดหนึ่งกะพริบขึ้นตรงขอบประตูข้ามมิติ เข้าสู่ยมโลกอย่างเงียบๆ
“ทำไมไม่ไปเล่า มีของอร่อยทำไมไม่ไป พวกเราคือเจ้าแห่งยมโลก มีอะไรต้องเกรงกลัวด้วย” หัวอีกข้างหนึ่งของมันโพล่งขึ้นมา
“ปัญหาไม่ใช่กลัวหรือไม่กลัว ข้าจะต้องอยู่เฝ้าที่นี่ ไม่อย่างนั้นวิญญาณที่มีพลังจิตรุนแรงบางส่วนอาจจะทำให้ที่นี่โกลาหลได้” หัวที่สามตอบอย่างจนปัญญา
“แต่อยู่ที่นี่ไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า ต่อให้เรามีอายุขัยมากกว่าล้านปี แต่มนุษย์อยู่ได้สักกี่แสนปี ฉวยโอกาสตอนยังหนุ่มรีบปลดปล่อยเถอะน่า ต่อจากนี้อาจไม่มีโอกาสแล้วนะ” หัวที่ห้าเห็นด้วย
“แต่ว่า…” หัวที่หนึ่งที่ยึดครองตำแหน่งผู้นำยังคงลังเลเล็กน้อย “ตอนนั้นพวกเราตอบรับองค์ราชาแล้วว่าจะเฝ้ายมโลกชั้นนี้”
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าใครเป็นคนเปิดประตูข้ามมิตินี้” หัวที่เจ็ดเอ่ยอย่างฉับพลัน
“บางทีอาจจะเป็นคนที่มีแผนการร้าย แต่หลังจากแผนแตก ก็เลยใช้ชีวิตเป็นค่าตอบแทนเพื่อปลดปล่อยการอัญเชิญยมโลกไปทำลายด้วยความอับอายก็ได้” หัวที่แปดเดา
“ในเมื่อมีทั้งเห็นด้วยมีทั้งไม่เห็นด้วย งั้นก็มาลงคะแนนกัน” หัวแรกเสนอ
“ตกลง”
“ไม่เลว” หัวที่เหลือเห็นด้วย
ไม่นานนัก หัวแรกก็นับได้ว่า แปดหัวที่เหลือมีหนึ่งข้างสละสิทธิ์ สี่ข้างเห็นด้วย สามข้างไม่เห็นด้วย
“ถ้าเป็นแบบนี้…ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน” ตอนที่หัวแรกเห็นคะแนนห้าต่อสามกับหนึ่งการสละสิทธิ์ ก็รู้สึกคล้ายมีบางอย่างผิดปกติ
“หมายความว่ามีคะแนนเห็นด้วยเยอะกว่าสองคะแนน อย่างนั้นก็ไปเถอะ” ควินน์ แมนีพยักหน้า พร้อมกับคลานร่างอันมหึมาเข้าใกล้ประตูข้ามมิติเรืองแสงสีแดงอย่างช้าๆ
“ข้าคือเจ้าแห่งยมโลกผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ติดเชื้อความโดดเดี่ยว ควินน์ แมนีขอตอบรับคำอัญเชิญของเจ้า ณ บัดนี้ ผู้อัญเชิญ จงบอกความปรารถนาของเจ้ามา ข้าจะใช้วิญญาณของเจ้าเป็นค่าตอบแทนและส่งศัตรูทุกคนของเจ้าลงสู่ยมโลก” มันพูดบทอัญเชิญของตัวเองตามลำดับด้วยเสียงอันดัง
“ควินน์ แมนีผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ข้าคือผู้อัญเชิญ มังกรสีรุ้ง โอมีส! เผ่าพันธุ์ของข้ากำลังถูกสะกดและไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ข้าขอใช้วิญญาณเป็นค่าตอบแทนเพื่อร้องขอการช่วยเหลือจากท่านด้วยเถอะ!”
เสียงตะโกนด้วยภาษายมโลกที่ดังกระหึ่มและเจ็บปวดดังมาจากทางประตูข้ามมิติ
“ไม่มีปัญหา ข้าจะจุติเอง จงบรรณาการเครื่องเซ่นของเจ้าและระบุศัตรูของเจ้าเถอะ ข้าจะส่งมันเข้าสู่ยมโลกแห่งความเดียวดายที่เจ็บปวดที่สุดเอง!” ควินน์ แมนีคำราม
“อย่างนั้นมาลงนามในสัญญาเถอะ!” มันกางกรงเล็บ ม้วนกระดาษที่เขียนด้วยตัวอักษรสีเลือดเต็มไปหมดลอยไปถึงหน้าประตูข้ามมิติ
“ข้าขอมอบวิญญาณของข้า บรรณาการทุกสิ่งของตัวเอง ด้วยนามแห่งความว่างเปล่าอันไร้สิ้นสุด ด้วยนามแห่งยมโลกที่มีระเบียบ…” จากนั้นก็ต่อด้วยอีกหลายร้อยคำ
รอจนกระทั่งท่องบทจบ เวลาก็ผ่านไปไม่น้อยแล้ว
“เอาล่ะ ลงนามเถอะ” หัวหนึ่งเตือนอย่างหงุดหงิด
“ได้”
“ข้าลงนามเองๆ!” อีกหัวหนึ่งเอ่ยแย้ง
“เออๆๆ แล้วแต่เจ้าเถอะ!”
ช่องว่างช่องหนึ่งตรงด้านล่างม้วนกระดาษต้องเขียนชื่อวิญญาณที่จะถูกบรรณาการ ควินน์ แมนีเขียนชื่อของตัวเองอย่างจริงจังว่า ‘ควินน์ แมนี’
“เรียบร้อย” มันส่งม้วนกระดาษเข้าไปในประตูข้ามมิติ
“เขียนเสร็จแล้วก็รีบตอบรับมา ข้าจะได้ไป”
“สักครู่เดียว!” ทางฝั่งประตูข้ามมิติรีบตอบ
ควินน์ แมนีหมอบรอข่าวอยู่ข้างประตูอย่างเฉยชา
แม้มันจะรู้สึกว่ามีตรงไหนสักที่ผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับบอกไม่ถูกว่าเป็นตรงไหน
มันหันไปมองพี่น้องอีกแปดหัวที่เหลือ พวกมันกำลังปรึกษากันอยู่ว่าเมื่อไปถึงมิติหลักแล้วจะกินอะไรก่อนดี ดูกระตือรือร้นกันยิ่ง อย่างไรก็ไม่ได้ออกไปมานานหลายปีแล้ว ในเมื่อครั้งนี้มีโอกาสออกไป ต่างดีใจกันมาก
หัวทั้งแปดดูเหมือนต่างก็…เดี๋ยวก่อน! หัวทั้งแปด!?
ควินน์ แมนีพลันนึกถึงปัญหาที่น่าหวาดสะพรึง
เขาจำได้ว่าตนเองมีทั้งหมดแค่แปดหัวแท้ๆ แต่ตอนนี้ถ้าบวกตัวเองด้วย ก็เท่ากับเก้าหัวน่ะสิ!
เก้าหัว!
อีกหัวหนึ่งนั่นมาจากไหน!
ดวงตาของควินน์ แมนีเปลี่ยนเป็นแตกตื่นหวาดกลัวถึงขีดสุด
……………………………………….