ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 727 กิน (1)
บทที่ 727 กิน (1)
สายตาของควินน์ แมนีกวาดผ่านหัวข้างอื่นๆ ที่เหลืออย่างรวดเร็ว มันคิดจะหาว่าหัวข้างที่โผล่มาใหม่คือข้างไหน!
แต่ไม่ว่ามันจะมองดูอย่างไร หัวแปดข้างของตัวเองต่างเหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างแม้แต่น้อย
มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด นอกจากหัวหลักแล้ว หัวที่เหลือก็มีหน้าตาแทบจะเหมือนกัน หลายๆ ครั้งแม้แต่มันก็ไม่แน่ว่าจะแยกแยะออก
หาอยู่นานสองนาน มันก็ยังแยกแยะไม่ออกว่าหัวข้างไหนคือหัวข้างที่โผล่มาใหม่ ทันใดนั้นมันก็ฉุกใจถึงบางอย่าง
“จริงสิ! เมื่อครู่ใครเป็นคนแย่งลงนาม!?”
ควินน์ แมนีไม่ได้ใช้มือลงนาม แต่ทว่าใช้ลิ้น ด้วยปลายลิ้นของมันคล่องตัวกว่านิ้วมาก หากใช้ลิ้นป้ายของเหลวเหนียวๆ บนตัว ก็จะใช้มันเป็นหมึกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเพื่อเขียนตัวหนังสือบนม้วนกระดาษได้
พอคิดได้ถึงตรงนี้ มันก็นึกถึงม้วนกระดาษที่เพิ่งลงนามไปทันที
“จริงสิ ม้วนกระดาษเมื่อครู่!”
มันพลันเฉลียวใจพร้อมเสียวสันหลังวาบค่อยแผ่กระจายไปทั่วร่าง
“ข้า…!”
“สัญญาเสร็จสิ้น” อยู่ๆ เสียงที่ยิ่งใหญ่และขมุกขมัวก็ดังออกมาจากส่วนลึกของยมโลก
ขณะเดียวกัน พลังที่บรรยายไม่ได้จากความว่างเปล่าก็จุติลงบนร่างมันอย่างไร้รูปร่าง พลังสายนี้ไม่ใช่การสะกด หากเป็นการผูกมัดและเชื่อมต่อ
ควินน์ แมนีงุนงง แต่ในตอนที่ข้อมูลสายใหม่จากความว่างเปล่าทะลักเข้าสู่สมองของมัน ชั่วพริบตาที่เห็นข้อมูล หัวสมองมันก็พลันระเบิดลั่นอึงอล
“ข้า…กลายเป็นเครื่องเซ่นในสัญญาหรือนี่!”
มันตัวเย็นเยียบ หวนนึกถึงม้วนกระดาษเมื่อครู่ ม้วนกระดาษนั่นต้องมีปัญหาแน่!
“เป็นอะไรไป สัญญาจัดตั้งขึ้นแล้ว พวกเราควรจะดีใจไม่ใช่หรือ เหตุใดทุกคนถึงได้ก้มหัวหดหู่แบบนั้น” อยู่ๆ หัวหนึ่งก็ส่งเสียงถามอย่างไม่อาจบรรยาย
ดวงตาสิบกว่าข้างของควินน์ แมนีช้อนขึ้นจ้องมองศีรษะข้างที่พูดนั้นพร้อมกัน
“เจ้านี่เอง!” มันกัดฟันกล่าว
หัวข้างที่หกจากซ้ายมือกำลังยิ้มอย่างเรียบเฉย พร้อมกับมองหัวหลักของควินน์ แมนีอย่างไร้ความเกรงกลัว
“ใช่ ข้านี่แหละ ข้าใช้ลูกเล่นนิดหน่อยตอนลงนาม แต่นี่ไม่สำคัญอันใดหรอก ต่อให้ไม่มีสัญญา เมื่อประตูข้ามมิติเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เจ้าก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าอยู่ดี”
ขณะที่พูด หัวข้างที่หกก็หลุดออกจากร่างของควินน์ แมนี หลังจากศีรษะกับคอแยกตัวออกไปแล้ว ก็ละลายกลายเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ก้อนเนื้อขยับยุกยิกสักพัก ไม่นานก็กลายเป็นรูปเป็นร่าง เพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็ขึ้นรูปกลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงใหญ่บึกบึนกำยำ
“ข้าลู่เซิ่ง จะเรียกข้าว่าเจ้านาย หัวหน้า หรือไม่ท่านพี่ก็ได้ ข้าไม่ถือ แน่นอน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องมาเป็นลูกน้องข้า และช่วยข้าทำงาน” ผู้ชายที่ว่านั้นก็คือลู่เซิ่งที่แอบแทรกซึมเข้ามาในยมโลกชั้นนี้นั่นเอง
ตอนแรกเขาคิดจะอัญเชิญเจ้าแห่งยมโลกออกไป จากนั้นค่อยดูสถานการณ์ว่าจะกินหรือไม่กินดี แต่ภายหลังเขาก็เปลี่ยนใจ
นี่เป็นสิ่งที่เขาตระหนักได้จากตอนที่เขาถูกจิตแห่งห้วงอเวจีเมื่อก่อนหน้าพุ่งออกมาขัดขวางการกินอาหาร ถ้าหากราชาแห่งยมโลกเกิดพุ่งออกมาต่อสู้กับเขาเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเขาก็ซวยซ้ำซวยซ้อนแน่
ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีที่ไม่รุนแรง
นั่นคือการลงนามในข้อตกลงบรรณาการและสัญญาตอนที่คลื่นพลังจิตของควินน์ แมนีเสถียรมั่นคง
ขอแค่วิญญาณของเจ้ายมโลกไม่ได้โต้ตอบรุนแรง ราชาแห่งยมโลกก็ไม่น่าจะสัมผัสได้ เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะควบคุมเจ้ายมโลกตนหนึ่งได้อย่างเงียบเชียบ
อีกอย่างไอ้ตัวนี้ยังดูเหมือนซื่อบื้ออีกด้วย เพียงแค่ใช้กายเนื้อที่ลู่เซิ่งถนัดประสานเข้ากับเวทเปลี่ยนร่างและเวทเสกภาพหลอน ก็ปั่นป่วนจิตใจของมันได้แล้ว
เด็กน้อยที่น่าสงสาร
ลู่เซิ่งใช้สายตาเวทนามองควินน์ แมนี
อ๊าก!
จิ้งจกแปดหัวขู่คำราม มันถูกคนหลอกให้ลงนามในสัญญาสังเวยอย่างอธิบายไม่ได้ กลายเป็นว่าตัวมันสังเวยตัวเองให้แก่สัตว์ประหลาดที่เหมือนมนุษย์ตรงหน้าในฐานะเครื่องเซ่น!
การสังเวยคือสัญญาเด็ดขาดที่ใช้สังเวยชีวิตและวิญญาณ ทั้งยังมีความว่างเปล่ากับยมโลกเป็นพยานร่วมกันอีกต่างหาก
ควินน์ แมนีไม่อาจสะกดเพลิงโทสะในใจไว้ได้
ต่อให้เป็นสัญญาสังเวย ถ้าสองฝ่ายมีพลังแตกต่างกันมากเกินไป มันสามารถสลัดจากพันธนาการของสัญญาโดยไม่ต้องเกรงกลัว
มันจะทำให้แมลงตัวจ้อยตรงหน้ารู้ว่า พลังหมายถึงทุกสิ่ง พลังสามารถบดขยี้ทุกอย่าง! ต่อหน้าพลังอันเบ็ดเสร็จ…
พรู่ด!
ชั่วพริบตานั้นพละกำลังที่เหนือจินตนาการสายหนึ่งกระแทกใส่ช่องท้องของควินน์ แมนี
พละกำลังนั้นยิ่งใหญ่นัก เหมือนกับเทือกเขาสายหนึ่งรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มก้อนแล้วกระแทกใส่ท้องน้อยของมัน
ศีรษะทั้งแปดข้างของควินน์ แมนีกระอักเลือดพร้อมกัน ร่างกายถูกพละกำลังอันยิ่งใหญ่กระแทกกระเด็นลอยไปด้านหลังเหมือนกับคันธนูโค้ง
ตูม!
บนผนังของเส้นทางยมโลกเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง การสั่นไหวที่ทึบหนักแล่นไปทั่วทั้งบนล่าง
วิญญาณโปรงแสงที่เพิ่งจะร่วงหล่นลงมาถูกการสั่นสะเทือนอันรุนแรงสายนี้กระแทกจนแหลกสลายไปในพริบตา ได้รับการปลดปล่อยไป
ครู่ต่อมา จิ้งจกแปดหัวจึงค่อยๆ คลานออกมาจากผนัง ถ้าไม่ใช่เพราะร่างมันเต็มไปด้วยของเหลวเหนียวเหนอะ เกรงว่าเมื่อครู่มันคงจะร่วงดิ่งลงไปเหมือนกับวิญญาณดวงอื่นๆ แล้ว
“เจ้าสวะ!” มันคำราม “เจ้าลอบโจมตีเป็นอย่างเดียวเรอะ!? เจ้าแมลงจากมิติหลัก กล้าหลอกควินน์ แมนีผู้ยิ่งใหญ่หรือ! ข้าจะให้ดวงวิญ…”
ตูม!
แสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งมาอีกครั้ง กระแทกใส่ทรวงอกของมันอย่างหนักหน่วงเหมือนกับกระสุน
กร๊อบ…
เสียงกระดูกหักดังมาจากร่างควินน์ แมนี
มันมองดูทรวงอกตัวเองที่ถูกเจาะเป็นรูเลือดอย่างตื่นตระหนก!
ข้าจะฆ่าเจ้า! ควินน์ แมนีคำรามในใจ
“เมือกมรณะ!” มันดิ้นพลางร้องตะโกน ผิวหนังหลั่งเมือกพิษเหนียวๆ ที่มีคลื่นพลังพิษรุนแรงกระจายอยู่ออกมา
เมือกพิษทั้งหมดกลายเป็นสีเขียวมรกต ควันพิษสีดำลอยออกมามากขึ้นและหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักก็กลายเป็นเกราะเมือกหนาบนร่างมัน
“ไป!”
มันคำราม เมือกทั่วร่างระเบิดเปรี้ยง
เมือกพิษสีเขียวมรกตมากมายระเบิดไปรอบๆ เหมือนห่าฝน ทั่วทุกทิศถูกปกคลุม ไม่มีจุดอับใดๆ ทั้งสิ้น
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศกอดอก
“ด้วยนามแห่งสัญญา การโจมตีทั้งหมดของเจ้าจะถูกลดพลังลงจนเกือบหมด ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
ควินน์ แมนีย่อมรู้เรื่องนี้ แต่มันเดิมพันว่า ต่อให้ตนจะถูกจำกัดพลังเกือบหมด แต่พลังที่เหลืออยู่ก็แข็งแกร่งร้ายกาจกว่ามนุษย์ และสังหารระดับตำนานทั่วไปได้สบายๆ
ตอนแรกมันก็คิดอย่างนี้อยู่หรอก แต่พอเห็นเมือกทั้งหมดถูกกระแสอากาศไร้รูปร่างรอบตัวลู่เซิ่งพัดกระจายไปโดยอัตโนมัติ ความหวังอันน้อยนิดในใจมันก็ค่อยๆ ตกสู่ก้นเหว
“พอแล้ว หยุดเล่นสักที หดร่างลงเสีย พวกเราควรไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งสั่งอย่างหงุดหงิด
ครืน…
พลังไร้รูปร่างสายหนึ่งในความว่างเปล่าปกคลุมศีรษะของควินน์ แมนีเอาไว้
มันเงยหน้าคิดจะขู่คำราม แต่ร่างกายกลับหดเล็กลงอย่างว่าง่ายภายใต้การควบคุมของพลังที่อธิบายไม่ได้สายนี้ จนกลายเป็นจิ้งจกสีเขียวมรกตลอยไปหมอบอยู่บนไหล่ของลู่เซิ่ง
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งหมุนตัวก้าวเข้าประตูข้ามมิติ ไม่นานแสงสีแดงของการข้ามมิติก็ริบหรี่ลง ประตูข้ามมิติทั้งบานหดเล็กลงกลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็ระเบิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ลู่เซิ่งส่งคนไปตรวจสอบที่อยู่ของฝูงมังกรสีรุ้งไปพลาง อัญเชิญเจ้าแห่งยมโลกมากินไปพลาง เป็นเวลาสี่วันติดต่อกัน
เขาไม่ได้กินควินน์ แมนีที่ถูกหลอกมา ยังมีปีศาจอีกห้าตนที่ถูกอัญเชิญมา โดยเขาไว้ชีวิตสองตนที่รู้ความไว้ใช้งาน ส่วนอีกสามตนเขากินจนหมดสิ้น
ตนหนึ่งที่ไว้ชีวิตคือแมนเนสผู้ครอบครองยมโลกทัณฑ์ทรมาน นั่นก็คือราชาแห่งสุนัขสามหัวผู้เฝ้ายมโลก
อีกตนคือเชอนันดี ปีศาจร่างมนุษย์ที่มีหางเป็นอสรพิษ
ปีศาจสองตนนี้รู้จักแยกแยะได้ดี ตอนที่ลู่เซิ่งเรียกเจ้ายมโลกตนหนึ่งกับจอมอสูรห้วงอเวจีตนหนึ่งไปรุมสกรัม ทั้งสองก็ลงนามสัญญาวิญญาณกับลู่เซิ่งอย่างเฉลียวฉลาด แล้วกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงประสิทธิภาพใต้อาณัติของเขาเหมือนกับควินน์ แมนี
เมื่อเป็นแบบนี้ พอรวมอสูรกับเจ้ายมโลกสี่ตนนี้เข้าด้วยกัน ขุมกำลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดบนมิติหลักจึงเกิดขึ้น
ถึงแม้จะถูกจิตธรรมชาติบนมิติหลักสะกดเอาไว้ จึงแสดงพลังของพวกเจ้ายมโลกได้มากสุดเพียงระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นก็ตาม
ทว่าขอบเขตศักดิ์สิทธิ์มีอยู่บนมิติหลักสักเท่าไหร่กัน
เผ่ามังกรทองกับมังกรนิลเป็นเผ่าสองเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางเผ่ามังกร แต่ก็มีระดับศักดิ์สิทธิ์แค่ไม่กี่ตัว
หนำซ้ำนั่นยังเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่มาหลายหมื่นปีด้วย
ส่วนเผ่าอื่นๆ เช่นเผ่ามนุษย์ก็มีแค่หนึ่งหรือสองคน สองเผ่าใหญ่อย่างเอลฟ์กับคนแคระจะมีหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ
ในนิกายใหญ่ๆ ต่างก็มี แต่ก็ไม่เยอะ อย่างไรระดับศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นระดับจำกัดที่สิ่งชีวิตบนมิติหลักไปถึงได้แล้ว
ถ้าเกิดว่าระดับศักดิ์สิทธิ์สวามิภักดิ์กับเทพสักองค์ อย่างต่ำสุดก็จะกลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้รับการประทานคุณสมบัติเทพอย่างราบรื่น พวกมันก็จะจุดอัคคีเทพและก่อตั้งอาณาจักรเทพขึ้นมาได้ ก่อนจะสำเร็จเป็นเทพที่แท้จริงได้ในเวลาไม่นาน
ส่วนสิ่งมีชีวิตทั่วไปถึงจะเป็นระดับตำนาน ต่อให้มอบคุณสมบัติเทพให้ หากคิดจะจุดอัคคีเทพขึ้นมาจะต้องพบเจอความทรมานและความลำบากนับไม่ถ้วน หลังจากสั่งสมลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมากแล้ว ค่อยหลอมรวมวิญญาณกับคุณสมบัติเทพและสำเร็จเป็นเทพที่แท้จริงได้
“ระดับศักดิ์สิทธิ์คือตำนานที่ไปถึงขีดจำกัด เป็นกึ่งเทพที่ไม่มีอัคคีเทพ”
ณ ใจกลางตำหนักใหญ่ใต้ดินของแดนต้องสาป
ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนที่สูง อสูรนั่งเรียงแถวอยู่ด้านล่างทางซ้ายมือ ส่วนปีศาจจากยมโลกและห้วงอเวจีนั่งอยู่ทางขวามือ
พวกปีศาจจ้องมองอสูรด้วยความขยะแขยงและกลัวเกรงตามสัญชาตญาณ สายตาของพวกมันฉายความตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นส่วนใหญ่ อสูรมารวมตัวอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากแบบนี้…เกิดสัตว์ประหลาดแห่งความโกลาหลเหล่านี้จับมือเป็นพันธมิตรกันขึ้นมา ก็จะกลายเป็นขุมกำลังอันน่ากลัวที่ทำลายมิติหลักทั้งมิติได้อย่างสมบูรณ์
แม้พวกมันจะทำลายมิติหลักได้เหมือนกันหากลงมือเต็มที่ แต่อสูรแตกต่างออกไป พวกมันไม่กลัวการสะกดจากธรรมชาติของมิติหลัก เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
ดังนั้นหากท้าสู้ด้วย อสูรแต่ละตนสามารถอัดปีศาจกลุ่มหนึ่งได้สบายๆ
“หมายความว่าพลังของเราในตอนนี้แข็งแกร่งมากแล้วหรือ” พอลู่เซิ่งได้ยินคำอธิบายของแมนเนสราชาแห่งสุนัขเฝ้ายมโลก ก็เกิดความเข้าใจต่อแดนศักดิ์สิทธิ์ในขั้นเบื้องต้น
“แข็งแกร่งมากขอรับ แข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน” แมนเนสมีนิสัยเจ้าเล่ห์ แล่นเรือตามลม แต่ก็มากความรู้และมีความจำเป็นเลิศ หากพูดถึงประสบการณ์แล้ว สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ล้วนสู้มันไม่ได้
“ตอนนี้นิกายแห่งแสงสว่างกับนิกายแห่งเงาทำศึกใหญ่ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขามีแค่อาร์คบิชอปกับสันตะปาปาเท่านั้น แล้วก็เป็นพวกทหารสายต่อสู้อย่างหัวหน้าตุลาการ นิกายแสงสว่างอย่างมากสุดก็มีระดับศักดิ์สิทธิ์แค่สามคน และตำนานสิบถึงสามสิบคนเท่านั้น” แมนเนสวิเคราะห์อย่างละเอียด
“ถ้าหากรีบอัญเชิญทูตสวรรค์จุติมาเป็นร่างแปลง ในเวลาอันสั้นพวกเขาจะรวบรวมกึ่งเทพได้สามถึงห้าคนเป็นอย่างน้อย ส่วนพวกเรา แค่อสูรทุกตนก็เทียบเท่ากับกึ่งเทพแปดคนแล้ว ที่เหลือยังมีระดับศักดิ์สิทธิ์อีกสี่ บวกกับปีศาจสี่ตนเช่นพวกเราก็เทียบได้กับระดับสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน นี่จึงเป็นขุมกำลังที่เทียบเคียงกับนิกายแสงสว่างสองนิกายได้แล้ว!” แมนเนสผุดสีหน้าคลั่งไคล้
ครั้นคนที่เหลือได้ยินก็พยักหน้าน้อยๆ
ถ้าหากมองอย่างนี้ พวกเขาก็ไร้คู่ต่อกรบนมิติหลักจริงๆ
แถมขุมกำลังนี้ยังมีลู่เซิ่งผู้เป็นเจ้านายที่ลึกลับยากหยั่งคาดอยู่ด้วย
……………………………………….