ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 728 กิน (2)
บทที่ 728 กิน (2)
พลังของลู่เซิ่งจะต้องเป็นระดับเทพที่แท้จริง จุดนี้ไม่มีใครสงสัย เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปได้สูงสุดถึงระดับไหน
“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นเพียงพลังในตอนนี้ ถ้าหากไปหาเรื่องนิกายใหญ่ๆ เข้าแล้วร่างแปลงของเทพที่แท้จริงจุติลงมาเล่า การจุติของนักบุญไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรอกนะ” เชียร์ที่อยู่ด้านข้างโต้แย้งเสียงเย็น
“ต่อให้เทพที่แท้จริงจะจุติลงมาเป็นนักบุญ แต่อย่างมากก็แสดงพลังได้ถึงจุดสูงสุดของกึ่งเทพเท่านั้น หรือต่อให้ระเบิดอานุภาพของเทพระดับล่างออกมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้เพราะอาวุธเทพ แต่นั่นต้องเป็นบุคคลที่มีพลังเทพแข็งแกร่งถึงพอจะทำได้ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ตนเท่านั้น” แมนเนสมั่นอกมั่นใจ
ในหมู่เจ้าปีศาจทั้งหมด มันเป็นเจ้าปีศาจที่ยินยอมพร้อมใจติดตามลู่เซิ่งมากที่สุด
มันอยู่ในยมโลกมาจนเอียนแล้ว รอคอยให้มีโอกาสหนีออกจากยมโลก หนีออกจากการควบคุมของราชาปีศาจมาโดยตลอด
การอัญเชิญของลู่เซิ่งได้มอบโอกาสที่สมบูรณ์แบบให้มันพอดี ดังนั้นมันจึงลงนามในสัญญาและติดตามลู่เซิ่งในแบบกึ่งโดนบังคับกึ่งยินยอม
“นายท่านไม่ใช่ต้องการอาวุธเทพหรอกหรือ พวกเราแย่งชิงมาเลยสิ! การแย่งชิงนั้นเร็วที่สุด! ปัจจุบันเราคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนมิติหลัก ไม่มีใครสู้พวกเราได้หรอก” แมนเนสเรียกร้องเสียงดังด้วยความบ้าคลั่ง
ลู่เซิ่งเคาะนิ้วกับที่รองแขน เขากำลังใคร่ครวญอยู่
เขาอยู่ในโลกใบนี้มาได้สิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากเปิดศึกชิงอาวุธเทพ พวกเทพจะต้องร่วมกันสะกดเพราะพวกอสูรและสาเหตุอื่นๆ แน่
ลู่เซิ่งมองเหล่าอสูร
เวลานี้สติปัญญาของเหล่าอสูรที่ตอนแรกจิตใจปั่นป่วนกลับมาเป็นปกติแล้ว จนเกือบกลายเป็นตัวแทนของจอมอสูรที่มีระเบียบเพราะวิชาพิเศษที่เขาบัญญัติขึ้นไปแล้ว
เดิมทีพวกมันเป็นศัตรูแห่งเทพ มีพลังแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังมีชีวิตที่เกือบเป็นอมตะ เดิมทีไม่มีทางมารวมกลุ่มกันได้ เลยถูกพวกเทพขับไล่ไสส่ง แต่ตอนนี้…
“นายท่าน” อสูรตนหนึ่งลุกขึ้นและกล่าวช้าๆ “ตอนนี้พวกเรายังไม่มีความมั่นใจจะปะทะกับพวกเทพ แต่ถ้าเป็นแค่ระบบเทพสายเดียว ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ อย่างน้อยพวกเราก็ไร้คู่ต่อกรบนมิติหลักเหมือนอย่างที่แมนเนสว่าจริงๆ”
“แล้วยังไงต่อ”
“ดังนั้น ข้าจึงขอแนะนำให้ลงมือกับเทพระดับล่างนอกระบบเทพส่วนหนึ่งก่อน อาจจะลงมือกับเทพนอกรีตบางส่วนก็ได้” อสูรตัวนี้คือไอนี ฟิส เจ้าของเดิมแห่งแดนต้องสาป อสูรผู้แข็งแกร่งที่ลู่เซิ่งสยบได้เป็นตนแรก
แต่หลังจากได้รับการสั่งสอนจากลู่เซิ่ง มันจึงถูกลู่เซิ่งรับเป็นศิษย์และถ่ายทอดเก้าระดับแรกของเวทคัดแยกให้
เวทคัดแยกเป็นวิชาที่แข็งแกร่งซึ่งลู่เซิ่งพัฒนาขึ้นมาจากวิถีแปดมารสูงสุด ความสามารถสุดแสนจะร้ายกาจของมันก็คือ การแยกวิญญาณที่โกลาหลของพวกอสูร โดยคัดเอาทุกสิ่งที่ส่งผลต่อสติปัญญาของพวกมันออกมา
ส่วนที่คัดออกมาจะถูกเวทมนตร์เปลี่ยนจนกลายเป็นจิตปีศาจ แล้วล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัวผู้ฝึกฝน โดยที่ไม่รับการควบคุม เกิดปล่อยออกไปก็จะโจมตีใส่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่รอบตัวโดยไม่มีการแบ่งแยก
ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เหล่าอสูรไปไหนมาไหนตนเดียว
“ลงมือกับพวกเทพระดับล่างก่อนหรือ…ก็ยังรีบร้อนไปหน่อยอยู่ดี ลงมือกับระดับที่มีพลังเทพอ่อนแอดีกว่า” แม้ลู่เซิ่งจะไม่กลัว แต่การสู้กับพวกเทพในตอนนี้ยังเร็วไปหน่อย
การลงมือกับระดับตำนานถึงขั้นระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่กึ่งเทพ ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร
แต่การลงมือกับเทพที่แท้จริงที่สร้างอาณาจักรเทพและคุณสมบัติเทพได้แล้ว นี่เป็นการท้าทายต่อพวกเทพ เป็นคนละกรณีโดยสิ้นเชิง
“แบบนี้ก็เหมาะเหมือนกัน พวกที่มีพลังเทพอ่อนแอในปัจจุบันอย่างเช่น เทพแห่งการเซ่นสรวง เทพแห่งการปกปักษ์พงไพร เทพแห่งการปัดเป่า ข้าล้วนทราบเบาะแส แถมยังรู้เป็นอย่างดีด้วยว่าอาณาจักรเทพของพวกมันอยู่ตรงไหน” แมนเนสพูดต่อ
“เทพแห่งการเซ่นสรวงหรือ” ลู่เซิ่งนึกสนใจ
“ขอรับ เทพองค์นี้เป็นผู้ที่ได้รับพลังแห่งศรัทธาผ่านการเซ่นสรวง แต่ผู้เซ่นสรวงมักจะเป็นสาวกนอกรีตซึ่งศรัทธาในตัวเทพนอกรีตเท่านั้น มันไม่อาจสอดมือได้ ดังนั้นจึงมีพลังเทพอ่อนแอ อยู่ในสภาพกึ่งตายแต่ไม่ตาย” แมนเนสอธิบาย
“มันหาพลังแห่งศรัทธามาได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสนใจ
“ว่ากันว่าหากเซ่นสรวงสมบัติชนิดต่างๆ ให้มัน จะได้รับพรชั่วคราวหลายแบบ แต่ไม่ได้คุ้มค่ามากนัก พรส่วนใหญ่ยังสู้อุปกรณ์กับน้ำยาเวทมนตร์ที่ใช้ของล้ำค่าแลกเปลี่ยนกันไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีแต่ชนเผ่าในป่าในเขาที่จนปัญญาจริงๆ ถึงจะเซ่นสรวงสักสองสามครั้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองเป็นการเร่งด่วนเท่านั้น” แมนเนสกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แต่หน้าที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างการเซ่นสรวงนี้ก็ไม่เลวอยู่ดี…” ลู่เซิ่งลูบคาง ถึงอย่างไรตอนนี้ก็หามังกรสีรุ้งไม่เจอ ไปจัดการเทพสักองค์เล่นๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“นอกจากนี้ตามที่ข้ารู้ ตอนนี้เทพแห่งการเซ่นสรวงกำลังจุติลงมาเผยแผ่ความศรัทธาเพื่อขยายนิกายกับอิทธิพลของตัวเองพอดี” แมนเนสกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลวๆ ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
…
ในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองแสงอรุณหลายพันลี้
ฝนตกลงมาเป็นสาย ผู้คนใช้มือป้องศีรษะกันฝนพลางวิ่งไปมาในเมืองตลอดเวลา กีบเท้าของม้าอัศวินควบตะบึงท่ามกลางสายฝนจนน้ำสาดกระเซ็น
ด้านในโบสถ์เพียงหนึ่งเดียวของเมือง คุณพ่อบัดดี้กำลังจัดเก็บสมุดเทศนาตรงหน้า เหล่าสาวกที่มาอธิษฐานได้จากไปแล้ว
พิธีอธิษฐานของเหล่าสาวกที่มีเดือนละครั้ง เป็นกิจกรรมที่เอาจริงเอาจังที่สุดของเมืองเล็กๆ ที่ไม่รู้จักชื่อแห่งนี้
ถึงแม้จะมีสาวกไม่มาก มีจำนวนเพียงแค่ห้าหกคน แต่ในฐานะนักบวช บัดดี้ยังคงเตรียมเนื้อหาในสมุดเทศนาอย่างจริงจังเพื่อการอธิษฐานครั้งต่อไป
“บาทหลวงบัดดี้” อยู่ๆ เงาร่างสูงล่ำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงประตูใหญ่ของโบสถ์ ประตูใหญ่ที่ตอนแรกปิดไปแล้วถูกคนผู้นี้เปิดออกครึ่งหนึ่ง
“องค์เทพอวยพรแก่ท่าน มีอะไรให้ช่วยหรือไม่คุณผู้ชาย” บัดดี้เงยหน้าถามอย่างสงบ
ตอนที่คนจำนวนมากมีปัญหากับความยุ่งยากที่ยากจะเอ่ย พวกเขาก็จะมาขอความช่วยเหลือจากเขาตามลำพังหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นข้ารับใช้ของเทพแห่งการเซ่นสรวง ขอแค่เซ่นสรวงของบางส่วน ก็จะได้รับพรและสภาพที่มีความพิเศษส่วนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ของถาวร แต่ก็ตอบสนองต่อความปรารถนาของคนที่มีความปรารถนาพิเศษซึ่งมาขอความช่วยเหลือในยามจำเป็นได้พอดี
อีกฝ่ายพลิกมือปิดประตูหลังจากเข้ามาในโบสถ์แล้ว
ชั่วขณะที่บัดดี้เห็นหน้าตาและรูปร่างของผู้ชายคนนี้ได้ชัดเจนนั้น อีกฝ่ายหน้าตาหล่อเหลามาก ทั้งยังมีความสุขุมของชายวัยกลางคนด้วย
ร่างกายกำยำมาก กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เพียงมองดูก็รู้ว่าแข็งแกร่งหาใดเปรียบเหมือนกับเหล็กกล้า แค่เค้าโครงที่มองเห็นผ่านเสื้อผ้าก็เทียบเคียงกับเหล่าคนเถื่อนบนที่ราบสูงได้แล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และเผยให้เห็นสีหน้าอึมครึม
“คุณพ่อ ข้าอยากจะขออธิษฐานต่อเทพแห่งการเซ่นสรวงเสียหน่อย หวังจะใช้สมบัติแลกเป็นสิ่งของที่ต้องการ”
“พ่อหนุ่ม จงบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าเถอะ องค์เทพจะมองดูเจ้าเอง ถ้าหากได้รับการชื่นชมจากองค์เทพ สิ่งที่เซ่นสรวงได้ก็จะมีค่ามากกว่าเดิม” บาทหลวงบัดดี้ใช้เสียงอ่อนโยนที่แฝงความปลอบประโลมตอบ
ดวงตาของชายหนุ่มผุดความสับสนและความไม่เต็มใจ
“มีค่ากว่าเดิมหรือ”
“ใช่แล้ว เทพนั้นทรงยุติธรรมและชัดเจน พระองค์สัมผัสได้ถึงทุกสิ่ง ถ้าหากเข้าใจความเจ็บปวดของเจ้า ก็จะตอบรับคำขอร้องของเจ้าด้วยดวงจิตอันเมตตาเอง”
ชายหนุ่มนิ่งไป ในที่สุดก็กัดฟันและหยิบทับทิมที่แวววาวและงดงามก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “อย่างนั้นข้าจะเซ่นสรวงดูสักครั้ง”
“ได้สิ”
บาทหลวงพาชายหนุ่มไปถึงโถงเซ่นสรวงด้านข้างวิหาร เปิดใช้วงแหวนเวทและเริ่มอธิษฐาน จากนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ
ไม่นานนัก ทับทิมก็หายไปในวงแหวนเวท เสาแสงสีทองอ่อนสายหนึ่งสาดส่องลงมาจากเทวรูป พุ่งลงบนตัวชายหนุ่ม กลายเป็นตราประทับลึกลับสีทอง
“การเซ่นสรวงสำเร็จแล้ว องค์เทพทรงได้ยินคำวิงวอนของเจ้าและตอบรับเจ้าแล้ว” บาทหลวงบัดดี้ก้าวเข้ามาแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน
ชายหนุ่มสัมผัสตราประทับสีทอง ใบหน้าค่อยๆ ผุดความแตกตื่น หลังจากขอบอกขอบใจสักพัก เขาก็ผลุนผลันออกจากวิหารแล้วหายไปกลางสายฝน
บัดดี้ปิดประตูด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกลับไปพักผ่อน
ตอนแรกเขานึกว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งในวันถัดมา
“ข้าล้มเหลวแล้ว…” เขาแสดงสีหน้าหดหู่ แต่ในดวงตากลับไม่สูญสิ้นความหวัง “อีกนิดเดียว! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”
“ไม่! ข้าต้องการเซ่นสรวงอีก! ข้าอยากได้พรที่แกร่งกว่าเดิม แกร่งกว่านี้! ถ้าแกร่งกว่านี้จะต้องสำเร็จแน่!” ชายหนุ่มคล้ายจะพลุ่งพล่านไปบ้าง เขาหยิบคริสตัลดิบสีฟ้ากำหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ
“นี่ เซ่นสรวงหมดนี้เลย!”
บัดดี้กลืนน้ำลาย เทพแห่งการเซ่นสรวงจะประทานพรตามคุณค่าของทรัพย์สมบัติ คริสตัลดิบมากมายขนาดนี้ พรที่ประทานกลับมาให้จะต้องไม่น้อยแน่
อย่างน้อยเขาที่อยู่ในวิหารมาสิบกว่าปีก็เพิ่งจะเคยเห็นคนที่เซ่นสรวงมากมายขนาดนี้ในคราวเดียวเป็นครั้งแรก
“ได้ไหมขอรับ!? เซ่นสรวงได้ไหม!?” ลู่เซิ่งจับแขนของบัดดี้
“ได้สิ! ได้สิ!” บัดดี้พลันรู้สึกตัว
เขารีบพาชายหนุ่มเดินไปถึงโถงด้านข้าง เปิดใช้วงแหวนเวทในโถงเซ่นสรวง แล้ววางของเซ่นลงไปพร้อมกับอธิษฐาน
“จริงสิ ลูกต้องการพรอะไรกันแน่” บาทหลวงบัดดี้ถามความปรารถนาของชายหนุ่มเพราะความสงสัย เขาสังเกตเห็นพรแห่งเทพที่ประทานให้เมื่อวาน วันนี้กลับหมดพลังไปแล้ว ผลาญพลังไปเร็วจริงๆ
ชายหนุ่มเงียบไป
“ท่านไม่เข้าใจหรอก…” เขาตอบเสียงทุ้มต่ำ
บัดดี้ยิ้มอย่างลึกลับ “มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าลูกไม่พูดพ่อก็ย่อมไม่เข้าใจ แต่ถ้าลูกพูดออกมา พ่ออาจจะช่วยลูกได้ก็ได้”
ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก เหมือนกับยากจะบอกเล่า เขาแสดงสีหน้าสับสนและจนปัญญาอย่างเห็นได้ชัด
“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ ที่นี่คือเทวสถาน องค์เทพนั้นเมตตาและยุติธรรม ไม่ว่าความปรารถนาของลูกจะเป็นอะไร องค์เทพก็จะฟังคำขอของลูกอยู่ดี” เสียงของบัดดี้อ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ
“จริง…จริงหรือ” เสียงของชายหนุ่มสั่นไหวน้อยๆ
“แน่นอน เป็นความจริงอยู่แล้ว” บัดดี้พยักหน้าและยิ้มอย่างอบอุ่นราวดวงอาทิตย์
“ข้า…ข้า…” ชายหนุ่มก้มหน้าลง “เพราะข้า…หิวไงเล่า!”
เขาพลันจับแขนสองข้างของบาทหลวง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำตาก็ไหลพรากแล้ว
“หิวเหรอ!?” บาทหลวงอึ้ง
“ข้าเคยกินปีศาจ เคยกินวิญญาณ ตำนาน กึ่งเทพ กินมาทุกอย่างแล้ว ทำไม…ทำไมยังไม่อิ่มสักที!…ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเป็นสิ่งของ…มีสารอาหารหรือไม่มีสารอาหาร ข้าลองมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยอิ่มเลย…ทำไมล่ะ ทำไม!”
น้ำตาบนใบหน้าชายหนุ่มค่อยๆ กลายเป็นของเหลวเรืองแสงสีเลือด ไหลหยดลงบนพื้น หยดลงบนวงแหวนเวทที่กำลังเซ่นสรวง จากนั้นก็เริ่มหลอมรวมเข้าไปข้างในและกัดกร่อนแสงสีทองอ่อนๆ ของวงแหวนเวทอย่างรวดเร็ว
“เพราะฉะนั้น ข้าเลยรู้สึกว่าไอ้ที่ข้ากินเข้าไปมันไม่ถูกต้อง” น้ำตาบนใบหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นลวดลายบุปผาสีเลือดสองแต้ม
ความเศร้าสร้อยบนใบหน้าของเขาค่อยๆ กลายเป็นรอยยิ้ม
“แก!?” บัดดี้สีหน้าแปรเปลี่ยน
……………………………………….