ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 730 เทพ (2)
เทพแท้จริงที่สมบูรณ์แบบองค์หนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่ใช่สิ่งที่ระดับตำนานกับขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปจะเอาชนะได้
ในประวัติศาสตร์มีแต่วิญญาณเทพที่อัคคีเทพมอดดับไปบางส่วนจนอยู่ในสภาพกึ่งตายเท่านั้น ถึงจะถูกสังหารและแย่งชิงคุณสมบัติเทพไปได้สำเร็จ
แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า เทพที่แท้จริงจะถูกมนุษย์สังหารและแย่งชิงคุณสมบัติเทพไปได้
“อาณาจักรเทพจุติ!”
ทันใดนั้น ราเอลได้ตะโกนเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างกายที่เหมือนกับเครื่องกระเบื้องของเขาระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา เหลือแค่คริสตัลหนามแหลมที่ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีขาวก้อนหนึ่งหมุนช้าๆ อยู่กลางอากาศเท่านั้น
ดินโคลนสีแพลตินัมปกคลุมด้านในโถงเซ่นสรวงทันที เพดานกลายเป็นท้องฟ้าครามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ผนังรอบๆ ค่อยๆ หายไป
เพียงพริบตาเดียว ลู่เซิ่งก็ถูกกระชากเข้ามาในอาณาจักรเทพที่แท้จริงของราเอลเทพแห่งการเซ่นสรวง
ลู่เซิ่งงุนงง พลันรู้สึกผิดปกติ คิดจะล่าถอย แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว
ผืนฟ้า ผืนดิน และใต้ดิน มีคลื่นพลังแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
นั่นคือผู้พิทักษ์ของร่างหลักในอาณาจักรเทพ บ้างก็เป็นศัตรูหรือคู่ต่อสู้ที่ราเอลเคยสังหาร บ้างก็เป็นจอมเวทนักรบที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ยังมีมังกรยักษ์กับสัตว์ประหลาดมากมายที่ถูกเขาจับไว้เป็นทาสรับใช้
ทัพใหญ่นับพันกรูกันเข้ามาจากรอบๆ เหมือนกับกระแสน้ำ
ก้อนไฟ ก้อนสายฟ้า เวทแยกตัว สายฟ้าแลบ พายุ ลำแสงเลเซอร์ หน้าไม้สงคราม ลูกธนู หอกอันแหลมคม วิธีการโจมตีจำนวนเหลือคณานับปกคลุมลู่เซิ่งอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่น
การโจมตีทั้งหมดโถมกระหน่ำใส่ลู่เซิ่งทั้งสิ้น
ดินโคลนสีแพลตินัมระเบิดเป็นหลุมยักษ์ แสงวิญญาณป้องกันทั่วร่างลู่เซิ่งถูกโจมตีจนแหลกสลาย ไม่นานก็เหลือแค่เกราะพลังไม่กี่ชั้น
นี่คือความสามารถป้องกันขั้นสูงที่ประกอบขึ้นจากเวทมนตร์ขั้นเจ็ดมากกว่าร้อยชนิด
จอมเวททั่วไปปลดปล่อยได้สูงสุดแค่ชนิดเดียว ทว่าลู่เซิ่งกลับแตกต่างออกไป หลังจากเขาพัฒนาเกราะพลัง เวทมนตร์ชนิดนี้ก็กลายเป็นวรยุทธ์
คุณสมบัติเฉพาะของวรยุทธ์ก็คือ ขอแค่ท่านมีพลังยุทธ์มากพอและร่างกายรองรับ คิดจะใช้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจเอง
เวทมนตร์จำนวนมากกับการโจมตีทางกายภาพระดมพุ่งใส่ร่างกายของลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
พลังมนตราต้านทานสภาวะการโจมตีจากโลกภายนอกด้วยความเร็วสูง ส่วนตัวเองก็เริ่มอ่อนแอลง เกราะพลังโปร่งแสงบางลงและหมดกำลังลงเรื่อยๆ
“พายุนรก!” ลู่เซิ่งชูสองมือขึ้นสูง แล้วปล่อยเวทมนตร์สายพลังขั้นเก้าออกมาสุดกำลัง
พริบตาเดียว พายุนรกหลายร้อยสายก็ถูกปล่อยออกไปเป็นชั้นๆ อาณาเขตหลายพันเมตรรอบๆ ตัวลู่เซิ่งล้วนถูกเพลิงนรกสีแดงเข้มปกคลุมทั้งหมด
เหล่าผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรเทพแปดเปื้อนเพลิงนรก แสงสีทองบนตัวจางลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานพลังบางส่วนก็อ่อนแอลงจนกลายเป็นขี้เถ้ากลุ่มหนึ่งและหายไป
ส่วนใหญ่แล้วยืนหยัดไปได้สักพัก ก่อนจะถูกเพลิงนรกเผาเป็นศพแห้งล้มลงกับพื้น
“เป็นการต่อสู้ที่น่าเบื่อจริงๆ” ลู่เซิ่งลอยขึ้นจากทะเลเพลิง แล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
รอบๆ มีกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนคอยสะกดเขาไว้ โดยจำกัดพลังที่เรียกใช้ได้จนถึงระดับต่ำสุด
แต่ลู่เซิ่งไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่จอมเวทดั้งเดิม พลังของเขามาจากด้านในร่างกายทั้งหมด
ร่างหลักของเขาเป็นเตาพลังงานของเขาเอง
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศก้มหน้ามองเหล่าผู้พิทักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ดิ้นรนร้องโหยหวนอยู่กลางเพลิงนรกในอาณาจักรเทพ
‘เทพแห่งการเซ่นสรวงล่ะ’ เขาเหลียวมองรอบๆ แต่ไม่พบร่องรอยของราเอล
‘ยังไงที่นี่ก็เป็นอาณาจักรเทพของมัน หนียังไงก็หนีไม่รอดหรอก’ เขาไม่รีบร้อน อาณาจักรเทพอยู่ที่นี่ แกนหลักของเทพก็ต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน
อาณาจักรเทพเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเทพ ทรัพย์สมบัติทั้งหมด การสั่งสมตลอดเวลาหลายปี ยังมีระบบคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ทั้งหมดเกิดจากอาณาจักรเทพทั้งสิ้น
ถ้าเกิดว่าวิญญาณเทพไม่มีอาณาจักรเทพ คาถาศักดิ์สิทธิ์ก็จะแห้งเหือด การหมุนเวียนของพลังเทพจะอ่อนแอลงอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พลังจะลดฮวบลงจนถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่ากึ่งเทพนิดหน่อยเท่านั้น
อาณาจักรเทพของเทพแห่งการเซ่นสรวงเป็นแผ่นดินสีแพลตินัม ขอแค่เพาะปลูกสมบัติชิ้นใดๆ ลงบนผืนดิน ก็จะมีวัตถุที่มีค่าในระดับเดียวกันตามที่ตัวเองอยากได้งอกออกมา
นี่แสดงให้เห็นถึงแก่นสารของเทพแห่งการเซ่นสรวง
ลู่เซิ่งเดินไปเดินมาบนแผ่นดินสีแพลตินัม ตัดทะลุเนินเขาและภูเขา จากนั้นหลังจากเดินเป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร เขาก็เห็นวิหารสีแพลตินัมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
สัมผัสได้ถึงพลังเทพของราเอลที่กำลังพลุ่งพล่านผันผวนในวิหารเทพ
‘คิดว่าซ่อนตัวในวิหารแล้วจะหนีรอดหรือ’ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ไม่พบผู้พิทักษ์สักคนเดียว
ในการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ พลังทำลายล้างที่ราเอลระเบิดออกมาเป็นแค่ระดับกึ่งเทพเท่านั้น แต่เทียบกับกึ่งเทพแล้ว เขามีนักบุญนับไม่ถ้วนคอยช่วยป้องกัน จึงฆ่าได้ยากเย็นกว่ากึ่งเทพทั่วไป
พลังป้องกันนั้นสมกับอยู่ในระดับพลังเทพที่อ่อนแออย่างสมศักดิ์ศรี
ความจริงเมื่อเทพที่แท้จริงจุติลงบนมิติหลัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบบนี้
แม้พลังสูงสุดจะถูกจำกัด แต่ศักยภาพของพวกเขาแข็งแกร่งเกินไป หากเป็นเทพระดับกลางและเทพระดับบนบางส่วน ท่านสู้กับเขาหลายสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะผลาญพลังเขาจนตายได้
พลังแห่งศรัทธาที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายจากสาวกนับไม่ถ้วนของพวกเขา สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นพลังเทพแล้วมอบให้ร่างแปลงบนพื้นดินได้อย่างสมบูรณ์
ถ้ามีสาวกมาก ความเร็วในการผลาญพลังของท่านก็ยังสู้ความเร็วในการฟื้นฟูของเขาไม่ได้
ไม่มีทางฆ่าได้เลย
ลู่เซิ่งที่ได้ทราบจุดเด่นของเทพจากบริวารแล้ว หลังจากเตรียมการบางอย่างไว้ง่ายๆ จึงค่อยมุ่งหน้ามาหาเรื่องเทพแห่งการเซ่นสรวง
ตอนนี้พลังเทพของราเอล เทพแห่งการเซ่นสรวงถูกใช้จนหมดแล้ว เขาเหลือแค่การปกปักษ์จากอาณาจักรเทพเป็นอย่างสุดท้ายเท่านั้น
หากอาณาจักรเทพพังทลาย เขาก็จะไม่ต่างอะไรกับกึ่งเทพทั่วไป ต่อให้เขาหนีออกไปจากศึกครั้งนี้ได้ก็ตาม
เมื่อถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่ลู่เซิ่งเลย แค่กึ่งเทพที่แข็งแกร่งกว่านิดหน่อยก็สามารถฆ่าเทพอย่างเขาได้สบายๆ แล้ว
“ท่านเป็นใครกันแน่! เป็นฝ่าบาทองค์ไหนกัน! ข้าไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับท่าน เหตุใดท่านต้องกดดันข้าถึงเพียงนี้ด้วย!” เสียงของราเอลถ่ายทอดมาจากในวิหารพร้อมกับความเคียดแค้นและโกรธเคือง
“ข้าก็บอกไปแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง” ลู่เซิ่งพุ่งเข้าหาวิหารอย่างช้าๆ
“ข้าก็แค่คนน่าสงสารที่หาอะไรมาถมท้องให้อิ่มเท่านั้น”
ระยะห่างระหว่างเขากับวิหารเหลือน้อยลงเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงพลังดึงดูดอย่างรุนแรงของคุณสมบัติเทพต่อตัวเอง
เขาสังหรณ์ใจว่า คุณสมบัติเทพจะต้องช่วยเติมเต็มและปรับปรุงโลกรูปจิตของตัวเองอย่างอธิบายไม่ได้แน่นอน
“ยอมแพ้เสียเถอะ…ท่านเป็นแค่มนุษย์ ข้าคาดการณ์ถึงสภาพแบบนี้มานานแล้ว” เสียงของราเอลดังออกมาจากวิหาร
“ข้าได้เชื่อมต่อวิหารแห่งนี้กับด้านล่างสุดของพิภพดาราไว้แล้ว ที่นั่นคือสุสานของเทพ เป็นจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดๆ หนีรอดจากที่นั่นได้มาก่อน ถ้าหากท่านยินดีจะถูกลากเข้าสู่ก้นพิภพดาราพร้อมกับข้า เช่นนั้นก็จงมาเถอะ”
ลู่เซิ่งงุนงง ร่างกายที่ตอนแรกเคลื่อนพุ่งไปด้านหน้าค่อยๆ เชื่องช้าลง
เขานึกไม่ถึงว่าราเอลจะมีความกล้าหาญระดับนี้
พิภพดารา ที่นั่นเป็นสุสานที่เทพ ห้วงอเวจี และยมโลกห้ามไม่ให้เอ่ยถึง
ตอนแรกที่ตรงนั้นคือมิติทางเชื่อมพิเศษสองเส้น มันบรรจุเศษเดนวิญญาณนับไม่ถ้วนที่โปรยปรายลงมาจากมิติเบื้องบนนับไม่ถ้วนเอาไว้
ที่ตรงนั้นคือลานขยะของจักรวาลแห่งนี้ วัตถุสิ่งของที่บรรจุไว้คือขยะและสิ่งเจือปนที่ถูกรีดเค้นจนแห้งเหือด และไม่มีสารอาหารใดๆ ต่อมิติและวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
ที่นั่นเต็มไปด้วยพิษและพายุเน่าเปื่อยที่ส่งผลร้ายต่อชีวิตและวิญญาณ ที่ก้นของพิภพดาราก็เกิดแรงดึงดูดขนาดมหึมาที่ไร้สิ่งใดเทียบเคียงจากขยะจำนวนนับไม่ถ้วนที่สั่งสมมาหลายปีเช่นกัน
แรงดึงดูดนี้คอยดึงมิตินับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องบนตลอดเวลาตามหลักแรงดึงดูดขั้นพื้นฐานสุด เพื่อกระชากมิติด้านบนลงมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดีที่ตัวมิติยังมีคุณภาพและสนามพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งพอจะต้านทานได้
ว่ากันว่า ตอนที่แรงดึงดูดของพิภพดาราไปถึงระดับหนึ่ง มิติทั้งหมดจะค่อยๆ ตกลงไปตามการดึงดูดเหมือนๆ กันหมด
ในตอนสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นหนึ่งเดียวบนพิภพดารา กลับสู่เวลาสร้างโลกสมัยแรก ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลายกลายเป็นจุดแรกเริ่ม ทำลายทุกสิ่ง และหลอมรวมทุกอย่าง
นี่ก็คือวันสิ้นโลกของเหล่าเทพในตำนาน
“ถ้าท่านไม่อยากตายไปพร้อมกับข้า และวิญญาณถูกจองจำอยู่ที่ก้นพิภพดาราตลอดไป ให้ถอยไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ที่ยังทันอยู่” เสียงของราเอลดังมาจากด้านในวิหาร
“ตายด้วยกันหรือ” ในที่สุดลู่เซิ่งก็หยุดร่างลง
เขาพลันก้มมอง
“เอาแบบนี้ ขอแค่เจ้ารับปากว่าจะโอนหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์และคุณสมบัติเทพให้ข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“อย่างนั้นก็ตกลงไปที่พิภพดาราพร้อมกันเถอะ” ราเอลกล่าวเสียงเฉียบขาด
คลื่นของการฉีกมิติหลายกลุ่มส่งมาจากในวิหาร คลื่นจางๆ ของความตายและความมืดครึ้มค่อยๆ กระจายออกมาจากคลื่นนั้น
คลื่นนี้มีกลิ่นอายเฉพาะของพิภพดารา ไม่ใช่ความตายธรรมดาของวิญญาณมรณะ คลื่นนี้ถึงขั้นที่แม้แต่อัคคีวิญญาณก็ยังเผาไหม้ไม่ได้
มันไม่มีพลังชีวิตใดๆ โดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งใจเต้นตึกตัก พลันส่งเสียงห้าม
“เจ้าคิดเสนอเงื่อนไขอะไร”
คลื่นในวิหารค่อยๆ หยุดลง
“ท่านจะต้องถอยออกจากอาณาจักรเทพ” ราเอลกล่าวด้วยเสียงเคียดแค้น
ลู่เซิ่งนิ่งไป
“ได้ แต่ทำแบบนี้ก็ไร้ความหมายอยู่ดี ต่อให้ออกไปแล้วข้าก็ยังเข้ามาได้อีก”
แม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังคงลอยตัวขึ้นสูง พุ่งสู่ฟากฟ้า แล้วทะลวงม่านฟ้าลวงตาออกมาจากอาณาจักรเทพ กลับสู่ในโถงเซ่นสรวงที่ทรุดโทรม
“แบบนี้พอหรือยัง”
ราเอลแค่นเสียง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะไม่ลงมือในทันทีที่ข้าหยุด ตอนนี้ท่านจงจากไปเสีย ไปให้ไกลจากข้าอย่างน้อยหนึ่งร้อยกิโลเมตร!”
ลู่เซิ่งเดินออกจากวิหารแล้วเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีด้วยสีหน้าคงเดิม
“รอเดี๋ยว” อยู่ๆ เสียงของราเอลก็ดังมาอีกรอบ “ท่านผลาญพลังเทพของข้าไปมากมาย แถมยังฆ่าหุ่นเชิดสงครามที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าอีก หรือคิดจะไปเฉยๆ เช่นนี้” เสียงของเขาแฝงความละโมบ
“ท่านใช้ดัชนีมรณะและก้อนเวททำลายล้างเมื่อครู่ได้อย่างไร จงทิ้งเวทมนตร์ลับเอาไว้เสีย!”
มนุษย์ธรรมดาคนเดียวปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมาได้ ถ้าหากมอบเวทมนตร์ลับที่แข็งแกร่งมาให้ เขาใช้ อานุภาพไหนเลยจะไม่น่ากลัวยิ่งกว่า
“เวทมนตร์ลับหรือ” ลู่เซิ่งงุนงงก่อนจะยิ้มออกมา
“เจ้าอยากจะได้เวทมนตร์ลับของข้าจริงๆ หรือ” เขาถามซ้ำอีกหน
“หยุดพูดไร้สาระสักที เอามาเสีย ไม่อย่างนั้นก็ตกตายไปด้วยกัน! อย่างไรข้าก็เสียทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ลากท่านลงไปยังพิภพดาราด้วยก็ไม่เลวเหมือนกัน” ราเอลแค่นเสียง
“เจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ หรือ” สีหน้าของลู่เซิ่งแปรเปลี่ยนไม่น่ามองพลางเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“หยุดพูดไร้สาระสักที!”
…
“เร็วหน่อยๆ! ทางนี้!”
“ทางนั้นกางไว้! อ้าปากอีกหน่อย! อ้าอีก! อ้าอีก!”
ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิดใต้อาณาจักรเทพ กระเรียนยักษ์พันเทวะพยายามอ้าปาก โดยเล็งปากของตนให้ตรงกับอาณาจักรเทพแห่งการเซ่นสรวงที่อยู่ด้านบน
ลู่เซิ่งสิบกว่าคนแยกกันสั่งการปรับท่าอยู่รอบๆ กลายเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งวงแหวนเวทปิดผนึก
“เรียบร้อย ให้ร่างแยกกระตุ้นมันอีกนิด ถ้าตำแหน่งที่อาณาจักรเทพตกลงมาแม่นยำหน่อย น่าจะกินได้ในคำเดียว”
ลู่เซิ่งร่างหลักที่ลอยอยู่กลางอากาศพยักหน้าน้อยๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าเทพจริงๆ เกิดไปกระตุ้นความตื่นตัวของระบบเทพทั้งหมดเข้า อย่างนั้นก็จะลำบากแล้ว ดังนั้นต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด
“ตอนกินห้ามเคี้ยวนะ! ให้จัดการในคราวเดียว! ห้ามเคี้ยวเด็ดขาด จำไว้ด้วยล่ะ!”
“แต่แบบนี้จะไม่ทรมานแย่หรือ…” กระเรียนยักษ์พันเทวะกล่าวอย่างจนใจ แม้จะเป็นร่างแยกของคนคนเดียวกัน แต่ตำแหน่งแตกต่างกัน จิตแตกต่างกัน ความรู้สึกที่ได้รับย่อมไม่เหมือนกัน
แม้มันจะเป็นแค่จิตที่แยกออกมาชั่วคราว แต่จิตก็เป็นคนเหมือนกัน จึงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
……………………………………….