ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 733 อหังการ (1)
“ข้าว่า…นางไม่ได้เกรงใจหรอก แต่กำลังขอความช่วยเหลือจริงๆ ต่างหาก...” ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้ากล่าวเตือนด้วยสีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อย
ตอนแรกเขาเพียงคิดจะเอาเปรียบ จึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าชายกระโปรงของยูน่าถูกฉีก แต่ทุกอย่างที่เห็นในเวลาต่อมากลับทำให้เขาทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ
เขาไม่อาจทนมองดูหญิงสาวที่งดงามถูกทารุณแบบนี้ต่อไปได้
“ข้ารู้อยู่แล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งพลันสลายไป “แต่นี่เป็นเจตนาดีของข้า นางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
เขาย่อมรู้ว่าตัวเองทำแขนของหญิงสาวหักเพราะความสะเพร่า แต่เพราะเขาคือลู่เซิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ผิด
เขาไม่ผิด คนที่ผิดย่อมเป็นคนอื่น
สามีภรรยาวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี
คนที่อยู่รอบๆ ก็ไร้คำพูดโต้ตอบเช่นกัน
“พูดถูกแล้ว ทุกคำพูดและทุกการกระทำของขุนนางอย่างพวกเราย่อมไม่ผิด คนธรรมดาพวกนี้เป็นแค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้สร้างความบันเทิงให้พวกเราต่างหาก”
ชายหนุ่มหล่อเหลาเจ้าของผมสีทองคนหนึ่งเดินมาจากที่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาถือไวน์สีแดงเข้มสองแก้วขณะมองลู่เซิ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ลู่เซิ่งพลิกมือดึงเสื้อขึ้น ร่างของยูน่าล้มพับลงบนที่นั่ง สองแขนป้องกันอยู่ด้านหน้า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแขนของนางบิดอย่างผิดปกติอยู่ในมุมที่แปลกประหลาด
ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปงัด หลังจากเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ เขาก็ส่งปราณปฐพีเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บ ผ่านไปได้ไม่กี่วินาที กระดูกของยูน่าที่หักก็เข้าที่
กรี๊ด!
อาการบาดเจ็บเพิ่งจะดีขึ้น นางก็กรีดร้องด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนี ไม่กล้าอยู่ข้างลู่เซิ่งอีกต่อไป
จากนั้นชายหนุ่มผมทองที่ถือไวน์อยู่คนนั้นก็นั่งลงบนที่นั่งที่นางลุกออกไป
ลู่เซิ่งเก็บเสื้อกลับมาและมองคนผู้นี้
“สักแก้วไหม” ชายหนุ่มยื่นไวน์ไปด้านหน้าลู่เซิ่ง
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มยิงฟันขาว
“ข้าชื่อโจอันนา ปกติมีแต่คนกลัวข้า ข้าไม่เคยกลัวใคร” ชายหนุ่มยิ้มตอบเช่นกัน
“โอ้อวดจริงนะ” ลู่เซิ่งอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะ
“ไม่ใช่โอ้อวด แต่เป็นความจริงต่างหาก สนใจมาเป็นผู้ติดตามของข้าไหม” ชายหนุ่มมองลู่เซิ่ง พร้อมกับส่งเสียงเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ลู่เซิ่งคร้านจะตอบ ยกไวน์ขึ้นจิบโดยไม่สนใจผู้ใด รสชาติไม่เลว เปรี้ยวๆ หวานๆ เหมือนกับน้ำผลไม้
ไม่สิ…ก็นี่มันน้ำผลไม้นี่นา
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ เป็นเพราะไม่รู้ค่าจ้างหรือ ท่านไม่ต้องห่วง อย่างหญิงสาวคนเมื่อครู่ ท่านอยากได้เท่าไหร่ข้ามอบให้ท่านได้เท่านั้น ข้ามีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งยังชอบคบหาสหายด้วย” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ คร้านจะสนใจอีกฝ่าย หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาจากในถุงผ้า ครั้งนี้เป็นนิยาย
ชายหนุ่มผู้นี้เองก็ไม่ยอมแพ้ หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนอีก
เขาบอกว่าเขาชื่อโจอันนา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นชื่อปลอม
ไม่นานนักยูน่าก็ร้องไห้กลับมาด้วยดวงหน้าที่เปื้อนรอยน้ำตา พอดีที่สามีภรรยาที่อยู่อีกฝั่งทนบรรยากาศกดดันระหว่างลู่เซิ่งกับโจอันนาไม่ไหว จึงลอบหลบหนีไป ยูน่าเลยถือโอกาสนั่งลงฝั่งตรงข้าม
เพียงแต่นางไม่กล้ามองลู่เซิ่ง และไม่กล้ามองโจอันนา เพียงแค่ก้มหน้างุดและขดตัวกลมเท่านั้น
ลู่เซิ่งอ่านหนังสือโดยไม่สนใจใคร ส่วนโจอันนาก็พูดเรื่องที่แม้ไม่มีสาระแต่ก็ใช้คุยโวได้ดีซ้ำไปซ้ำมา
แม้ลู่เซิ่งจะไม่ตอบ เขาก็ไม่ขุ่นเคือง เพียงเล่าเรื่องสนุกสนานของตนไปคนเดียว
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นช้าๆ เมื่ออสูรมาถึงที่ราบ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้น นี่เป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของอสูร
สามารถมองเห็นทิวทัศน์พร่ามัวที่พุ่งผ่านด้านนอกหน้าต่างด้วยความเร็วสูงได้เป็นระยะ
ลู่เซิ่งอ่านนิยายสักพักพร้อมกับกินอาหารเล็กน้อย จากนั้นโยย่าผู้เป็นหัวหน้าชุมนุมย่อยก็มาถามไถ่สองสามประโยค แล้วที่นี่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีก
แสดงให้เห็นว่าการลงมือของลู่เซิ่งเมื่อครู่นี้ได้ขู่ขวัญคนที่อยู่รอบๆ แล้ว
คนที่มาที่นี่ได้ล้วนมีตำแหน่งสถานะไม่ต่ำต้อย ดั่งคำพูดว่าเศรษฐีไม่นั่งใกล้ชายคา[1] พวกเขามีสถานะสูงศักดิ์ จึงคร้านจะหาเรื่องคนธรรมดาคนหนึ่งตรงนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของยูน่ายังไม่เกี่ยวกับพวกเขาด้วย
ตอนที่ยูน่าเพิ่งหนีไป ก็ถูกหญิงสาวในตู้รถตู้อื่นกระแนะกระแหนจนต้องกลับมาข้างกายลู่เซิ่งด้วยความจนปัญญาอีกครั้ง
ความจริงหลังจากเรื่องเมื่อครู่ผ่านไป ก็ไม่มีผู้ใดชายคนไหนยินดีจะคุยกับนางอีกแล้ว ความปรารถนาของนางล้มเหลว เนื่องจากคนอื่นมองว่านางเป็นของลู่เซิ่งไปเสียแล้ว
ส่วนโจอันนาที่อยู่ด้านข้างก็คุยจ้อไม่หยุดตลอดทาง เป็นตัวปากมากของแท้
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจ หากแต่คอยสัมผัสปริศนาการทำงานของธรรมชาติที่รั่วไหลออกมาตอนคุณสมบัติเทพโคจร
นี่ทำให้ความเข้าใจต่อกฎเกณฑ์ในโลกรูปจิตของเขาได้รับการปรับปรุงมากกว่าเดิม
แว้…
อุแว้…
อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องของทารกดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง รบกวนความคิดของลู่เซิ่ง
เขาหยุดชะงักและมองไปด้านนอก
“ใกล้จะถึงฮานาสแล้วค่ะ ที่นี่คือชุมชนแออัดที่มีชื่อเสียง ทุกคนห้ามเปิดหน้าต่างนะคะ เดี๋ยวมือของคนชั้นต่ำด้านนอกจะทำให้เสื้อผ้าสกปรกเอา” หัวหน้าชุมนุมย่อยโยย่าลุกขึ้นและเตือนเสียงดัง
เสียงร้องของทารกดังมาจากในอ้อมอกของผู้หญิงที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมส่วนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างรถ พวกนางอุ้มเด็กทารกที่ผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกซึ่งกำลังร้องไห้จ้าเอาไว้
แขนขาของทารกเหล่านั้นเหมือนกับฟืน ท้องใหญ่เหมือนลูกบอล เห็นได้ชัดว่าป่วยเป็นโรค
“ที่นี่คือนรกบนดินที่มีชื่อเสียงของฮานาส” โจอันนาที่พูดพล่ามมาโดยตลอดพลันเงียบขรึมลงมาก เขามองฝูงชนที่เบียดเสียดอยู่ด้านนอกหน้าต่างอย่างสงบนิ่ง ในดวงตาฉายแววที่ไม่อาจอธิบายได้
รถเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มีผู้รับใช้ยกอาหารกลางวันมาเสิร์ฟ
เพียงแต่อาหารกลางวันจะต้องจ่ายเงิน ลู่เซิ่งซื้อเอง ส่วนยูน่าก็ฝืนใจซื้อเช่นกัน มีแต่โจอันนาที่ดูถือเนื้อถือตัวเท่านั้นที่โบกมือทำท่าดูถูก
“ขุนนางอย่างพวกเราต้องเลือกกินหน่อยสิ”
ลู่เซิ่งคร้านสนใจ
หลังจากเดินทางต่อไปอีกสักพัก พอกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็หยุดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งในฮานาส
ที่พักในแผนการคือที่นี่ แต่ทุกคนต้องจ่ายค่าประกัน
คฤหาสน์อยู่ห่างจากเขตชุมชนแออัดไม่ไกล พอลู่เซิ่งลงรถก็ยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงเด็กร้องไห้ซึ่งดังมาไกลๆ ได้อยู่
“ฮานาสเป็นประเทศบนคาบสมุทรที่มีชื่อเสียง เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่เป็นระยะทางหนึ่งวัน ที่นี่คือช่วงพื้นที่ชายขอบ คฤหาสน์ที่พวกเราอยู่เป็นอสังหาริมทรัพย์ของบารอนโปกเกอร์ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ก่อตั้งตั้งแต่…”
หลังจากหัวหน้าชุมนุมย่อยโยย่าลงรถแล้ว ก็เดินนำหน้าทุกคนพลางแนะนำสภาพแวดล้อมทันที
ลู่เซิ่งลงรถ จากนั้นก็มองไปยังชุมชนแออัดโดยไม่รู้ตัว
เขาสัมผัสได้ถึงไอความตายที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งกำลังไหลเวียนและกระเพื่อมอยู่ตรงตำแหน่งของชุมชนแออัด ขณะเดียวกัน ในไอความตายก็มีกลิ่นอายชีวิตแทรกตัวอยู่ไม่มาก พวกมันพยายามเติบโตเหมือนกับต้นกล้าที่งอกออกมาจากดินดำ
“ที่นี่ ความตายคือความสงบ ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป” โจอันนาที่เดินอยู่ข้างๆ เขาอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
เห็นได้ว่าตัวเขายังเป็นคนดีอยู่
“เจ้าตามข้ามาทำไมอีก” ลู่เซิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ เจ้าหมอนี่ยังคงตามเขาไม่ไปไหนหลังจากลงรถ แถมยูน่าก็คอยติดตามอยู่ห่างๆ เช่นกัน
โจอันนาแก้มแดง แล้วกล่าวโดยแสร้งทำเป็นเยือกเย็นว่า “เจ้าจะไม่พิจารณามาเป็นลูกน้องข้า ยอมเป็นผู้ติดตามตระกูลเบ็คกาของข้าจริงๆ หรือ เจ้าควรจะรู้ไว้นะว่า ข้าโจอันนาเป็นผู้สืบทอดลำดับที่ห้า มีที่นากว้างใหญ่ไพศาล เจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง!”
“ไม่มีเงินกินข้าวใช่ไหม” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
โจอันนาสะดุ้งโหยงเหมือนแมวถูกเหยียบ สีหน้าแดงก่ำแต่กลับเถียงไม่ออก
“วัยละอ่อนไม่ดีตรงไหน ดันริอ่านปลอมตัวเป็นผู้ชายไปได้” ลู่เซิ่งกล่าวต่ออย่างเอือมระอา
โจอันนาพลันอึ้งไป
ลู่เซิ่งพานางกับยูน่าไปด้วย ทั้งสองเข้าไปในคฤหาสน์ จ่ายเงินซื้ออาหารเย็นสามที่ ยูน่าเหมือนจะไม่เหลือเงินแล้ว ตอนจ่ายเงินไม่ได้คิดว่าราคาอาหารเย็นของที่นี่จะแพงขนาดนี้ เงินที่พกมาจึงไม่พอจ่าย
ลู่เซิ่งยังรู้สึกผิดกับนางอยู่บ้าง อย่างไรก็เป็นเพื่อนของหงเย่ แถมถูกตนกดแขนเกือบตายอีก การชดเชยให้เล็กๆ น้อยๆ จึงเป็นสิ่งสมควร เลยจ่ายเงินให้นาง
“ขอบคุณค่ะ…” ยูน่าก้มหน้าส่งเสียงเหมือนตัวริ้น แก้มแดงเหมือนกับแอปเปิ้ล
ส่วนโจอันนา ลู่เซิ่งให้แท่งเงินไป แม้จะเล็กน้อยแต่ก็พอให้นางกินมื้อหนึ่ง
เวลานี้นางค่อยไปเปลี่ยนชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ในห้องน้ำแล้วกลับมาใหม่
ผมสีทองสว่างประบ่า ชายกระโปรงยาวถึงน่องขา เผยให้เห็นขาเล็กที่รัดถุงน่องสีดำ มัดเข็มขัดริ้วเงินสีดำเส้นหนึ่ง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตาของนาง
สีตาของโจอันนาที่ลบการแปลงโฉมออกแตกต่างจากคนอื่นๆ นางมีดวงตาสีม่วงแวววาวชวนให้รู้สึกหวั่นไหว
นางเพียงนั่งกินอาหารเงียบๆ ทุกๆ การเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นมาตรฐานมารยาทที่เคร่งครัดจนเกือบสมบูรณ์แบบ
แม้ด้านหน้านางจะมีแต่กะหล่ำปลีนึ่งวางอยู่แค่จานเดียวก็ตาม…
ลู่เซิ่งกวาดตามองเข็มขัดบนเอวนาง มองออกว่าการแปลงโฉมเมื่อก่อนหน้าเป็นความสามารถของเข็มขัดเส้นนั้น
“ที่บ้านข้า กะหล่ำปลียังถูกเรียกว่ากะหล่ำใบ เป็นผักอัศจรรย์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเรื่องราวอันงดงาม” โจอันนาใช้ส้อมจิ้มกะหล่ำปลีชิ้นหนึ่งใส่ปากเบาๆ สีหน้าเหมือนกับกำลังกินซี่โครงวัวระดับพรีเมี่ยม
“ข้าชอบกินกะหล่ำปลีมาตั้งแต่เด็กแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อมักบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่มีแต่คนชั้นต่ำเท่านั้นถึงจะชอบกิน นึกไม่ถึงว่าออกมาในครั้งนี้จะได้ลิ้มรสผักที่ปกติไม่ได้กินตามใจอยาก”
ตอนนี้ยูน่าไม่กลัวโจอันนาแล้ว
“ท่านแอบหนีออกมาคนเดียวหรือ” นางถามอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ ข้าย่อมออกจากบ้านอย่างสง่าผ่าเผย การแอบซ่อนจะใช้บรรยายท่านหญิงจากตระกูลขุนนางที่สูงสง่าได้อย่างไร ยูน่าเจ้าไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว!” โจอันนาถลึงตามองยูน่าอย่างไม่พอใจ
“ข้าก็แค่ลืมเอากระเป๋าเงินติดมาด้วยตอนออกมาเท่านั้น” สิ้นเสียงนางก็กล่าวเสริมอีกประโยค
ยูน่าป้องปากอยากจะหัวเราะ แต่นางก็มองเห็นความปากแข็งหยิ่งทะนงของอีกฝ่าย จึงไม่ได้พูดอะไรอีก ความจริงโจอันนาก็เป็นหญิงสาวจิตใจดีที่บริสุทธิ์มากเหมือนกัน
เหมือนคนผู้นั้น
นางแอบมองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้
ลู่เซิ่งกำลังถือกระดูกวัวชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ปากฉีกเนื้อชิ้นหนึ่งที่ปกติคนธรรมดากินไม่ได้ออกมา ก่อนจะเคี้ยวและกลืนลงไป
ถ้าหากบอกว่าการมองดูโจอันนากินอาหารเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง อย่างนั้นการมองดูเขากินข้าวก็เป็นความทรมานชนิดหนึ่งเช่นกัน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลู่เซิ่งก็กินอาหารส่วนของคนสิบคนหมด
ผู้รับใช้ที่เสิร์ฟอาหารเหงื่อแตกอยู่ด้านข้าง พอขุนนางบางส่วนที่เห็นความงามของโจอันนาเจอภาพนี้เข้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก ได้แต่ชี้มือชี้ไม้อยู่ไกลๆ
อย่างไรต่อให้เป็นออร์คที่กินได้เยอะที่สุด ก็ไม่อาจกินได้เยอะเท่าลู่เซิ่ง
……………………………………….
[1] เศรษฐีไม่นั่งใกล้ชายคา หมายถึง ผู้มีทรัพย์สินมากจะไม่ยอมเสี่ยงอันตรายกับเรื่องเล็กๆ