ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 734 อหังการ (2)
ความแข็งแกร่ง เป็นสาเหตุที่ทำให้โจอันนาติดตามลู่เซิ่งแน่วแน่กว่าเดิม
นางไม่มีเงิน แต่มีหน้าตางดงาม ถ้าไม่หาคนที่มีแรงกดดันมากพอมาคุ้มกันตัวเอง เกรงว่าเดินทางได้ไม่ไกลเท่าไหร่คงเจอปัญหามากมาย
ก่อนหน้านี้นางแต่งตัวเป็นผู้ชายหลอกกินหลอกดื่มไปทั่ว ทว่าหลังจากเจอลู่เซิ่งแล้ว ลางสังหรณ์ทางสายเลือดในร่างกายที่รับสืบทอดมาก็บอกนางว่า คนคนนี้ไม่มีเจตนาร้ายกับนาง
หรือควรบอกว่า นางสัมผัสได้ว่าลู่เซิ่งปฏิบัติต่อคนรอบข้างทุกๆ คนรวมถึงตัวยูน่าเหมือนกับปฏิบัติต่อสัตว์ตัวเล็กๆ กับดอกไม้ใบหญ้า
เวลาเบื่อหน่ายและอารมณ์ดีก็จะคอยดูแล เมื่ออารมณ์ไม่ดีก็คร้านจะสนใจ
เป็นเพราะความรู้สึกนี้ เลยทำให้โจอันนาสนอกสนใจในตัวลู่เซิ่ง จากบ้านมานาน นางเคยเจอคนมาไม่น้อย มีทั้งคนดี คนเลว คนมีเจตนาแอบแฝง คนโลภ และคนมักมากในกาม
ระหว่างทางมีคนมองการปลอมแปลงของนางออก แล้ววางยาทำให้นางสลบและจนเกือบชิงความบริสุทธิ์ไปได้ ดีที่ความพิเศษทางสายเลือดของนางตื่นทันเวลา เลยหนีรอดจากรังโจรสำเร็จ
โจอันนาแยกแยะได้อย่างชัดเจนผ่านการสัมผัสของตัวเองว่า ลู่เซิ่งย่อมไม่ใช่ขุนนางใหญ่ แต่ต้องเป็นคนรวยอย่างแน่นอน
เป็นเพราะไม่ว่าเขาจะจ่ายเงินเท่าไหร่ กลับไม่มีความสั่นไหวทางอารมณ์แม้แต่น้อย
พึงทราบว่าต่อให้เป็นพ่อค้าร่ำรวย เมื่อต้องจ่ายด้วยทองหรืออัญมณี ก็ต้องมีความรู้สึกเสียดายนิดๆ
แต่ลู่เซิ่งกลับไม่มีเลย
นี่ทำให้โจอันนาสงสัยว่าลางสังหรณ์ของตนเองเสียไปแล้วหรืออย่างไร แต่พอทดสอบกับคนอื่นๆ นางก็ได้ความเชื่อมั่นกลับมา ไม่ใช่ลางสังหรณ์ใช้ไม่ได้ หากแต่ลู่เซิ่งไม่ใส่ใจจริงๆ
ตอนที่ร่วมกินร่วมดื่มกับคนอื่น นางสัมผัสได้ว่าความอดทนของอีกฝ่ายมีขีดจำกัดอยู่ตรงไหน แต่กับลู่เซิ่ง นางสามารถร่วมกินร่วมดื่มได้อย่างสบายใจ
เนื่องจากนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลู่เซิ่งไม่สนใจเงินทองแม้แต่น้อย จ่ายเงินทองเหมือนกับจ่ายด้วยก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากกินข้าวเสร็จ คฤหาสน์ก็จัดงานชิมชาและงานเต้นรำ ยังมีคนเล่นไพ่แข่งหมากรุก ถือเป็นกิจกรรมหลังมื้ออาหาร
ลู่เซิ่งไม่สนใจ พอกินเสร็จเขาก็ออกจากคฤหาสน์และมุ่งหน้าไปยังชุมชนแออัดทันที
องครักษ์ต่างก็เกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาไป แต่เขาโบกมือปฏิเสธ
โจอันนากับยูน่าใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะติดตามไปด้วย ประการแรกเพราะต่างคนต่างไม่มีที่ไป อีกประการเป็นเพราะกลัวว่าตั๋วอาหารจะหนีไป
ทั้งสามเข้าใกล้ตำแหน่งของชุมชนแออัด
เดินไปราวหนึ่งกิโลเมตร ก็เริ่มเห็นเค้าโครงบางส่วนของผู้ประสบภัยที่นั่งบ้างนอนบ้างอยู่ริมถนนบนผืนทรายสีเหลืองมัวซัวแล้ว
ลู่เซิ่งไม่ได้เข้าใกล้เกินไปนัก เพียงแค่หยุดฝีเท้าอยู่ไกลๆ
เขาไม่ได้สนใจหญิงสาวสองนางด้านหลัง เขามาที่นี่ไม่ใช่เพราะสงสารคนยากคนจน หากเป็นเพราะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่มีวิญญาณจำนวนมากที่ตายอย่างธรรมชาติเพราะสิ้นอายุขัยและโรคภัยไข้เจ็บ
ทุกๆ วินาทีที่นี่จะมีวิญญาณจำนวนมากสลายตัว และมีวิญญาณจำนวนมากกลายเป็นรูปเป็นร่างตอนมาเกิดใหม่
ความตายกับการถือกำเนิดกลายเป็นสมดุลที่มีพลวัตอย่างหนึ่ง
เทียบกับเมืองที่มีสภาพสมบูรณ์ทั้งหลายแล้ว วัฏจักรความเป็นความตายของที่นี่ทำงานเร็วเกินไป
พลังงานลึกลับธาตุหยินหลายสายแผ่พุ่งออกมาระหว่างวัฏจักรความเป็นความตายนี้อย่างไม่หยุดยั้ง และกระเพื่อมอยู่กลางอากาศ
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองด้านบน
ทั้งๆ ที่เป็นฟ้าครามไกลสุดลูกหูลูกตาและไร้เมฆบดบัง แต่ว่าเหนือท้องฟ้ากลับมีเมฆสีเทาเข้มชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ในสายตาของเขา
‘มีแต่ความตายกับการเกิดใหม่โคจรร่วมกันเท่านั้น ถึงจะทิ้งพลังแห่งวัฏจักรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ไว้ได้’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ
คนจนของที่นี่มีจำนวนมากกว่าแสน เดิมทีที่นี่มีคนอาศัยอยู่หลายแสนคน กอปรกับช่วงนี้เกิดสงครามถี่ขึ้น ผู้ประสบภัยที่หนีมาจากศาสนจักรแสงสว่างกับศาสนจักรเงาได้ขยายจำนวนพื้นฐานประชากรของที่นี่ขึ้นมากกว่าเดิม
ตำแหน่งที่ลู่เซิ่งยืนอยู่เป็นเพียงชายขอบเล็กๆ ของชุมชนแออัดขนาดมหึมาแห่งนี้เท่านั้น
ขณะยืนอยู่บนชายขอบ สิ่งที่เขาเงยหน้ามองเห็นกลับเป็นพลังแห่งวัฏจักรอันยิ่งใหญ่ที่ชุมชนแออัดแห่งนี้สะสมมามากกว่าร้อยปี
‘วิถีแห่งธรรมชาติ วัฏจักรแห่งหลักฟ้า ถ้าเราดูดซับพลังแห่งวัฏจักรสายนี้ จะต้องรับผลกรรมความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในนั้นไปด้วย’ ลู่เซิ่งเข้าใจดี เหมือนตอนอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในตอนนั้น
แต่ตอนนี้กฎเกณฑ์ที่เขาบรรลุมีมากพอแล้ว สิ่งที่ขาดไปเพียงหนึ่งเดียวในการเลื่อนระดับโลกรูปจิตคือพลังแห่งวัฏจักรที่มากพอ
พลังงานสายนี้จะทำให้เขายกระดับขอบเขตได้อีกขั้นพอดี
เข้าสู่มายาพิศวงมานานแล้ว แต่เขายังคงหยุดอยู่ในระดับแรกไม่ไปไหน
ถ้าหากดูดซับพลังแห่งวัฏจักรสายนี้ เขาจะเติมเต็มข้อบกพร่องสุดท้ายและก้าวสู่ขอบเขตถัดไปได้อย่างสมบูรณ์
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสักพัก จนกระทั่งสองสาวด้านหลังเริ่มทนไม่ไหวบ้างแล้ว
เขาพลันก้าวไปด้านหน้า
ฟ้าว…
สายลมพัดผ่าน
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ เมฆสีเทาจำนวนมากกลางท้องฟ้าที่ตาเนื้อของมนุษย์มองไม่เห็นเริ่มพลิกม้วนอย่างบ้าคลั่งและยื่นหนวดนับไม่ถ้วนมายังพื้นดิน
ซู่…
พลังแห่งวัฏจักรจำนวนเหลือคณานับกลายเป็นเมฆดำและร่วงหล่นลงมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนจะมุดเข้าไปในตา หู จมูก ปากของลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
โลกรูปจิตสั่นสะเทือน วิญญาณของสิ่งมีชีวิตด้านใน หรือวิญญาณที่เดิมทียากจะเกิดใหม่หลังจากตายแล้ว ทว่าหลังจากมีพลังแห่งวัฏจักรเหล่านี้เข้าร่วม วิญญาณทุกดวงก็จะมีดวงวิญญาณใหม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกครั้ง
ในที่สุดวิถีแห่งวัฏจักรก็ได้รับการปรับปรุงภายใต้การเติมเต็มของพลังอันยิ่งใหญ่สายนี้
เวลานี้ระดับแรกของขอบเขตมายาพิศวงของลู่เซิ่งเสถียรและสมบูรณ์แบบแล้ว
ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติเทพเมื่อก่อนหน้าในสมองของเขาเริ่มทะลักไหลเข้าสู่โลกรูปจิตเป็นจำนวนมากเช่นกัน
พื้นผิวของโลกรูปจิตดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่กฎเกณฑ์ในระดับชั้นลึกสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมเพราะการยกระดับความเข้าใจ
‘มายาพิศวงมีสามช่วงใหญ่ วัฏจักรลวง แปรสัจจะ และอนธการ ทุกช่วงแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขตย่อย ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขตที่สองของวัฏจักรลวงล่ะมั้ง’
ลู่เซิ่งขยับนิ้ว จานประกายโรจน์ของโลกรูปจิตปรากฏขึ้นด้านหลัง บนจานประกายโรจน์ยังคงฝังตราประทับเดิมเอาไว้ เพียงแต่สีสันของจานประกายโรจน์ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก โดยเปลี่ยนจากสีขาวบริสุทธิ์เป็นสีทองเหลืองอ่อนๆ
‘เมื่อจานประกายโรจน์หรือวัฏจักรลวงแข็งตัวและกลายเป็นสีดำสนิท ก็จะเริ่มหมุนด้วยตัวเอง และก้าวเข้าสู่ช่วงแปรสัจจะจริงซึ่งเป็นช่วงที่สอง…’
ตอนนี้ลู่เซิ่งค่อยๆ เห็นเส้นทางการฝึกฝนในภายหลังได้ชัดเจนแล้ว หลังจากมีประสบการณ์และความรู้ด้านมรรคายุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาก็ไม่ได้เป็นคนตัวน้อยๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรคนนั้นอีก
“ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว” ครั้นได้สติกลับมา เขาก็หมุนตัวกลับไปทางคฤหาสน์
“เอ๋? ทำไมเดินได้ครึ่งทางก็จะกลับเสียล่ะ” โจอันนากล่าวอย่างสงสัย
“ไม่อยากไปแล้ว” ลู่เซิ่งตอบ
เมื่อเขาไม่ไป สองสาวย่อมไม่กล้าไปเช่นกัน มีแต่ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่ดุร้ายเหี้ยมเกรียมอย่างลู่เซิ่งเท่านั้นที่ทำให้พวกนางเกิดความรู้สึกปลอดภัยได้
พอกลับถึงคฤหาสน์ ยูน่าก็เริ่มเข้ากับโจอันนาได้ ไม่ได้กลัวนางอีกแล้ว ทั้งยังทราบว่านางเป็นคนปากร้ายใจดี หญิงสาวทั้งสองคุยกันคิกคักอย่างสนุกสนาน
โจอันนามีเรื่องให้เล่าเยอะแยะทีเดียว คำพูดของนางมักเผยให้เห็นความหรูหราสูงศักดิ์ในตระกูลของนางอย่างอ้อมๆ
เรื่องนี้ทำให้ยูน่าอิจฉา
ลู่เซิ่งนั่งบนโซฟาในโถงเล็กอีกแห่ง ดูเหมือนหลับตาทำสมาธิ ความจริงกำลังเชื่อมต่อกับดีปบลูเพื่อจัดระเบียบความก้าวหน้าและพลังฝึกปรือที่เพิ่มขึ้นของตัวเองอยู่
ดีปบลูจำเป็นต้องจัดระเบียบและทำให้ง่ายเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะเละทะไม่เป็นระเบียบเหมือนกับก้อนพรมที่ถูกดึงทึ้ง
ลู่เซิ่งรวมมรรคายุทธ์มากมายที่ไม่ได้ใช้ไว้ด้วยกัน ทำให้อินเตอร์เฟซของดีปบลูดูง่ายขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาค่อยสงบใจสัมผัสผลกรรมความปรารถนาในพลังแห่งวัฏจักรที่ดูดซับมาก่อนหน้านี้
‘จบสักทีเถอะ…’
‘จบสงครามซะ จงจบทุกสิ่งทุกอย่างซะ!’
‘ความเจ็บปวด…โรคภัย สงคราม…บ้านแตกสาแหรกขาด…จากลูกจากเมีย…’
‘ทรมานจัง…หิวจัง…ปวดท้อง…’
ความปรารถนาหลายแสนความปรารถนารวมกันเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่ พริบตาที่ลู่เซิ่งสัมผัส มันก็กระเพื่อมและเดือดพล่านอย่างบ้าคลั่ง
อารมณ์ด้านลบทะลักเข้าสู่สมองของเขา หมายจะส่งผลต่อจิตใจของเขา ทว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
เดิมทีลู่เซิ่งเป็นมารสวรรค์ขอบเขตมายาพิศวง ต่อให้เป็นตอนที่ดึงโลกรูปจิตออกมากลืนกินสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ จิตวิญญาณก็แข็งแกร่งเสียจนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ความแค้นของวิญญาณอันน้อยนิดนี้เลย
‘ผลกรรมขจัดสงครามหรือ’ ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นและถอนใจอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
ทุกความปรารถนาและผลกรรมรวมตัวกันเป็นความตั้งใจหนึ่ง นั่นคือการขจัดสงคราม
‘ตราบใดที่ยังมีความปรารถนาของมนุษย์ สงครามย่อมไม่มีวันสิ้นสุด…ขอแค่ชีวิตยังต้องสู้ สงครามก็คงอยู่ชั่วนิรันดร์’ ลู่เซิ่งเข้าใจดี
พลังแห่งวัฏจักรที่โลกใบนี้เก็บสะสมไว้น่ากลัวเป็นอย่างมาก บางทีอาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครใช้พลังงานสายนี้ ต่อให้เป็นเทพ ก็ไม่อาจสัมผัสกับผลกรรมชนิดนี้กับพลังในทางนิยามได้
ดังนั้นลู่เซิ่งเลยได้ประโยชน์ไป เขาดูดซับพลังแห่งวัฏจักรจำนวนมหาศาลได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องรับผลกรรมหนึ่งเดียวที่บรรจุอยู่ด้านในเช่นกัน
“ท่านลุง ท่านกำลังง่วงอยู่หรือ” โจอันนาไม่ทราบว่ามานั่งบนโซฟาใกล้ๆ ตั้งแต่ตอนไหน นางถือแก้วใส่น้ำผลไม้พร้อมกับดื่มช้าๆ อย่างเกียจคร้าน
“เจ้าสัมผัสได้หรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เขาอยู่ในขอบเขตอะไร โจอันนาที่เป็นคนธรรมดากลับสัมผัสอารมณ์ของการดำรงอยู่ที่เทียบกับพระเจ้าอย่างเขาได้หรือ
“หน้าท่านแสดงออกชัดขนาดนั้นนี่” โจอันนาหัวเราะกลบเกลื่อน “เห็นแก่ที่ท่านเลี้ยงข้าวข้า ข้าขอบอกท่านว่า เวลาเจอปัญหาอะไรจงอย่าได้กลัว บนโลกใบนี้ ในเมื่อปัญหามาถึงมือท่าน เช่นนั้นก็จงทำตามใจตัวเองเถอะ ถ้าทำได้ดีก็ไม่เลว แต่ถ้าล้มเหลวอย่างไรโลกก็กว้างใหญ่ เริ่มในสถานที่ใหม่ก็พอนี่ เปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนที่อยู่ ใครจะรู้ว่าท่านเป็นใคร โลกกว้างใหญ่ออกปานนั้น ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้พวกเราทำตามใจหรือ”
ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็ตั้งใจใคร่ครวญดู จักรวาลใหญ่ขนาดนั้น ทำมิติพังไปมิติหนึ่งก็ช่างสิ อย่างไรก็มีสถานที่อื่นอยู่มากมาย สำหรับจักรวาลแล้ว มิติแห่งหนึ่งเป็นแค่ซอกเล็กๆ ใหญ่ไม่เท่ารังมดด้วยซ้ำ
“แม้เหตุผลที่เจ้าว่ามาค่อนข้างหยาบกระด้างไปบ้าง แต่พอคิดอย่างละเอียดก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ลู่เซิ่งลูบคางเหมือนฉุกนึกอะไรได้
“ข้าบอกท่านเลยนะ เรื่องอะไรนั้นทำๆ ไปก่อนค่อยว่ากัน ต่อจากนั้นคือเรื่องต่อจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ ตอนนี้ท่านพอใจหรือยัง นั่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” โจอันนาโบกมือพูดอย่างผ่าเผย
“อย่างข้านี่ ตระกูลมีอำนาจล้นฟ้า ร่ำรวยมหาศาล เดิมทีข้าจะทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่อยู่ที่บ้านตลอดไปก็ได้ แต่ข้าไม่ยอม โลกด้านนอกมีสีสันมากมาย เรื่องอะไรข้าถึงต้องถูกขังอยู่ในบ้านออกไปไหนไม่ได้ล่ะ” นางทำสีหน้าไม่คิดเหลียวมองอดีต
“อย่างนั้นความหมายของเจ้าคืออะไร…” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินคำพูดของคนอื่นที่ถูกอกถูกใจจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกหวั่นไหวเป็นครั้งแรก
“ทำให้เต็มที่เลยสิ!” โจอันนาเอ่ยอย่างผ่าเผย “เวลาเจอปัญหาอยากทำอะไรก็ทำเถอะ เป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะมากล้าๆ กลัวๆ ได้อย่างไร!?”
“เช่นนั้นข้าควรทำให้เต็มที่หรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างลังเล
“ทำสิ! อยากทำอะไรก็ทำเถอะ!” โจอันนากล่าวอย่างหงุดหงิด
“…มีเหตุผล!” ลู่เซิ่งตัดสินใจ
ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะสู้สุดกำลังดู!
อย่างมากสุดมิตินี้ก็ถูกทำลายเละเทะ อย่างไรก็ไม่ใช่บ้านเขา จักรวาลใหญ่ขนาดนี้ ถึงที่สุดจริงๆ ค่อยเปลี่ยนที่แล้วเริ่มใหม่ก็ได้
พอนึกถึงตรงนี้เขาก็ยื่นมือไปตบบ่าโจอันนา
“เจ้าใช้ได้เลยนะ มีความตระหนักรู้สูงมาก วันหน้าถ้าไม่มีที่ให้อยู่ มาหาข้าก็ได้”
โจอันนางุนงง ยังไม่รอให้นางได้สติ ลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นเตรียมจากไป
“ท่านพูดจริงหรือ”
ทว่าไม่รอให้นางโต้ตอบ ลู่เซิ่งก็เดินหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
……………………………………….