ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 735 ปฏิรูป (1)
“นี่รอเดี๋ยวสิ ถึงเวลาข้าจะไปหาท่านได้ที่ไหนเล่า!?” โจอันนางุนงง ก่อนจะร้องตะโกนทันที
ไม่มีใครตอบ
โจอันนานั่งลงอีกครั้งอย่างจนปัญญา คนคนนี้…สัญญาไปงั้นๆ นี่
ตูม!
อยู่ๆ ด้านนอกคฤหาสน์ก็มีเงาดำขนาดยักษ์สายหนึ่งพุ่งผ่าน
โจอันนาผุดลุกขึ้น แล้วมองไปด้านนอกอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย
‘อะไรกันน่ะ!?’ นางรู้สึกตึงเครียดและขนลุกอยู่บ้าง
เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าต่างของโถงเล็ก
เงาดำสายหนึ่งก็บินโฉบผ่านไปดังฟ้าว
ครั้งนี้นางเห็นชัดแล้ว นั่นคือมังกร!
เงามังกร!
นางรีบพุ่งไปผลักหน้าต่างเปิด แต่กลับไม่เห็นอะไรอีก ราวกับสิ่งที่พุ่งผ่านไปเมื่อครู่เป็นเพียงภาพหลอน
‘เกิด…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!’ โจอันนารู้สึกหัวใจเต้นโครมคราม
…
ด้านในป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากคฤหาสน์หลายกิโลเมตร
แสงจันทร์สาดส่องลงบนที่ว่าง เวลานี้ลู่เซิ่งที่เมื่อครู่ยังสนทนากับโจอันนาลอยอยู่กลางอากาศอย่างแผ่วเบา
มังกรยักษ์สิบกว่าตัวที่อยู่รอบๆ บินวนเวียนรอบที่ว่างโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
แสงจันทร์ส่องกระทบร่างของมังกรยักษ์เหล่านี้ สะท้อนแสงสีรุ้งอันดำมืดออกมา เป็นมังกรสีรุ้งนั่นเอง!
“เออร์นีล่ะ” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองมังกรตัวใหญ่สุดในนี้
“เจ้านี่เอง!? ข้าคือทีอา!” มังกรสีรุ้งที่ตัวใหญ่ที่สุดลดระดับลงมาอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นร่างกายอันชดช้อยกับช่วงคอยาวระหง
มังกรสีรุ้งตัวอื่นจำได้แล้วว่าลู่เซิ่งเป็นใคร ตอนนี้พากันบินลงพื้น
มังกรสีรุ้งสิบเอ็ดตัว มากกว่าครึ่งล้วนมีบาดแผลบนร่างทั้งสิ้น
ขาหน้าข้างหนึ่งของทีอาหายไป เหลือแค่ขาขวาข้างเดียวใช้ยันพื้นเท่านั้น ตรงทรวงอกมีอาการบาดเจ็บจากการถูกหอกยาวหลายเล่มแทงทะลุ
“ตอนที่บินหนีสัมผัสได้ว่าตรงนี้มีคลื่นพลังที่คุ้นเคย ก็เลยแวะมาดู นึกไม่ถึงว่าจะเจอเจ้า ลู่เซิ่ง หรือควรจะบอกว่าโอมิสดี”
ทีอานึกถึงเด็กๆ ที่ตนเคยสอน ลู่เซิ่งเป็นตัวที่โดดเด่นที่สุด นึกไม่ถึงเพิ่งผ่านไปได้แค่สิบกว่าปี เด็กน้อยตัวนี้ก็กลายเป็นร่างมนุษย์แล้ว
“บาดแผลบนร่างพวกท่านมาจากไหน มังกรแดงหรือซาดีน” ลู่เซิ่งกวาดตามองบาดแผลบนร่างมังกรสีรุ้งที่เหลือ ดวงตาค่อยๆ อึมครึมลง
“ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก ในเมื่อเจ้าแปลงกายได้แล้ว เช่นนั้นก็จงซ่อนตัวต่อไปเถอะ อย่าให้ซาดีนกับมังกรแดงพบเห็นเจ้าเด็ดขาด พวกมันมีอาวุธกึ่งเทพชนิดพิเศษ ขอแค่เห็นเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็ตามล่าได้ถึงสุดหล้าฟ้าเขียวเชียว”
ทีอาตั้งใจกำชับด้วยความโกรธและโศกเศร้า
“ไปเถอะ พวกเรายิ่งอยู่นี่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความลำบากให้ลู่เซิ่งเท่านั้น”
มังกรตัวผู้อีกตัวส่งเสียงเกลี้ยกล่อม เขาคือโคบอยนั่นเอง ทว่าตอนนี้สองตาของเขาบอดไปแล้ว ดวงตาถูกอาวุธชนิดหนึ่งควักออกมา ปีกข้างหนึ่งมีร่องรอยซ่อมแซม แถมเนื้อปีกยังเต็มไปด้วยบาดแผลจนเหมือนผ้าขี้ริ้ว
ลู่เซิ่งมองดูมังกรสีรุ้งที่อ่อนล้าท้อถอยเบื้องหน้าพร้อมกับถอนใจยาว อย่างไรตอนเขาจุติลงมาที่นี่ ก็ต้องขอบคุณการดูแลและการสั่งสอนอย่างตั้งใจของฝูงมังกรฝูงนี้
“พวกท่านสภาพแบบนี้ จะยังไปไหนได้หรือ” เขาถามเบาๆ
“หากมุ่งหน้าทางเหนือจะมีเมืองมังกรน้ำแข็ง ที่นั่นเป็นอาณาจักรที่มังกรขาวกับมังกรน้ำเงินปกครอง พวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับมังกรแดง พวกเราคิดจะไปหาที่ทำรังตรงนั้น” ทีอาตอบอย่างละเหี่ยใจ
“เออร์นีล่ะ” ลู่เซิ่งถามอีกรอบ
“ราชินีมังกรพระองค์…ได้ล่อซาดีนกับมังกรแดงไปตามลำพังเพื่อทำให้พวกเราหนีได้อย่างราบรื่น…ตอนนี้พวกเราไม่รู้เหมือนกันว่าพระองค์อยู่ไหน...” ทีอาเอ่ยตอบเสียงเบา
ลู่เซิ่งที่แปลงกายได้ อย่างน้อยก็เป็นจอมเวทที่อยู่เหนือกว่าขั้นสิบขึ้นไป พรสวรรค์และพลังแบบนี้มากพอจะให้นางปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียมได้แล้ว
“ถ้าหากเจ้าเจอปัญหาอะไร สามารถมาหาพวกเราที่แดนเหนือได้ การชักนำทางสายเลือดจะทำให้เจ้ารู้ทันทีว่าพวกเราอยู่ไหน” โคบอยโยนกระดาษแผ่นบางสีทองอ่อนออกมา บนกระดาษเขียนชื่อจริงของมังกรสีรุ้งที่ปัจจุบันยังรอดอยู่เอาไว้
“นี่เป็นตราประทับนามจริง ถ้าพวกเรามีใครตาย ตราประทับบนนั้นจะดับแสงและหายไป ถ้าข้ากับทีอาตายแล้ว เจ้าห้ามมาหาพวกเราเด็ดขาด อย่าลืมเล่า” โคบอยกำชับอย่างตั้งใจ
ลู่เซิ่งรีบรับกระดาษทองมา
“แซลลีกับบอร์กมาอยู่กับข้าแล้ว ข้าว่าการมุ่งหน้าไปยังแดนเหนือของพวกท่านไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ข้าได้ก่อตั้งขุมกำลังของตัวเองขึ้นในเมืองแสงอรุณ ที่นั่นมีหอคอยจอมเวทของข้าอยู่ด้วย พวกเราใช้ประโยชน์จากบ่อพลังธาตุในการติดตั้งแถบวงแหวนธาตุเพื่อขวางกั้นการไล่ล่าของพวกมันได้นะ”
“หอคอยจอมเวทหรือ” ฝูงมังกรสีรุ้งกำลังจะจากไป แต่พอได้ยินคำว่าหอคอยจอมเวท พลันงุนงงกันทั้งฝูง
เพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าไหร่เอง ลู่เซิ่งถึงกับสร้างหอคอยจอมเวทของตัวเองได้แล้วหรือนี่
ถ้าหากมุมานะเป็นเวลาสิบกว่าปี มังกรสีรุ้งตัวหนึ่งเลื่อนระดับเป็นจอมเวทขั้นสิบได้จริงๆ แต่จอมเวทขั้นสิบที่มีหอคอยจอมเวท กับจอมเวทขั้นสิบที่ไม่มีหอคอยจอมเวทเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากเตรียมการได้เต็มที่ จอมเวทขั้นสิบที่ครอบครองหอคอยจอมเวทจะเทียบเท่ากับจอมเวทขั้นสิบหลายสิบคนที่ไม่มีหอคอยจอมเวท
ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีแต่ตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีศักยภาพล้ำลึกและพ่อค้าร่ำรวยเท่านั้นถึงจะหามาได้
แถมสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้มีใครยินยอมให้มังกรสีรุ้งสร้างหอคอยจอมเวทด้วยหรือ
ฝูงมังกรงงงันกันไปชั่วขณะ
ลู่เซิ่งยิ้ม
“ความจริงหลายปีมานี้ข้าก็ไม่ได้อยู่ว่างเหมือนกัน หลังจากเลื่อนสู่ระดับตำนานแล้ว ข้าก็เริ่มรวบรวมวัตถุดิบ และสร้างหอคอยจอมเวทของตัวเอง…”
“เดี๋ยวก่อน...เจ้ารอประเดี๋ยว!” ทีอายกมือข้างหนึ่งขึ้น รู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ระดับตำนาน?!”
มังกรสีรุ้งที่เหลือค่อยๆ เบิกตากลมโต
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว เดิมทีข้ากำลังจะก่อสร้างเขตธาตุสัมบูรณ์ของตัวเอง พวกท่านเองก็รู้ว่าการก่อสร้างเขตธาตุสัมบูรณ์อย่างน้อยต้องใช้บ่อพลังธาตุมากกว่าสิบบ่อ หนำซ้ำยังเป็นบ่อพลังธาตุขนาดใหญ่อีก...”
“เขตธาตุสัมบูรณ์…” มังกรสีรุ้งทั้งฝูงต่างก็สูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้
“นั่น…มีแต่ระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นไม่ใช่หรือถึงจะสร้างได้…!”
มังกรสีรุ้งตัวหนึ่งเสียงสั่นอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เอ่อ ก่อนหน้านี้ลืมพวกพวกท่านไป ข้าเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว ตอนนั้นข้าตามหาพวกท่านไปทั่วแต่หาไม่เจอ ได้ยินว่าพวกท่านไปโพ้นทะเล ข้าส่งคนไปค้นหาแล้ว น่าเสียดาย…”
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็หยิบม้วนหนังมังกรสีดำสนิทม้วนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ามิติของตัวเอง
“นี่คือม้วนกระดาษพิเศษที่ข้าใช้หนังของตัวเองทำขึ้น ด้านบนบันทึก เวทฝานมิติ เวทมนตร์พิเศษที่ข้าบัญญัติขึ้นเองตอนเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์เอาไว้”
เขาโบกม้วนกระดาษในมือ ทั้งๆ ที่เป็นแค่ม้วนเวทมนตร์ธรรมดาเท่านั้น แต่ตอนที่ม้วนกระดาษเคลื่อนไหวผ่านที่ว่าง มิติรอบๆ ก็เริ่มสั่นสะเทือนและกระเพื่อม พลังน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งกระจายไปรอบๆ
พลังสายนี้ปกคลุมอาณาเขตหลายร้อยเมตรรอบๆ เอาไว้ และแยกเป็นมิติออกมาเดี่ยวๆ ทันที
“นี่คือ…แดนศักดิ์สิทธิ์…!”
มังกรโบราณหลายตัวในหมู่มังกรสีรุ้งอดส่งเสียงอุทานไม่ได้
ลู่เซิ่งพยักหน้า “ข้าใช้หนังตายที่แกะออกมาจากเท้าทำขึ้นมาสองแผ่น มากพอให้พวกท่านใช้กลับเมืองแสงอรุณแล้ว ดังนั้นพวกท่านจึงไม่จำเป็นต้องไปแดนเหนือหรอก ตามข้าไปที่เมืองแสงอรุณเถอะ ข้าได้เตรียมการทุกอย่างไว้ที่นั่นแล้ว!”
ไม่มีมังกรตัวใดตอบ
ฝูงมังกรสีรุ้งกำลังอยู่ในช่วงที่สามัญสำนึกถูกโค่นลงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
มังกรน้อยสีรุ้งที่เพิ่งจากไปได้แค่สิบกว่าปีกลับเลื่อนสู่ระดับตำนาน ทั้งยังทำลายขีดจำกัดทางสายเลือดของมังกรสีรุ้ง โดยเลื่อนจากระดับตำนานขั้นสูงไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์!
นี่เป็นขอบเขตสูงสุดที่สิ่งมีชีวิตบนมิติหลักจะไปถึงได้!
เทพมังกร…
ไม่สิ ตอนเทพมังกรยังเด็กก็ไม่ได้มีความเร็วในการยกระดับที่พิสดารอย่างนี้เหมือนกัน!
การที่เทพมังกรไอก้าไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ตอนมีอายุได้หนึ่งร้อยสามสิบกว่าปี ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว
มังกรอสรพิษเก้าเศียรติสต้าไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ตอนมีอายุได้เจ็ดร้อยกว่าปี ได้รับการขนานนามเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามังกรเก้าเศียรเช่นกัน…
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ลู่เซิ่งได้ทำลายขีดจำกัดทางสายเลือด เลื่อนจากระดับตำนานขั้นสูงไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว!
ฝูงมังกรสีรุ้งรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป เวลาสิบกว่าปีสั้นเกินไปสำหรับพวกเขา สั้นเสียจนไม่ต่างจากเวลางีบหลับ
ความรู้สึกนี้เหมือนกับเด็กทารกคนหนึ่งเพิ่งเกิดมาไม่นาน ก็หักเหล็กเส้นได้ด้วยมือเปล่า ป่นหินก้อนใหญ่ได้ด้วยหน้าอก แข็งแกร่งเสียจนชายฉกรรจ์ธรรมดาหลายสิบคนมิอาจเข้าใกล้
แต่ว่าม้วนกระดาษแดนศักดิ์สิทธิ์มีแต่ระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะใช้งานได้ ถ้าเกิดคนธรรมดาเข้าไป ก็จะถูกพลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทันที
ฝูงมังกรมองกันไปมองกันมา เงียบงันกันเป็นเวลานาน
‘ตอนนี้…ควรทำอย่างไรดี’ ทีอาที่เป็นหัวหน้าเฉพาะกิจจิตใจปั่นป่วน
เดิมทีนางคิดจะบอกลาแล้วจากไป นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยที่บอกลาจะเป็นมังกรทะเลตัวใหญ่ แถมยังอยู่ในระดับที่กินพวกเขาได้ในคำเดียว
ความจริงระดับศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเผ่าอื่นๆ ไม่น้อย กอปรกับปัจจุบันราชินีมังกรเออร์นีไม่อยู่ พลังต่อสู้ที่แท้จริงของฝูงมังกรสีรุ้งจึงอ่อนแอลงไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
“ถ้าหากปิดบังซาดีนกับมังกรแดงได้ พวกเรารั้งอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้…” มังกรโบราณตัวหนึ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
เพียงแต่ว่า มังกรสีรุ้งโตเต็มวัยฝูงหนึ่งต้องพึ่งใบบุญมังกรน้อยที่เพิ่งอายุสิบกว่าขวบตัวหนึ่งหรือ
ทีอากับโคบอยรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอยู่บ้าง
“บางทีอาจมีแต่มังกรสีรุ้งที่เก่งกาจแบบนี้เท่านั้น ถึงจะนำพาพวกเราฝ่าอันตรายและทวงเกียรติยศในวันวานของเรากลับมาได้” มังกรโบราณอีกตัวถอนใจ
หลังจากตกตะลึงกันเสร็จ สายตาที่ฝูงมังกรมองลู่เซิ่งก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ข้าขอเสนอให้ลู่เซิ่งรับตำแหน่งแทนราชินีมังกร บางทีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดต่อพวกเรา” ไคซ่ามังกรเฒ่าที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามังกรสีรุ้ง มังกรบรรพกาลตัวสุดท้าย ส่งเสียงเสนอแนะ
พอพูดประโยคนี้ออกไป มังกรสีรุ้งทั้งหมดพลันนิ่งเงียบ
สภาพน่าอนาถในปัจจุบัน นอกจากไปแดนเหนือ ก็คือหาที่หลบซ่อน ส่วนสถานที่หลบซ่อน ถ้าใช้หอคอยจอมเวทของลู่เซิ่งอำพรางได้ ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หอคอยจอมเวทของจอมเวทระดับศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากตั้งใจอำพรางการซ่อนตัวล่ะก็ ต่อให้เป็นซาดีนก็ไม่แน่ว่าจะหาร่องรอยของพวกเขาเจอ
“นี่เป็นเจตนาแรกที่ข้าอยากจะพูดตอนเจอพวกท่าน” ลู่เซิ่งพยักหน้าเช่นกัน
“พวกเราไม่อยากจะทำให้เจ้าโดนลูกหลงไปด้วย…” โคบอยฝืนข่มกลั้นความต้องการที่จะตอบรับ สุดท้ายก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าลู่เซิ่งจะเป็นความหวังสุดท้ายของเผ่ามังกรสีรุ้งแล้ว ขอแค่รอเขาเติบโตขึ้นอย่างเงียบๆ อนาคตของเผ่ามังกรสีรุ้งถึงจะมีความหวังมากกว่าเดิม
“ไม่เป็นไร แซลลีกับบอร์กที่อยู่กับข้าสบายดี นอกจากนี้ข้ายังมีความสัมพันธ์กับเผ่ามังกรทองไม่เลว อีกทั้งนิกายแสงสว่างก็ให้การดูแลข้าเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ส่งอาวุธกึ่งเทพชิ้นหนึ่งให้ข้าเป็นของขวัญ แต่ข้าไม่ได้ต้องการ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ
……………………………………….