ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 737 สงครามแห่งมิติ (1)
หลังจากลู่เซิ่งออกจากจักรวาลที่ลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ลัทธิที่บ้าคลั่งก็เริ่มพัฒนาและเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าลู่เซิ่งจะจัดสมดุลเอาไว้มากขนาดไหนก่อนจากมา ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าสัตว์กินหญ้าเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นหญ้าที่เพาะปลูกแบบพิเศษ ก็ไม่อาจต้านทานสาวกหญ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนไหว
โดยเฉพาะความสามารถแพร่พันธุ์ส่วนใหญ่ของสัตว์กินหญ้ายังเหนือกว่าสัตว์กินเนื้อ
ดังนั้น ภายใต้ผลการขยายส่วนอย่างยิ่งใหญ่ของเวลา ในที่สุดดาวเคราะห์ที่ลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ก็ล่มสลาย
พืชถูกทำลาย ป่าถูกกินจนสิ้น สาวกนับไม่ถ้วนไม่มีหญ้าให้กิน จึงแทบจนตรอก พวกเขากินหญ้าเป็นกิจวัตร จึงกินของอย่างอื่นไม่ได้
ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด ราชากระต่ายยักษ์นามอาจูมาได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นหญ้า
ในเมื่อไม่มีหญ้าให้กินแล้ว สรรพสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนหญ้าก็กินเป็นอาหารได้เหมือนกัน
ในเวลานี้เอง ลู่เซิ่งจุติลงไปอีกครั้ง เขาคอยจับตามองดาวเคราะห์ดวงนี้มาโดยตลอด บางครั้งที่อยู่ว่างๆ หลังการทดลองก็จะจุติจิตสายหนึ่งลงไปตรวจสอบสถานการณ์ดู
หลังจากพบปรากฏการณ์ที่ดาวเคราะห์กำลังจะล่มสลาย เขาก็ยอมรับแนวคิดใหม่ของลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์
ในเวลานี้เอง เป็นเพราะความเร็วในการไหลของเวลา วิชาที่เขาถ่ายทอดให้กระต่ายเหล่านี้ไว้ใช้ฝึกฝนเลือดลมก็ถูกพวกมันพัฒนาเป็นวิชาฝึกฝนร่างกายอันเหี้ยมหาญที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม
หลังจากลัทธิปกครองดาวเคราะห์ทั้งดวง กระต่ายนับไม่ถ้วนก็ทำลายสายพันธุ์ส่วนใหญ่เกือบสิ้นซาก มีแต่สายพันธุ์ที่มีความสามารถแพร่พันธุ์แข็งแกร่งไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่พอจะฝืนต้านทานพวกมันได้
มนุษย์ หนู และแมลง เป็นสามเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่
ครั้งนี้ลู่เซิ่งลองทดลองดู เขาวางแผนการนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มสร้างลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ตรวจสอบผลลัพธ์เท่านั้น
ลู่เซิ่งซึ่งนั่งอยู่บนศีรษะทีอามีสีหน้าสงบนิ่ง วงแสงสีรุ้งสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลัง กระต่ายยักษ์ผู้เยือกเย็นซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏอยู่ในวงแสง
แม้ครั้งกระโน้นเขาจะสกัดพลังงานทั้งหมดไปแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นประเภทพลังที่ตัวเองเคยครอบครองมาก่อน หนำซ้ำยังมีระดับต่ำกว่าปราณปฐพีหลายขั้น
การจำลองออกมาอีกรอบไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากอันใด
“นี่…นี่มันอะไรกัน!” ทีอาที่เป็นมังกรย่อมมีความสามารถมองเห็นระยะไกล จึงเห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เกิดขึ้นบนเกาะด้านล่างที่ถูกแทรกซึมได้
กระต่ายยักษ์นับไม่ถ้วนพุ่งออกจากลำแสงสีแดง จากนั้นก็ปล้นชิง สังหาร และวางเพลิงไปรอบๆ
เมืองมากกว่าสิบเมืองบนเกาะเกิดเพลิงลุกโหมอย่างรวดเร็ว เมืองที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งตรงกลางถูกกระต่ายจำนวนมากล้อมไว้เป็นชั้นๆ
ทว่าไม่นานนัก เมืองใหญ่เมืองนี้ก็ตกสู่ไฟสงคราม เดิมทีพวกกระต่ายมีพลังกระโดดแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่ทันไรก็กระโดดไปบนกำแพงเมือง และฟาดทหารคุ้มครองเมืองเป็นเนื้อบดอย่างบ้าคลั่ง
พลังของพวกมันไร้สิ้นสุด ทั้งยังมีร่างกายใหญ่โตและพลังป้องกันอันน่าตกตะลึง เทียบได้กับยักษ์ขุนเขา แต่เทียบกับยักษ์แล้ว การเคลื่อนไหวของพวกมันคล่องแคล่วกว่ามาก พลังระเบิดเองก็ยอดเยี่ยมกว่าไม่น้อยเช่นกัน
ลู่เซิ่งก้มลงมอง จอมเวทขั้นสิบกว่ากับผู้เข้มแข็งขั้นทองคำที่เข้าใกล้ระดับตำนานจากกองกำลังที่ร้ายกาจบางส่วนซึ่งพุ่งออกมาจากเมือง ได้สังหารกระต่ายไปไม่น้อย
ทว่าก็ไร้ประโยชน์ กระต่ายมีจำนวนมากมายเหลือเกิน พวกมันปกครองดาวเคราะห์เกือบทั้งดวงด้วยจำนวนพันล้านตัว
หลังจากที่กินทุกสิ่งบนดาวเคราะห์จนหมดสิ้น เผ่ากระต่ายก็ได้รับการอัญเชิญจากหริณพุทธะผู้เป็นบรรพบุรุษ ค้นพบประตูใหญ่ของโลกใบใหม่ นี่เหมือนกับฟางช่วยชีวิตสำหรับเผ่ากระต่าย
เป็นเพราะถ้าหาของกินมาแทนไม่ได้ พวกมันก็ต้องต่อสู้กันภายในและกินกันเอง
และเส้นทางของโลกใบใหม่ก็มาถึงอย่างพอเหมาะพอเจาะ หันเหความขัดแย้งภายในของพวกมันออกไปได้อย่างสมบูรณ์
“ฆ่า! ฮ่าๆๆๆ!” กระต่ายอ้วนที่สูงสิบกว่าเมตรตัวหนึ่งเหยียบพื้นเป็นหลุมลึกพร้อมกับชนใส่กำแพงเมืองอย่างรุนแรง
มันคือ โกแกง แม่ทัพกระต่ายที่ออกมาจากอีกด้านของลำแสง
ในฐานะแม่ทัพที่บัญชาการกองทัพกองหนึ่ง โกแกงมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อนร่วมเผ่าทั่วไป ต่อให้จะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดิมของตัวเอง มันก็เคยปกครองอาณาเขตมากกว่าล้านตารางกิโลเมตรมาก่อน แค่อยู่ในอันดับหนึ่งหมื่นกว่าท่ามกลางกองทัพจำนวนหลายหมื่นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ตูม!
ประตูเมืองสั่นไหว ผงสีดำจำนวนมากร่วงหล่นลงมา
ด้านหลังบานประตูมีจอมพลังสิบกว่าคนคอยค้ำยันประตูเมืองไว้อย่างบ้าคลั่ง ไม่ยอมให้มันถูกกระแทกเปิด
ม้าสีดำสูงใหญ่ตัวหนึ่งรออยู่ด้านหลังเงียบๆ อัศวินบนหลังม้าสวมเกราะดำ และถือดาบโค้งเรียวยาวเรืองแสงสีแดงอ่อนๆ เล่มหนึ่ง
เขาคือเจ้าเมืองแอนดรูว์ อัลฟา เป็นศิษย์ที่ซาดีนซึ่งเป็นกึ่งเทพภาคภูมิใจที่สุด ทั้งยังเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งตัวจริงเสียงจริงที่เข้าใกล้ระดับตำนาน
แม้พลังจะยังไปไม่ถึงระดับตำนาน แต่บนตัวก็มีเกราะแห่งความคลั่งที่อาจารย์มอบให้ สิ่งที่ถืออยู่ในมือคือพายุแห่งทะเลลึกอันเป็นอาวุธกึ่งเทพ บนตัวยังมีเวทเพิ่มพลังหลากหลายบทที่จอมเวทกับบาทหลวงเสกให้
“กล้าบุกรุกอาณาจักรแห่งทะลลึก เจ้าปีศาจเอ๋ย…ข้าจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจเองว่าอะไรคือพลังที่แท้จริง!” แอนดรูว์ดึงเกราะหน้าลง ใช้เกราะแข็งแกร่งที่หนาหนักห่อหุ้มร่าง
ตูม!
เสียงดังสนั่นลอยมาจากประตูเมืองอีกรอบ
จอมพลังสิบกว่าคนเลือดออกหู มีครึ่งหนึ่งล้มลงกับพื้น ไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อนอีกต่อไป
ตูม!
การกระแทกครั้งที่สาม
กร๊อบ!
กลางประตูเมืองทะลุเป็นรูรูหนึ่ง แขนหยาบใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนสีขาวข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง
“ฮ่าๆๆๆๆ! เจ้าพวกแมลงอ่อนแอ! ต่อต้านไปก็ไร้ความหมาย! จงยอมสยบเสีย! สยบต่อความยิ่งใหญ่และความเจิดจรัสของหริณพุทธะ!”
ตูม!
ประตูเมืองระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กระต่ายขนาดใหญ่โตมโหฬารพุ่งทะลวงเข้ามา แล้วกระโจนใส่แอนดรูว์ที่ยืนอยู่ตรงปากประตูทันที
“ไปตายซะ! ไอ้ตัวกลายพันธุ์!” แอนดรูว์ตะโกนพร้อมทั้งเงื้อดาบโค้งขึ้นและพุ่งเข้าไป
พอสัมผัสได้ถึงการคุกคามอันรุนแรง ดวงตาของกระต่ายโกแกงก็วาววับสีแดงคลั่งขึ้นมาเช่นกัน
“จงสัมผัสความเมตตาของหริณพุทธะเถอะ! ฮ่าๆๆๆ!” มันชูสองแขนขึ้น ลวดลายประหลาดสีแดงเลือดสว่างขึ้นทั่วร่าง ร่างกายที่เดิมทีใหญ่โตถึงกับขยายใหญ่ขึ้นอีกด้วยผลของลวดลายนี้ แทบจะเป็นสองเท่าของขนาดร่างเดิม
เงาขนาดยักษ์ของโกแกงปกคลุมร่างของแอนดรูว์ แต่เขาไม่เกรงกลัว เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้ ถ้าแม้แต่เขายังกลัวหัวหด เมืองนี้คงจบสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
เขากับม้าถูกปกคลุมอยู่ในเงามืด แต่แอนดรูว์ยังคงชูดาบโค้งขึ้นสูง
“ทะเลลึก…จงเจริญ!”
เขาพุ่งเข้าหาเงามืดขนาดยักษ์กลุ่มนั้น จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่น เป็นการเติมเครื่องหมายไม่รู้จบให้แก่สงครามครั้งนี้
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ทีอางุนงง
“แล้วพวกข้างล่าง…ไม่ไปดูพวกมันหน่อยหรือ” นางงงงันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากระต่ายวิปริตที่น่ากลัวเหล่านี้เป็นสัตว์อัญเชิญของลู่เซิ่ง พวกมันมีจำนวนมหาศาลเหมือนกับทัพภูตผี อย่างน้อยมีมากกว่าหลายหมื่น
“ไม่ต้องสนใจหรอก” ลู่เซิ่งตอบอย่างเฉยชา
“ก็ได้” ทีอาเองก็ไม่รบเร้าต่อ อย่างไรสัตว์อัญเชิญก็มีเวลาจำกัด เมื่อถึงเวลาก็จะถูกมิติหลักส่งกลับเอง
นางไม่ถามอะไรต่ออีก นำพาลู่เซิ่งกลับเมือง
แต่นางไม่รู้เลยว่าลู่เซิ่งปล่อยสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งแบบไหนออกมา กระต่ายจำนวนมากกว่าพันล้านตัวของลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์จะมอบผลกระทบอะไรให้แก่โลก ไม่มีใครทราบได้ หนำซ้ำยังไม่มีขีดจำกัดเวลาอัญเชิญอะไรเลยด้วย…
ทว่าตอนนี้ลู่เซิ่งไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าพลังไร้รูปร่างที่แข็งแกร่งสุดขีดสายหนึ่งกำลังทะลักเข้ามาในจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง
จิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับถูกเป่าลมใส่
ลู่เซิ่งแยกแยะได้จากความรู้ในคุณสมบัติเทพ เกรงว่านี่จะเป็นพลังศรัทธาที่มาจากลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์
พลังแห่งศรัทธามีความคล้ายพลังอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงเหมือนพลังอาวรณ์ มันเหมือนกับพลังงานระดับต่ำของพลังอาวรณ์มากกว่า มีอะไรไม่รู้อยู่เต็มไปหมด ทั้งยังมีสิ่งเจือปนแทรกอยู่มากมาย
แต่เทียบกับพลังงานชนิดอื่นแล้ว พลังงานชนิดนี้มีความแข็งแกร่งและบริสุทธิ์กว่ามาก จิตวิญญาณของลู่เซิ่งดูดซับเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองได้อย่างสบายๆ
ระหว่างทาง ลู่เซิ่งที่กำลังมุ่งหน้ากลับนึกถึงสภาพของโกแกงแม่ทัพกระต่ายที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้า ลวดลายสีแดงเลือดชนิดนั้นน่าจะเป็นรอยสักที่มนุษย์ใช้บนดาวเคราะห์ที่ลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่
ตอนนั้นก่อนเขาจะจากมา เพียงแค่ได้ยินถึงเรื่องรอยสักเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าการพัฒนาของเผ่ากระต่ายจะนำรอยสักเข้ามาในระบบการฝึกฝนของตัวเองแล้ว
มิน่าพวกมันถึงได้พัฒนาเร็วจนน่าตกตะลึงแบบนี้
ความจริงมาถึงตอนนี้ แม้แต่ลู่เซิ่งก็ไม่รู้อีกแล้วว่า ลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์จะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ถึงขนาดไหน
ระบบพลังของพวกมันได้อยู่เหนือความคาดหมายและการประเมินของเขาไปแล้ว
จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ปรากฏในวังวนสายนั้นตอนอัญเชิญเผ่ากระต่ายก็คืออาจูมา ราชาแห่งหมื่นกระต่ายในปัจจุบัน
แค่สัมผัสด้วยอย่างง่ายๆ เป็นระยะเวลาสั้นๆ ลู่เซิ่งก็สัมผัสพลังอันแข็งแกร่งของอาจูมาที่เทียบกับเทพที่แท้จริงได้แล้ว
น่าเหลือเชื่อโดยแท้!
แต่พอใคร่ครวญดูก็พบว่าไม่ได้เลยเถิดเกินไป ความเร็วของเวลาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กอปรกับการถ่ายทอดความสามารถอันน่าตกตะลึงของพวกกระต่าย เมื่อสะสมความศรัทธานับไม่ถ้วนเอาไว้ ต่อให้สิ่งที่ศรัทธาเป็นหลักจะเป็นหริณพุทธะ ราชากระต่ายเพียงแค่ติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่ก็มากพอจะสร้างการปรากฏตัวของเทพแท้จริงที่ร้ายกาจได้แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเทพระดับล่างผู้เรียบง่าย และเป็นเพราะเวลาสั้นเกินไป ทำให้มีพลังเทพไม่เท่าไหร่ แต่ก็สร้างความตกใจให้แก่ลู่เซิ่งได้แล้ว
และตอนนี้ แหล่งกำเนิดที่ทำให้ราชากระต่ายตัวนี้แข็งแกร่งก็มาอยู่บนตัวลู่เซิ่งแล้ว
พลังแห่งศรัทธาอันมหาศาลที่ไม่ทราบว่าสะสมมาเนิ่นนานเพียงใด ทะลักออกมาจากลำแสงวังวนก่อนจะหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณในกายเขาอย่างบ้าคลั่ง
จิตวิญญาณขยายตัวอย่างรุนแรง ทำให้โลกรูปจิตขยายใหญ่ตามไปด้วย
พลังแห่งศรัทธาที่แทบเทียบเท่ากับผลรวมพลังเทพของเทพระดับกลางสายนี้ ทะลักเข้าสู่ร่างของลู่เซิ่งในเวลาสั้นๆ นี่เป็นสาเหตุหลักที่เขาต้องรีบกลับไป
เขาต้องใช้เวลาย่อยสลายพลังงานสายนี้
ถ้าหากย่อยไม่ทัน เขาอาจจะถูกเหล่าสาวกพันธนาการดูดซับพลังแห่งศรัทธาไว้ที่จักรวาลกระต่ายและไม่อาจกลับมาได้อีก
เนื่องจากว่าพลังแห่งศรัทธาที่บริสุทธิ์จะลากเขาไปยังจักรวาลกระต่ายเหมือนกับเส้นด้ายแห่งศรัทธาจำนวนเหลือคณานับ
ระหว่างทางขากลับ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจบ้างแล้วว่า เหตุใดพลังอาวรณ์ถึงต้องอยู่ในลักษณะนั้น
เป็นเพราะข้อแตกต่างระหว่างพลังอาวรณ์กับพลังแห่งศรัทธามากที่สุดอยู่ตรงที่พลังอาวรณ์เป็นการรวมตัวของพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ซึ่งพวกวิญญาณปล่อยออกมาตามธรรมชาติแล้วตกค้างอยู่ด้านนอก
ส่วนพลังแห่งศรัทธามีคำวิงวอนกับความปรารถนาจำนวนมากของเหล่าวิญญาณเกาะติดอยู่
ความคิดและความปรารถนาเหล่านี้เหมือนกับโซ่ตรวนและเส้นด้ายที่จะผูกมัดเทพเอาไว้
“เมื่อครู่นี้คือรังของซาดีนใช่ไหม” อยู่ๆ ทีอาก็ถามขึ้นระหว่างทาง
“อื้อ” ลู่เซิ่งยืนยัน
ทีอาไม่พูดอะไรอีก นางจำได้ว่าตัวเองเคยเห็นลู่เซิ่งมีหลอดทดลองที่เหมือนหลอดเมื่อครู่อย่างน้อยอีกสองแท่งอยู่ในมือ
ถ้าหลอดทดลองทุกแท่งมีผลอย่างเดียวกับหลอดเมื่อครู่ล่ะก็..
ลู่เซิ่งย่อมมีน้ำยาพิธีกรรมที่เชื่อมกับโลกใบอื่นอีกอยู่จริง แต่ทว่าเขาไม่คิดจะใช้มันแล้ว
……………………………………….