ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 739 สงครามแห่งมิติ (3)
นี่คือการสร้างความวุ่นวาย!’
ลู่เซิ่งรู้แก่ใจดี
การเปิดทางเชื่อมจักรวาลเช่นนี้ นอกจากผู้เข้มแข็งมารสวรรค์อย่างเขาแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางทำได้
ต่อให้จะเป็นมารสวรรค์ตนอื่นจุติลงมา ก็ไม่มีทางเปิดเส้นทางระหว่างจักรวาลได้
มารสวรรค์มีมากมาย แต่ระดับมายาพิศวงกลับมีน้อยมากๆ ส่วนมายาพิศวงที่ยินยอมเปิดทางเชื่อมก็มีน้อยยิ่งกว่า เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ว่าลู่เซิ่งแตกต่างออกไป
เผ่ากระต่ายหลายพันล้านตัวทะลักทะลายเอ่อล้นออกมาจากเส้นทาง พวกมันกินพืชพรรณและป่าไม้ไปทั่ว กินทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงสาวกนอกรีต
สำหรับลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ คนที่ไม่เชื่อหริณพุทธะล้วนเป็นสาวกนอกรีต
ด้านในวังใต้ดิน เทพทั้งสี่องค์พากันล่าถอยไปแล้ว พวกเขาได้หุบอาณาจักรเทพของตนเข้ามาใกล้มิติหลักเรียบร้อย
อาศัยระดับวงแหวนเวทของลู่เซิ่ง อาณาจักรเทพทั้งสี่ต่างสร้างจุดเชื่อมต่อกับมิติหลักโดยตรง
แม้แต่เส้นทางจักรวาลยังเปิดได้ นับประสาอะไรกับอาณาจักรเทพแค่ไม่กี่อาณาจักร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเทพเหล่านี้ที่ยังยินยอมพร้อมใจอีกต่างหาก
เขาเข้าใจความคิดของเทพระดับล่างสี่องค์นี้เป็นอย่างดี พวกเขาพอใจจำนวนประชากรที่มหาศาลของเผ่ากระต่าย อยากจะใช้สิ่งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งศรัทธาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แล้วปีนป่ายไปยังจุดที่อยู่สูงขึ้นไปอีก
แต่เขาไม่สนใจ
จุดแสงนับไม่ถ้วนในวังใต้ดินสะท้อนจอภาพกึ่งโปร่งแสงทรงรีมากมายออกมา บนจอแสดงภาพการบุกรุกของเผ่ากระต่ายจากทั่วทุกที่บนมิติหลัก
เมืองนับไม่ถ้วนตกสู่ไฟสงคราม สายพันธุ์นับไม่ถ้วนถูกกระต่ายเอาชนะและจับเป็นทาส
‘อลังการจริงๆ…’ สิ่งที่ไอนี ฟิสเห็นตอนเดินเข้าวังใต้ดินคือภาพนี้
จอภาพมากมายวนเวียนอยู่รอบลู่เซิ่งที่อยู่ตรงกลาง จอภาพทุกจอแสดงภาพสงครามทั้งสิ้น
หลังจากเขารู้ว่านายท่านเป็นผู้อัญเชิญเผ่ากระต่ายออกมา ก็ยำเกรงลู่เซิ่งยิ่งกว่าเดิม
อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสติปัญญา ถ้าหากยังอยู่ในสมัยที่จิตใจยังปั่นป่วน บางทีเขาอาจไม่เกรงกลัว
ทว่าตอนนี้เขาที่ได้แยกความคิดโกลาหลออกไปแล้ว ย่อมมีธรรมชาติทุกอย่างของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
“นายท่าน เผ่ามังกรทองเปิดศึกกับเผ่ามังกรนิลสุดกำลังแล้ว คุณหนูได้แอบออกเดินทางไปยังถ้ำมังกรทองเพื่อใช้สายเลือดกระตุ้นมรดกสืบทอดแล้ว” ไอนี ฟิสรายงานเสียงแผ่วต่ำ
“ถ้ำมังกรทอง…” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย บางทีในถ้ำนี้คงจะมีสมบัติทั้งหมดของเผ่ามังกรทองอยู่ด้วย
แต่ว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดบนโลกใบนี้คือคุณสมบัติเทพกับลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ นี่คือทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ใช้ยกระดับพลังของเขาได้โดยตรง
ถัดมาคือพลังอาวรณ์ และอย่างสุดท้ายคือการตอบสนองผลกรรม
สิ่งที่ถ้ำมังกรทองจะต้องมีแน่นอนคือพลังอาวรณ์ แต่ไม่น่าจะเยอะมาก เขากำลังพิจารณาอยู่ว่ามีค่าพอให้เข้าร่วมหรือไม่
“ความตั้งใจของนายท่านคือ…?” ไอนี ฟิสถามอย่างเคารพ ท่าทีของลู่เซิ่งจะตัดสินมาตรการที่เงามารจะใช้กับเผ่ามังกรทอง
“ส่งคนสองคนในองค์กรเทพของพวกเจ้าไปจัดการ” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ลู่เซิ่งก็ละทิ้งความคิดไปหาเผ่ามังกรทอง “ระวังอย่าทำให้วัตถุโบราณที่มีอายุเสียหาย ข้าไม่อยากให้สมบัติที่มีตราประทับทางประวัติศาสตร์เสียหายในการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย”
ไอนี ฟิสพยักหน้าอย่างเคารพ
แม้จะไม่เข้าใจในคำสั่งของลู่เซิ่งอยู่บ้าง แต่เขายังคงปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
องค์กรเทพคือองค์กรย่อยที่รวมเทพและอสูรมาอยู่ด้วยกัน
“นอกจากนี้ คนที่ไปรับตัวเบเฟอกากลับมาหรือยัง” ลู่เซิ่งถามอีก
เบเฟอกาแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นอสูรที่มีพลังน่ากลัวที่สุดในมิติไร้สิ้นสุด
หลังจากต่อสู้กับเทพแห่งสงครามจากระบบเทพแสงสว่าง เทพสงครามก็ตกตาย ส่วนมันได้รับบาดเจ็บหนักและร่วงหล่นสู่พิภพดารา
พี่น้องอสูรตนหนึ่งที่เพิ่งรับเป็นพวกได้ไม่นานบอกว่ารู้ที่อยู่ของมัน ดังนั้นลู่เซิ่งเลยส่งมันไปรับอีกฝ่ายเข้าเป็นพวก
“มีการตอบกลับแล้วขอรับ” ไอนี ฟิสตอบ “ท่านเองก็ทราบ แม้พวกเราเหล่าอสูรจะมีความสามารถต้านทานแรงดึงดูดของพิภพดาราดีกว่า แต่สถานที่แห่งนั้นก็ใหญ่เกินไป คิดจะหาให้เจอในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“เอาตามนั้น เจ้าไปเถอะ แล้วให้หัวหน้ากลุ่มของกลุ่มศักดิ์สิทธิ์เข้ามา”
“ขอรับ…” ไอนี ฟิสล่าถอยไปอย่างช้าๆ
นับตั้งแต่กลับจากทะเลตะวันตก แสนยานุภาพของลู่เซิ่งก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ตัวเขาต้านทานไม่ไหวบ้างแล้ว
เขาคืออสูร หนำซ้ำยังเป็นผู้เข้มแข็งท่ามกลางอสูรทั้งหลาย มีพลังเทียบเท่ากับเทพที่แท้จริง แต่ยังมีแสนยานุภาพที่ทำให้เขาต้านทานไม่ไหวได้ ระดับของนายท่านนั้น…
ไอนีไม่กล้าคิดมาก
หลังอสูรเดินจากไปแล้ว ในวังใต้ดินก็เงียบลงอีกครั้ง
ลู่เซิ่งมองฉากการต่อสู้ในจอภาพที่อยู่รอบๆ พร้อมกับสัมผัสพลังแห่งศรัทธาจากเผ่ากระต่ายหลายพันล้านตัว
พลังแห่งศรัทธาที่ยิ่งใหญ่กำลังรวมตัวกลายเป็นวุ้นภายในวังใต้ดินแห่งนี้อยู่
‘ตอนนี้เรารวมพลังศรัทธา จุดไฟอัคคี และสำเร็จเป็นกึ่งเทพได้ จากนั้นถ้าใช้ประโยชน์จากลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมไว้ก็จะรวมคุณสมบัติเทพเข้าด้วยกันแล้วสำเร็จเป็นเทพที่แท้จริงได้…น่าเสียดายที่แม้การทำแบบนี้จะทำให้พลังเพิ่มขึ้นได้จริงๆ แต่ร่างหลักของเราก็ต้องถูกผูกมัดอยู่บนโลกใบนี้ไปด้วย’
ลู่เซิ่งเสียดาย แต่สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แต่ต้นแล้ว
‘อสูรเป็นขุมกำลังที่เราต้องพาออกไปจากโลกใบนี้ พวกมันเป็นศัตรูของพลังเทพ จึงไม่อาจสร้างคุณสมบัติเทพได้ ดูเหมือนได้แต่สนับสนุนเทพที่เราควบคุมตัวไว้แล้ว…’
ลู่เซิ่งคิดคำนวณในใจ
เขาอยากจะสร้างขุมกำลังร้ายกาจในระยะยาว ขุมกำลังนี้จะต้องติดตามเขาบุกทะลวงไปยังโลกอื่นๆ ได้ตลอดเวลา แต่เขายังไม่คิดจะให้พวกมันสัมผัสกับโลกมารสวรรค์
นอกเสียจาก เขาจะลงหลักปักฐานบนโลกมารสวรรค์ได้อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นเขาก็วางแผนทำให้เงามารกลายเป็นผู้ติดตามไปยังมิติอื่น
…
เผ่ากระต่ายกลายพันธุ์บุกเข้ามิติหลัก เริ่มต้นที่ทะเลตะวันตก ที่นั่นคืออาณาเขตของระบบเทพสมุทร ระบบเทพอื่นๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญ
แต่ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบความผิดปกติ
ในเวลาไม่กี่วัน สถานที่หลายร้อยแห่งบนมิติหลักก็ปรากฏจุดเชื่อมมิติจำนวนมากพร้อมกัน
เผ่ากระต่ายที่กรูออกมาจากทุกที่ต่างก็มีจำนวนหลายหมื่น ที่น่าหวาดผวายิ่งกว่าก็คือ กระต่ายพวกนี้ต่างก็แข็งแกร่ง แถมยังเพิ่มจำนวนขึ้นตลอดเวลา
ผู้ที่พ่ายแพ้เป็นอันดับแรกคือระบบเทพสมุทรกับระบบเทพน้ำแข็ง ศาสนจักรของระบบเทพทั้งสองมีอยู่ห้าแห่ง และทุกแห่งก็ตกสู่ไฟสงครามอันโหดเหี้ยม
กองทัพมากมายถูกตีแตก ส่วนทางเผ่ากระต่ายมีบาดเจ็บแค่ส่วนน้อย กล้ามเนื้อและพลังฟื้นฟูของพวกเขาพิสดารเกินไปจริงๆ ถ้าไม่ตัดหัวพวกมันลงมา กระต่ายน่ากลัวพวกนี้ก็ไม่มีทางหยุดอาวุธในมือ
กองทัพต้านทานไม่ไหว ในที่สุดทางนิกายก็ออกโรง
จอมเวทนักรบระดับสูงจำนวนมากตั้งทัพดักโจมตีกองทัพกระต่ายจากระยะไกลด้วยการอำพรางของหอคอยเวท พลังต่อสู้ระดับสูงที่ระเบิดอย่างฉับพลันทำให้เผ่ากระต่ายรับมือไม่ทันจริงๆ
แต่ไม่นานพวกเขาก็ตอบโต้กลับ เผ่าหนูและเผ่าแมลงอันเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่กรูกันออกมาจากเส้นทางข้ามมิติอีกครั้ง
เผ่าหนูและเผ่าแมลงที่มืดฟ้ามัวดินประสานกับเผ่ากระตายที่เหมือนกับรถถัง ซุ่มโจมตีทั้งทางบก ทะเล ใต้ดิน และบนฟ้า
พวกมันใช้เวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ ก็ทำลายนิกายไปสามแห่งและหน่วยใหญ่ของเทพระดับล่างอีกสามองค์ที่อยู่บนมิติหลักได้
เหล่าอาร์คบิชอปและสันตะปาปาในระดับตำนานถูกสุดยอดผู้เข้มแข็งของเผ่ากระต่าย หนู และแมลงกลุ้มรุม จนลงมือสนับสนุนไม่ทัน
เลือดลมที่เต็มเปี่ยมจนน่าสะพรึงรวมถึงรอยสักที่ซับซ้อนเหี้ยมหาญของผู้เข้มแข็งสามเผ่าทำให้พวกเขามีพลังต้านเวทที่แข็งแกร่งสุดจะเปรียบปาน ทั้งยังมีภูมิคุ้มกันพื้นฐานต่อเวทมนตร์ทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้า และต่อให้จะโจมตีด้วยเวทมนตร์มากกว่าขั้นห้า อานุภาพของเวทมนตร์ก็จะถูกลดทอนลงไปหกส่วน
สันตะปาปากับอาร์คบิชอประดับตำนาน ต้านทานไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็พ่ายแพ้ไป
ถ้าไม่ใช่เพราะสุดท้ายพวกสันตะปาปาใช้ชีวิตเป็นค่าตอบแทน อัญเชิญเทพให้ฉายภาพแปลงร่างจุติลงมา เกรงว่าศาสนจักรจะถูกทำลายในเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ไปแล้ว
การบุกโจมตีของทั้งสามเผ่าทำให้เทพจากระบบเทพอื่นๆ ที่ไม่ใช่ระบบเทพแสงสว่างและเงาต่างหวาดหวั่นสะพรึงกลัว
ถึงแม้พวกเขาจะพยายามสังหารกระต่ายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีคนคำนวณว่ากระต่ายที่ตายจนถึงตอนนี้มีอย่างน้อยหลายล้านตัว โดยเฉพาะพลังทำลายล้างที่จอมเวทระดับตำนาน ผู้เข้มแข็งระดับศักดิ์สิทธิ์ และร่างแปลงของเทพสร้างขึ้นนั้นยังคงน่ากลัว สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนหลายหมื่นได้ในเวลาไม่นาน ทว่าก็ไม่มีประโยชน์ เหล่ากระต่ายมีแทบไม่หมดไม่สิ้น
สัปดาห์ที่สอง ภาพฉายร่างแปลงของเทพระดับล่างก็ถูกรุมสกรัมจนแหลกลาญเพราะพลังเทพหมดสิ้น สามนิกายล่มสลายโดยสมบูรณ์
สัปดาห์ที่สาม เทพระดับกลางสี่องค์แห่งระบบเทพสมุทรจุติลงมา และใช้ร่างนักบุญเข่นฆ่ากระต่ายที่อยู่รอบๆ หัวหน้าทัพระดับสุดยอดจำนวนหกร้อยกว่านายของเผ่ากระต่ายบุกโจมตี โดยร่วมมือกับเหล่าอสูรที่ลู่เซิ่งส่งออกมา ทำการกลุ้มรุมและลอบโจมตีจนสังหารนักบุญทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
เทพระดับกลางสี่องค์แห่งระบบเทพสมุทรทำลายคุณสมบัติเทพของตัวเอง อัคคีเทพมอดดับ เข้าสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์
ลู่เซิ่งเก็บลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หลายร้อยจุด อาวุธเทพที่เสียหายสิบกว่าชิ้นและคุณสมบัติเทพชำรุดอีกสองสามก้อน
สัปดาห์ที่สี่ ศาสนจักรใหญ่ของระบบเทพน้ำแข็งถูกล้อมจนต้องใช้พลังเหมันต์สัมบูรณ์ด้วยความจนปัญญา ระดับศักดิ์สิทธิ์สามคนกับภาพฉายของเทพสี่องค์ใช้พลังทั้งหมดในการปลดปล่อยเวทมนตร์ทำลายล้างเหมันต์สัมบูรณ์หรือประกายสัมบูรณ์แช่แข็ง
เวทมนตร์แช่แข็งอาณาเขตรอบๆ ในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรในชั่วพริบตา ใช้พลังธาตุน้ำและน้ำแข็งจนหมดสิ้น ข่ายเวทในอาณาเขตพังทลายลงเพราะถูกดึงไปใช้มากเกินไป
พลังแห่งธาตุที่ยิ่งใหญ่เปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นแดนน้ำแข็งมรณะ เวทมนตร์ที่อยู่เหนือกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปทะลวงคุณสมบัติต้านเวท ในที่สุดก็สะกดการรุกรานของทัพสามเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้
สงครามจึงสงบลงชั่วคราว
มิติหลักหนึ่งในสามส่วนตกสู่ใต้อาณัติของสามเผ่าพันธุ์ โดยมีอาณาเขตประกายสัมบูรณ์แช่แข็งเป็นเขตแบ่ง
ที่ทางเหนือของเขตประกายสัมบูรณ์ ขุมกำลังที่หลงเหลืออยู่ของสองระบบเทพเบียดเสียดกันอยู่บนเขตเล็กแคบที่มีพื้นที่ไม่กี่พันตารางกิโลเมตร เป็นเพราะหากขึ้นไปอีกจะเป็นเขตนิกายของระบบเทพแสงสว่างกับเงาแล้ว
ทางใต้ของเขตประกายสัมบูรณ์คืออาณาเขตใหญ่ที่สามเผ่าพันธุ์ยึดครอง
ระบบเทพน้ำแข็งกับระบบเทพสมุทรถอยร่นสุดกำลัง เทพองค์หลักราห์และเบอรอนคิดจะฉายภาพจุติ แต่ก็โดนการรบกวนจากอะไรบางอย่างจนล้มเหลว
ส่วนเทพองค์อื่นๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ร่างนักบุญของเทพหลายองค์ถูกโจมตีจนตาย ก็ไม่มีใครกล้าจุติลงไปตามใจอีก อย่างมากก็แค่ใช้พลังเทพสร้างภาพฉายขึ้นเท่านั้น
แต่พลังเทพที่ต้องใช้ในการการสร้างภาพฉายร่างแปลงนั้นมหาศาลถึงขีดสุด เทพระดับล่างทั่วไปสร้างภาพฉายร่างแปลงได้แค่ไม่กี่ร่าง เทพระดับกลางอาจจะมากหน่อย สิบร่างยังสบายๆ แต่ก็ผลาญพลังเทพที่พวกเขาสั่งสมมาหลายปีเป็นค่าตอบแทน
ไม่มีใครยินยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม นอกจากนี้สาวกยังบาดเจ็บล้มตาย อาศัยพลังเทพสำรองยังไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดพลังเทพหมดเกลี้ยงเมื่อไหร่ และไม่มีสาวกมอบให้ อย่างนั้นพวกเขาจะถูกอัคคีเทพเผาเป็นจุณและหลับใหลไปชั่ว นิรันดร์ทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยอยู่จริงๆ ก็คือ เหล่าเทพองค์หลักหรือเทพระดับบนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ระบบเทพสองสายมีเทพระดับบนแค่สององค์ แบ่งเป็นราห์กับเบอรอน แต่ว่าสององค์นี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย
สิ่งที่น่ากังวลก็คือ กระต่ายพวกนี้ไม่ได้ฆ่ามนุษย์ตามใจชอบ หากแต่รวบรวมพวกเขาไว้ด้วยกัน แล้วเริ่มเผยแผ่ความเมตตาเสียสละของหริณพุทธะผู้ยิ่งใหญ่
นอกจากนี้ยังสั่งให้พวกเขาเริ่มหว่านเมล็ดหญ้าจำนวนมาก
หลังจากเหล่าผู้อยู่อาศัยซึ่งสิ้นหวังอยู่ในเขตที่ถูกทิ้งส่วนหนึ่งต่อต้านแต่ไม่ประสบผล ก็พบว่าพวกกระต่ายไม่คิดฆ่าพวกตน
ขอแค่พวกเขาไม่ขัดขืน ก็จะไม่เจอความยุ่งยากใดๆ ตรงกันข้าม ขอแค่พวกเขาเข้าร่วมลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังจะได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มองครักษ์เพิ่มอีกต่างหาก
……………………………………….