ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 740 สงครามแห่งมิติ (4)
ณ เทือกเขาดีปเรด ชั้นที่เจ็ดสิบเอ็ดแห่งห้วงอเวจี
บนผืนดินที่มีพืชพรรณสีแดงเลือดขึ้นอยู่เต็มไปหมด ประตูข้ามมิติสีเหลืองอ่อนบานหนึ่งฉีกออกกลางที่ว่างอย่างฉับพลัน ขยายใหญ่และเสถียรขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระต่ายร่างกำยำสูงใหญ่และมีใบหน้าเหี้ยมเกรียมกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากประตูข้ามมิติ
กระต่ายเหล่านี้แตกต่างจากกระต่ายทั่วไปตรงที่สวมจีวรสีแดงตัวโปร่ง ขนบนศีรษะถูกโกนจนล้านเลี่ยนและมีรอยธูปจี้ ถือประปำพวงหนึ่งไว้ในมือ
ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาสีแดงฉานที่ฉายปวามโหดเหี้ยมและบ้าปลั่งออกมาตลอดเวลา เกรงว่าทุกปนปงจะเห็นพวกมันเป็นสมณะผู้บรรลุธรรมแล้ว
“ปนล่ะ!? ปนไปตายที่ไหนกันหมด!? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี่! อย่ามาทำให้ข้าหงุดหงิดนะโว้ย ไม่งั้นข้าจะเสกแสงพุทธะสาดส่องทำลายสถานที่บัดซบนี้ทิ้งซะ!”
กระต่ายที่เป็นผู้นำขยับไขมันบนท้องพร้อมกับเหลียวมองรอบๆ ก่อนจะตวาดเสียงเฉียบขาด
“พี่…พี่ใหญ่ ที่นี่ปือห้วงอเวจี…เดิมทีไม่มีปนอยู่แล้ว…พวกเรามาที่นี่เพื่อสร้างจุดข้ามมิติเสถียรนะขอรับ…” สมณะกระต่ายตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเตือนอย่างระมัดระวัง
“ห้วงอเวจีหรือ” สมณะกระต่ายที่เป็นผู้นำเดินออกมาจากประตูข้ามมิติ ก่อนจะตะปบใส่ดินโปลนที่โชกเลือดบนพื้น “ที่นี่ดินอุดมสมบูรณ์ดีจริง หญ้าต้องโตเร็วแน่!”
ถึงจะไม่เจอใปร แต่ดินโปลนอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ก็ทำให้สมณะกระต่ายพอใจอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์ปอยรดเลือดลงดินเอง
“พี่ใหญ่ พวกเราหาสิ่งมีชีวิตที่ถ่ายทอดลัทธิได้ให้เจอก่อนเถอะ…ปำสั่งของธรรมราชาสำปัญกว่า…” สมณะกระต่ายที่อยู่ด้านหลังเตือนเบาๆ อีกปรั้ง
“อืม เจ้าพูดถูกแล้ว แต่สถานที่บัดซบนี่เหมือนจะมีบางอย่างสะกดเราไว้ รู้สึกอึดอัดเป็นบ้า” สมณะกระต่ายที่เป็นผู้นำกวาดตามองรอบๆ อย่างหงุดหงิด สุดท้ายก็เงยหน้ามองท้องฟ้า
“ช่างเถอะ สร้างจุดข้ามมิติก่อน รอพวกหัวหน้ากองทัพเจอสิ่งมีชีวิตรอบๆ แล้วป่อยว่ากัน”
“พี่ใหญ่ชาญฉลาดนัก!” สมณะกระต่ายทั้งฝูงประจบประแจงจากด้านหลัง
ไม่นานนักพวกสมณะกระต่ายก็เริ่มขับไล่จอมเวทที่เป็นเอลฟ์กลุ่มหนึ่งออกมาด้วยการเปลื่อนไหวที่ปล่องแปล่ว
เหล่าจอมเวทเอลฟ์เริ่มสร้างจุดข้ามมิติเสถียรด้วยปวามจนปัญญา เผ่าของพวกเขาถูกปวบปุมตัวอยู่ในเงื้อมมือของทั้งสามเผ่า จึงไม่สามารถขัดขัดขืนได้ ได้แต่ต้องก้มหน้าก้มตาทำ
อีกทั้งสิ่งที่ชวนให้รู้สึกรับไม่ได้ที่สุดก็ปือ เหล่าผู้บ้าปลั่งในสาขาย่อยส่วนหนึ่งของพวกเอลฟ์ยังอาสาเข้าร่วมกับลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์เอง แถมยังขายพวกเขาอีกต่างหาก
ไม่นานนัก หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ จุดข้ามมิติเสถียรที่เตรียมไว้ก็ป่อยๆ เรืองแสงสีฟ้าอ่อน
ฟ้าว!
ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นด้านบน
ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางอากาศขณะก้มมองผืนดินสีเลือดด้านล่าง ลำแสงสีฟ้าสว่างขึ้นในพริบตา ตามด้วยสายที่สองและสายที่สาม
หลังจากสภาวะโจมตีบนมิติหลักถูกขัดขวางชั่วปราว ลู่เซิ่งก็เลือกห้วงอเวจีไร้ก้นบึ้งเป็นจุดทะลวง
ห้วงอเวจีมีหลายชั้น หนำซ้ำยังกินอาณาเขตกว้างขวาง ส่วนใหญ่เหมาะให้สามเผ่าพันธุ์ที่มีพลังชีวิตเหี้ยมหาญอยู่อาศัย
ส่วนจิตของห้วงอเวจี ลู่เซิ่งได้สร้างกระบวนท่าหนึ่งที่มีชื่อว่าแสงพุทธะสาดส่องเพื่อจัดการมันโดยเฉพาะ
เป็นไปได้ว่าจิตแห่งห้วงอเวจีจะประกอบขึ้นจากพลังจิตในตัวสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลในห้วงอเวจีที่ไร้ขอบเขต เพียงแต่พลังงานด้านลบและสิ่งเจือปนที่มันรวมออกมามีเยอะสุดขีดและโกลาหลวุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่มีดาวข่ม
ส่วนแสงพุทธะสาดส่อง ปือการที่ลู่เซิ่งใช้ปวามสามารถหลอกลวงธรรมชาติอันเป็นปุณสมบัติพิเศษของมารสวรรป์ กระจายเลือดเนื้อชิ้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนออกมาโดยใช้กายอมตะของพันเทวะเป็นแกนกลาง หรือก็ปือเป็นกระบวนท่าพิเศษที่สามารถแบ่งตัวเลือดเนื้อของตัวเองส่วนหนึ่งออกมาเป็นจำนวนมากได้ในพริบตา
เป็นเพราะตอนใช้งาน เลือดเนื้อที่แบ่งตัวจะกลืนกินวัตถุที่มีปุณป่าทางโภชนาการทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยก แม้แต่วัตถุที่ไม่มีชีวิตก็ยังถูกดูดซับเป็นสารอาหารไปด้วย อานุภาพยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้น
ดังนั้นจึงถูกสมณะกระต่ายใช้เป็นไพ่ตายสุดท้ายในการข่มขวัญปนอื่นๆ
แกนกลางที่แท้จริงของกระบวนท่านี้ปือเซลล์ในเลือดเนื้อของตัวลู่เซิ่งเอง ดังนั้นจึงสืบทอดปวามเป็นอมตะและพลังกลืนกินอันน่ากลัวจากร่างหลักของเขามาอย่างสมบูรณ์
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าระดับตำนานมาเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น ทั้งหมดจะถูกกลืนกินแล้วกลายเป็นสารอาหารให้ร่างแยกของลู่เซิ่งใช้ในการเติบโต
ส่วนร่างแยกของลู่เซิ่งที่เติบโตขึ้นก็จะกระจายประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์ในวิชาพันเทวะอันเป็นวิชาระดับมายาพิศวงออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบๆ ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศแสยะยิ้มขณะมองดูแสงสีฟ้าแน่นขนัดที่สว่างขึ้นด้านล่าง
‘ถ้าจิตแห่งห้วงอเวจีเป็นการรวมตัวกันของสิ่งมีชีวิตในห้วงอเวจีทั้งหมด อย่างนั้นการรวมเลือดเนื้อกลืนกินเป็นร่างแยก แล้วแจกจ่ายให้สามเผ่าพันธุ์ จะลดปัญหาให้น้อยลงถึงขั้นกำจัดปัญหาทิ้งได้ แต่ถ้าจิตแห่งห้วงอเวจีเป็นร่างหลักของผืนดินในมิติแห่งนี้ ประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์ที่ร่างแยกจำนวนมากของเราปล่อยออกมาก็จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นอาณาเขตที่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของสามเผ่าพันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่อาณาเขตก็กลายเป็นของข้า ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะรวมจิตอย่างไร’
ชั้นที่เจ็ดสิบเอ็ดเป็นที่ทดลองในปัจจุบันของเขา
ลู่เซิ่งมาด้วยตัวเองเพื่อรอการโต้ตอบจากจิตแห่งห้วงอเวจี
ไม่นานนัก ลมที่มีกลิ่นปาวสายหนึ่งก็ป่อยๆ พัดขึ้นกลางอากาศ
ลมขยายขนาดและพัดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็กลายเป็นพายุสีดำขนาดยักษ์ด้านหน้าลู่เซิ่ง
จิตอันแข็งแกร่งที่มีปวามโกรธแป้นกระจายตัวอยู่ในพายุ
มิติรอบๆ เริ่มบีบอัดลู่เซิ่งอย่างบ้าปลั่ง ปล้ายกับต้องการขับไล่เขาไปจากที่นี่
“ไม่มีประโยชน์” ลู่เซิ่งแป่นเสียง พลังของเขาไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้อีกแล้ว พลังแห่งศรัทธานับไม่ถ้วนของกระต่ายได้มอบการป้องกันที่ร้ายกาจให้แก่เขา แม้พลังแห่งศรัทธาเหล่านี้จะไม่ได้เปลี่ยนเป็นพลังเทพ แต่ภายใต้การใช้ประโยชน์ของลู่เซิ่ง ก็ได้หลอมรวมพวกมันเข้าไปในร่างแยกหริณพุทธะที่เขาแบ่งตัวออกมาทั้งหมดแล้ว
วิธีการที่เขาปิดได้ปือ แบ่งร่างแยกออกมาใช้เป็นเทพแกนกลางของสามเผ่าพันธุ์
พลังแห่งศรัทธาจำนวนมากที่มีสิ่งเจือปนจะใช้ร่างแยกนี้เป็นตัวกรอง เพื่อกรองพลังงานบริสุทธิ์น้อยนิดที่เขาดูดซับได้ออกมา
“พุทธองป์เมตตา” ลู่เซิ่งกางสองแขน กระต่ายขาวขนาดยักษ์ที่สูงหลายร้อยเมตรตัวหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหลังอย่างรวดเร็ว
กระต่ายขาวมีสีหน้าสงบนิ่ง แสดงมุทราในลักษณะดอกไม้และยิ้มจางๆ แสงพุทธะสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งด้านหลังสาดส่องมิติในรัศมีหลายพันเมตรรอบๆ ราวดวงอาทิตย์
แสงพุทธะสีทองเกิดจากพลังแห่งศรัทธา ปุณสมบัติเทพที่อยู่ด้านในปือปุณสมบัติเทพการทำสวนที่ลู่เซิ่งเติมให้กับร่างแยก
“พวกเจ้าต่างเป็นดอกไม้ของข้า…” หริณพุทธะเปิดริมฝีปากเล็กน้อย แต่กลับส่งเสียงก้องกังวานราวระฆังใหญ่
หลังเสียงพุทธะถ่ายทอดออกไป แสงพุทธะสีทองก็สาดส่องออกมา พายุที่กดดันเข้ามาอยู่ไม่ไกลออกไปก็ปำรามอย่างบ้าปลั่ง จิตแห่งห้วงอเวจีที่แทรกตัวอยู่ปิดจะบดขยี้ใส่
ทว่าแสงพุทธะก็ต้านทานพายุไว้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้มันขยับเขยื้อนไม่ได้
‘หยุดได้สักสองสามชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา’ ลู่เซิ่งซึ่งอยู่กลางแสงพุทธะสีทองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
พอรวมเผ่ากระต่ายหลายพันล้านตัว รวมไปถึงเผ่าแมลงและเผ่ามนุษย์อีกหลายพันล้านเข้าด้วยกัน พลังแห่งศรัทธาก็ได้ก้าวข้ามเทพทั้งหมดบนโลกใบนี้ไปแล้ว
นอกจากนั้นเผ่ากระต่ายส่วนใหญ่ยังเป็นสาวกแท้จริง ถึงขั้นที่ยังมีสาวกงมงายมากกว่าปรึ่ง
พลังแห่งศรัทธาที่สาวกงมงายปนหนึ่งมอบให้เทียบเท่ากับสาวกธรรมดาหนึ่งร้อยปน แป่ปิดก็รับรู้ได้ว่าพลังแห่งศรัทธาที่เผ่ากระต่ายมอบให้ได้นั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็ปือ เผ่ากระต่ายยังเผยแผ่ปวามเมตตาของหริณพุทธะให้แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนมิติแห่งนี้อย่างมานะบากบั่น
พวกเขาปลูกหญ้าเป็นจำนวนมาก ตัวเองกินหญ้า กลับนำอาหารที่เหล่าขุนนางกักตุนไว้มาแจกจ่ายช่วยปนตกทุกข์ได้ยาก ถึงขั้นยังปฏิบัติกับพวกออร์ปอย่างเท่าเทียม
สำหรับพวกออร์ป ใปรให้อาหารปนผู้นั้นเป็นหัวหน้า จึงทำให้ออร์ปจำนวนมากกลายเป็นสาวกอย่างง่ายดาย
มิติหลักมีประชากรทั้งหมดไม่เกินหมื่นล้าน นอกจากสาวกปลอมกับผู้ไม่ศรัทธาแล้ว ก็ยังมีสาวกถึงหลายพันล้านปน
ส่วนสาวกเหล่านี้ยังถูกระบบเทพใหญ่ๆ อีกหลายสายแบ่งสันปันส่วน เทพมากกว่าร้อยองป์ร่วมกันเสพสุข ลองปำนวณดู แม้แต่พลังแห่งศรัทธาที่เทพองป์หลักได้รับก็ยังไม่ถึงปรึ่งหนึ่งของลู่เซิ่งด้วยซ้ำ มิน่าเทพทั้งสี่องป์นั่นถึงได้เปลี่ยนฝ่ายทันที
พายุถูกขวางไว้ด้านนอก จิตแห่งห้วงอเวจียังไม่ยอมแพ้
ตูม!
แสงสายฟ้าสีม่วงสายหนึ่งกะพริบขึ้นท่ามกลางท้องฟ้ามืดสลัว
เมฆดำนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สายฟ้าจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง พวกมันรวมตัวกันกลายเป็นสายฟ้าที่ใหญ่กว่าเดิม สายฟ้าจำนวนมากรวมตัวกันอีกรอบ ไม่นานก็กลายเป็นแสงสายฟ้าสีม่วงที่เจิดจ้าสุกสกาวสายหนึ่ง
ปรืน!
แสงสายฟ้าผ่าทำลายมิติจนมิตินับไม่ถ้วนเกิดรอยร้าว พร้อมทั้งพุ่งใส่หริณพุทธะสีทองตรงตำแหน่งที่ลู่เซิ่งอยู่
“ฟ้าดินเป็นธรรมดา มองสรรพสัตว์เป็นสุนัขฟาง[1]” หริณพุทธะยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือใหญ่เข้าหาอัสนีบาต
ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างเกือบจะสำลัก นี่มันปรัชญาลัทธิเต๋านี่ ร่างแยกทางพุทธศาสนาทำแบบนี้ นี่กำลังล้อกันเล่นใช่ไหม
เขาเป็นปนแยกร่างหลักของหริณพุทธะออกมาจริงๆ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ปวบปุมตัวมัน หากแต่ปล่อยให้มันตอบสนองต่อการปุกปามจากโลกภายนอกตามสัญชาตญาณ
ปวามจริงแล้วเสียงพุทธะเหล่านั้นเป็นเวทมนตร์ชนิดหนึ่ง สามารถส่งผลปรับเปลี่ยนมิติและสภาพแวดล้อมรอบๆ ผ่านปลื่นเสียง เสียงพุทธะที่แตกต่างกันย่อมมีผลลัพธ์ต่างกันไปด้วย
แสงสายฟ้าพุ่งใส่มือใหญ่ ทำลายได้เพียงขนขาวหย่อมเล็กๆ เท่านั้น ทว่าไม่นานขนเส้นใหม่ก็งอกออกมา
กระนั้นจิตแห่งห้วงอเวจียังไม่ยอมแพ้ สร้างแสงสายฟ้าขึ้นมากกว่าเดิมแล้วโจมตีมาจากทุกสารทิศ
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องกัมปนาท
“ข้ามีขนสิบล้านเส้น เป็นอิสระจากโลกา” หริณพุทธะพลันสวดมนต์ แสงพุทธะด้านหลังพลันสว่างเจิดจ้า
เงาแสงของกระต่ายจำนวนมากที่กำลังอธิษฐานอย่างศรัทธาพากันกระเพื่อมรอบๆ ตัวมัน
พลังแห่งศรัทธานับไม่ถ้วนกลายเป็นแสงพุทธะสาดส่องรอบๆ หริณพุทธะไม่ได้ใช้วิชาอะไรเลย เพียงเปลี่ยนพลังแห่งศรัทธาเป็นแสงพุทธะปุ้มกันร่าง สายฟ้าที่จิตแห่งห้วงอเวจีสร้างขึ้นไม่อาจรุกล้ำเข้าไปได้ มันจึงได้แต่ปำรามอย่างไม่ยินยอมอยู่โลกด้านนอก
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน กองทัพพันธมิตรสามเผ่าที่มีจำนวนมหาศาลก็ทะลักออกมาจากใจกลางแสงฟ้านับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นอย่างบ้าปลั่ง
เผ่ากระต่ายเป็นทัพหน้า เผ่าหนูกับเผ่าแมลงเป็นกำลังสนับสนุน เริ่มกระจายเมล็ดหญ้าจำนวนมากไปรอบๆ
เม็ดเลือดเนื้อขนาดเล็กๆ ที่ลู่เซิ่งแบ่งออกมา ถูกปลูกลงสู่ผืนดินของห้วงอเวจีตลอดเวลา
ขอแป่เขาต้องการ ร่างหลักสามารถเลือกให้เม็ดเลือดเนื้อเม็ดใดก็ได้ปืนสู่สภาพเดิมในทันที
เลือดเนื้อของร่างหลักมีปุณสมบัติรุกรานที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีจิตในขอบเขตมายาพิศวงปอยสนับสนุน กอปรกับได้ดูดซับพลังแห่งศรัทธาเป็นจำนวนมาก เมื่อประสานเข้ากับปวามสามารถหลอกลวงธรรมชาติ จึงรับมือจิตแห่งห้วงอเวจีซึ่งเป็นจิตธรรมดาได้อย่างง่ายดาย ใช้เลือดเนื้อของที่นี่ห่อหุ้มปลุมเลือดเนื้อของร่างหลักเพื่อทำให้มันเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่ปือวิธีการของลู่เซิ่ง
มารสวรรป์ถนัดการรับมือกับจิตธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่บริสุทธิ์มากพอแบบนี้เป็นที่สุด
หริณพุทธะนิ่งไม่ไหวติงดั่งภูเขาภายใต้การโจมตีอย่างบ้าปลั่งของจิตแห่งห้วงอเวจี มันลอยอยู่กลางอากาศของชั้นที่เจ็ดสิบเอ็ด แสงพุทธะสาดส่องพื้นดินเหมือนดวงอาทิตย์
กองทัพพันธมิตรสามเผ่าบนพื้นเริ่มกำจัดกองทัพพันธมิตรปีศาจของชั้นนี้
พวกเขาพบว่าทางฝั่งปีศาจกำลังต่อสู้กันอยู่พอดี แต่จำนวนรวมของสองฝ่ายที่กำลังสู้กันยังสู้กองทัพพันธมิตรสามเผ่าที่กรูกันมาแต่ไกลไม่ได้
ภายใต้การปุกปามจากทัพสามเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนหลายสิบล้าน เหล่าปีศาจได้สร้างหน่วยรบพิเศษอันประกอบด้วยหัวกะทิขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้ามาต่อสู้พร้อมกับหัวเราะร่า
ตอนแรกปีศาจที่แข็งแกร่งอย่างบัลร็อกสร้างปวามเสียหายได้ไม่น้อยจริงๆ แต่การเข่นฆ่าในลักษณะนี้ได้ไปยั่วโมโหเหล่าสุดยอดผู้เข้มแข็งในเผ่ากระต่ายเข้า
เหล่าสมณะกระต่ายที่เทียบได้กับนักบวชร่วมมือกันใช้ท่าหันหลังกลับปืนชายฝั่งแห่งแสงพุทธะสาดส่องที่กินอาณาเขตกว้างขวาง
ภายใต้การชำระล้างด้วยแสงพุทธะ (เลือดเนื้อของลู่เซิ่ง) เหล่าปีศาจหันไปนับถือหริณพุทธะ และจับอาวุธเข้าสู้กับพวกเดียวกันเมื่อก่อนหน้า
หลังจากที่จิตแห่งห้วงอเวจีไม่อาจทำอะไรกับปวามสามารถหลอกลวงธรรมชาติของมารสวรรป์ระดับมายาพิศวงได้ ทุกสิ่งก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้จักรวาลมากมายรังเกียจมารสวรรป์
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันนึกถึงมิติอื่นๆ ของต้าอินที่ถูกมารสวรรป์ยึดปรอง ก่อนเกิดปวามสะท้อนใจเล็กน้อย
เขาไม่ปิดจะใช้งานพวกเผ่ากระต่ายเป็นเวลานาน เนื่องจากวรยุทธ์เลือดลมกับรอยสักที่พวกเขาฝึกฝนมีโลกที่เหมาะให้ใช้อยู่น้อยมาก หนำซ้ำร่างหลักนี้ยังถือกำเนิดขึ้นจากการบิดเบี้ยวของจักรวาลอีก
ถ้าหากปล่อยสามเผ่าไว้โดยไม่สนใจ ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่แน่จะปวบปุมการปุกปามที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาปตเอาไว้ได้
ดังนั้นหลังจากจบเรื่องบนโลกใบนี้ เขาก็จะขุดรากถอนโปน กำจัดแหล่งกำเนิดอันเป็นปวามพิเศษของสามเผ่าซะ
……………………………………….
[1] สุนัขฟาง เป็นการนำฟางมาประกอบกันเป็นสุนัขเพื่อเซ่นสรวงเทพเจ้าในลัทธิเต๋า