ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 742 จุดจบ (2)
มารสวรรค์มีโลกรูปจิตทั้งใบเป็นฉากหลัก หลังตายแล้วยังดึงพลังในโลกรูปจิตออกมาคืนชีพได้อีก จึงฆ่าไม่ตาย
นอกเสียจากทำลายโลกรูปจิตทิ้ง จุดนี้จึงยังเหมือนกับเทพที่อยู่ในอาณาจักรเทพอยู่บ้าง
ถ้าเทพอยู่ในอาณาจักรเทพไม่ยอมออกมา เพียงใช้พลังเทพสร้างร่างจุติออกไปด้านนอก ความจริงก็มีคุณสมบัติไม่ต่างจากมารสวรรค์
แต่พวกเขาแตกต่างกันตรงที่ มารสวรรค์มายาพิศวงเป็นอัจฉริยะองค์รวม จะต้องเข้าใจและสร้างกฎเกณฑ์ทั้งหมดในโลกรูปจิตของตัวเอง
ส่วนเทพเป็นกาฝากที่อาศัยอยู่บนมิติ พวกเขาเพียงจำเป็นต้องเข้าใจกฎเกณฑ์หลักของตัวเอง และทำหน้าที่เทพหลักของตัวเองเท่านั้น ที่เหลือกฎธรรมชาติจะเติมเต็มให้เอง
นี่เป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง
บรรยายง่ายๆ ก็คือ มารสวรรค์มายาพิศวงเหมือนกับเทพผู้สร้างโลกที่เก่งทุกด้าน ส่วนเทพธรรมดาเป็นมารสวรรค์มายาพิศวงในเวอร์ชั่นที่อ่อนแอลงและไม่สมบูรณ์
และความอ่อนแอชนิดนี้ก็ส่งผลอย่างมากมายมหาศาล
นี่ทำให้พลังเทพของพวกเทพไม่สมบูรณ์ แทบสู้ลู่เซิ่งไม่ได้เลย
‘เทพมากมายขนาดนี้ร่วมมือกันยังสู้แรงกดดันของจิตแห่งห้วงอเวจีก้อนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ’
ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองผืนดินด้านล่างเป็นครั้งสุดท้าย พื้นดินสีแดงอมดำในตอนแรก บัดนี้ครึ่งหนึ่งได้กลายเป็นสีเขียวอ่อนไปแล้ว
กองทัพพันธมิตรอสูรเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วเช่นเดียวกัน
‘จบแล้ว เทพที่ว่าเป็นเพียงตัวแทนของจิตธรรมชาติของโลกใบนี้เท่านั้น ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย’
ลู่เซิ่งผิดหวังเล็กน้อย หลังจากเข้าใจแก่นสารของเทพแล้ว บนโลกใบนี้ก็ไม่มีความลี้ลับที่คุ้มค่าให้เขาขุดค้นอีกต่อไป
ห้วงอเวจีและยมโลกก็เป็นสภาพเดียวกัน
เขาหมุนตัวและตะปบมือใส่
มิติแห่งห้วงอเวจีที่อยู่ด้านหลังถูกขยุ้มจนทับซ้อนและบิดเบี้ยวเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนกับผ้าม่าน
นิ้วแหลมของลู่เซิ่งเขี่ยเบาๆ มิติของห้วงอเวจีพลันถูกฉีกขาดอย่างง่ายดาย เส้นทางสีดำที่เชื่อมสู่ความว่างเปล่าถูกกางออกมา
หลังเอาชนะการร่วมมือของเหล่าเทพได้ ลู่เซิ่งก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาอีกต่อไป เขาวางแผนนำของดีๆ ทั้งหมดในโลกใบนี้ไปจนหมดสิ้น จากนั้นค่อยรีบกลับ
หากสมาชิกเงามารจะเข้าออกโลกใบอื่น จะต้องมีการปรับแต่งและปรับตัวอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่ไปแล้วจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่น
สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่จิตใจปั่นป่วนเหมือนอสูรคล้ายกับอุปกรณ์ที่มีความเปราะบางสุดขีด หากกฎเกณฑ์เกิดปัญหานิดเดียว จะทำให้ร่างกายพังทลายในพริบตา
ดังนั้นหากคิดจะพาเงามารไปยังโลกใบอื่น ลู่เซิ่งจะต้องศึกษาความประหลาดและการปรับตัวระหว่างกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างละเอียดเสียก่อน
มองดูความเขียวขจีไร้สิ้นสุดบนพื้นดินเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นลู่เซิ่งก็ก้าวเท้าเข้าไปในความว่างเปล่าของโลกใบนี้
ความว่างเปล่าของโลกใบนี้ไม่ใหญ่มาก เทียบได้กับระบบดาวแห่งหนึ่งในโลกมารสวรรค์ มิติกับอาณาจักรเทพขนาดต่างๆ กำลังส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับดาวเคราะห์และทวีปลอยฟ้า
ทุกแห่งหนคือดาวดวงหนึ่ง
ลู่เซิ่งหันไปมอง ด้านหลังตนคือดวงตาสีแดงเข้มที่ใหญ่โตมโหฬาร
ม่านตาของดวงตาคือรอยแตกสีดำสนิท มันเป็นทางเข้าออกห้วงอเวจีที่ไร้ก้นบึ้ง
หากให้ตำแหน่งของเขาเป็นศูนย์กลาง ทางซ้ายจะเป็นมิติหลัก ส่วนทางขวาเป็นมิติธาตุดิน
ด้านหนึ่งเหมือนกับก้อนกลมขนาดใหญ่สีน้ำเงิน อีกด้านเหมือนไอหมอกสีเหลืองตุ่นกลุ่มหนึ่ง
ไม่ไกลออกไปยังมียมโลกสีดำสนิทที่เหมือนกับกะโหลกขนาดใหญ่
ยังมีภพสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่รองจากมิติหลักอีกด้วย
มองดูภพสวรรค์ไกลๆ เหมือนกับหอคอยที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในก้อนสีขาว เงยมองขึ้นไป มีสิ่งมีชีวิตบนภพสวรรค์หลายชนิดอาศัยอยู่
ส่วนอาณาจักรเทพก็หมุนวนอยู่เหนือภพสวรรค์อย่างช้าๆ เหมือนกับดาวเทียม
‘ทดลองดูได้แล้ว…’ ลู่เซิ่งสัมผัสร่างหลักของตัวเอง ตอนนี้เลือดเนื้อของร่างหลักได้กลายเป็นเม็ดอนุภาคนับไม่ถ้วนโปรยปรายอยู่ทั่วผิวมิติหลัก ห้วงอเวจี ยมโลก และมิติธาตุแห่งอื่นแล้ว
แสงพุทธะสาดส่องไปที่พวกกระต่ายซึ่งกระจายเลือดเนื้อของเขาออกไปทุกวินาที เพื่อทำให้กลายเป็นเมล็ดที่เติบโตคืนชีพในสถานที่ใดๆ ก็ได้
“มาเลย พันเทวะ” เขาค่อยๆ เอื้อมมือออกมา
ของเหลวสีดำจำนวนมากแผ่กระจายออกมาจากใต้เท้าของเขา แล้วกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับทะเลสาบ
กระเรียนน่ากลัวที่ใหญ่โตหลายพันเมตรตัวหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากด้านในทะเลสาบสีดำ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เซิ่งอัญเชิญร่างหลักของพันเทวะหลังจากมาถึงโลกใบนี้
ครั้งนี้ลักษณะของพันเทวะแตกต่างออกไปอีกแล้ว
เพื่อป้องกันการสะกดและการทำลายของจิตโลกา ลู่เซิ่งได้กระจายร่างหลักของตัวเองไปยังมิติต่างๆ โดยหลอมรวมตัวเองเข้ากับโลกใบนี้ หลอมรวมตัวเองเข้ากับวัฏจักรการทำงานของมิติทั้งหมดจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในนี้
และเพื่อดำเนินการปกปิดอำพราง ลู่เซิ่งยังเปลี่ยนพลังแห่งศรัทธาจำนวนมากเป็นแสงพุทธะพลังเทพ โดยใช้ประโยชน์จากแสงเทพในการห่อหุ้มพันเทวะเอาไว้
ดังนั้นพันเทวะแบบใหม่จึงถือกำเนิดขึ้น
ท่ามกลางความว่างเปล่า สัตว์ประหลาดน่ากลัวที่มีหัวเป็นกระเรียนตัวเป็นคน สลักบทสวดมนต์จำนวนมากไว้บนร่าง และพันประคำสีแดงพวงหนึ่งไว้รอบๆ เอวปรากฏกายขึ้น
‘ใช้สัจธรรมพุทธะของราชาหมิงและอาศัยพลังเทพที่โลกใบนี้พัฒนาขึ้นมาเป็นตัวห่อหุ้ม เมื่อบวกรวมกับความสามารถหลอกลวงธรรมดา ก็ปิดบังจิตโลกาของที่นี่ได้จริงๆ…’
ลู่เซิ่งเชยชมร่างพันเทวะที่อยู่ด้านหน้าอย่างพึงพอใจ
ความจริงพันเทวะเป็นรูปลักษณ์วิญญาณของเขา หรือควรบอกว่าสัตว์ประหลาดร่างมหึมาที่มีหัวเป็นกระเรียนร่างเป็นคนตัวนี้ เป็นร่างวิญญาณของเขาเอง
พันเทวะไม่ดับสูญ เขาก็ไม่มีทางตาย
แถมเบื้องหลังพันเทวะยังมีโลกรูปจิตอันไพศาล ไม่ว่ามันจะถูกทำลายกี่ครั้ง ขอแค่โลกรูปจิตยังมีสสารพลังงานมากพอ มันก็จะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ
‘ด้วยการเก็บสำรองของเราในตอนนี้ พันเทวะตายได้มากสุดหกสิบกว่าครั้ง หากมากกว่านี้ โลกรูปจิตจะก่อตัวขึ้นไม่ได้อีก...ดังนั้นเราจึงต้องการการเก็บสำรองที่มากกว่านี้…’
ลู่เซิ่งมองห้วงลึกอย่างเงียบงัน
“ครอบครัวของข้าเอ๋ย…จงเร่งฝีเท้าของพวกเจ้าเถอะ…” เขาไม่ขยับริมฝีปาก ทว่าวิญญาณกลับกระเพื่อมถ่ายทอดเสียงออกไป จากนั้นเสียงก็ป้อนผ่านเส้นสายศรัทธานับไม่ถ้วนไปถึงสมองของกองทัพพันธมิตรสามเผ่าในสงครามบนมิติใหญ่ทั้งหลาย
ฉับพลันนั้นกองทัพพันธมิตรสามเผ่าจำนวนหลายร้อยล้านก็กรูกันเข้าห้วงอเวจีผ่านวงแหวนเวทข้ามมิติอย่างบ้าคลั่ง
ในช่วงที่ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางความว่างเปล่า ใช้เวลาเพียงสามวัน ห้วงอเวจีชั้นที่แปดสิบก็ถูกทะลวง
ไฟอสูรความร้อนสูงในชั้นที่แปดสิบถูกเผ่ามนุษย์ที่โผล่มาใหม่ใช้วงแหวนรอยสักดูดซับความร้อนเก็บไว้ และแปลงเป็นบ่อน้ำพุร้อน ก่อนจะตั้งเป็นรีสอร์ทสำหรับให้ฝ่ายพลาธิการใช้
หลังจากมนุษย์เข้าร่วมลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอตำแหน่งที่แน่ชัดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
พวกเขามีมันสมองชาญฉลาดที่สุด สามารถทำการศึกษาและทำหน้าที่พลาธิการได้อย่างว่องไว
ในหุบเหวเกลือซึ่งอยู่ในชั้นที่แปดสิบเอ็ด หลังจากเจ้าชายอสูรเกลือถูกเผ่ากระต่ายกวาดล้าง พื้นที่ทั้งหมดก็กลายเป็นแหล่งเกลือที่มั่นคงให้กับทั้งสามเผ่าพันธุ์
ทะเลกรดในชั้นแปดสิบห้าของห้วงอเวจีถูกเผ่าแมลง ปล่อยแมลงที่มีกรดรุนแรงจำนวนมากเข้าไปล่าอสูรที่อยู่ด้านใน พวกมันมีความสามารถแพร่พันธุ์ที่น่ากลัว พวกมันกินสิ่งมีชีวิตส่วนหนึ่งในทะเลกรดจนเกลี้ยงโดยใช้เวลาไม่นาน หลังจากทำลายห่วงโซ่อาหารเรียบร้อยแล้วก็พากันขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
พวกอสูรในทะเลกรดที่เหลือไม่มีอะไรกิน เลยได้แต่ฆ่ากันเอง จนกระทั่งสุดท้ายไม่มีอะไรให้กินอีก จอมอสูรที่จนปัญญาจึงโดดออกจากท้องทะเลเพื่อฝ่าวงล้อม สุดท้ายก็ถูกสามเผ่ากลุ้มรุมแยกซากศพมาแบ่งกันกิน
ห้วงอเวจีหลายชั้นถูกพิชิตอย่างต่อเนื่อง จอมอสูรที่หันหน้าเข้าหาธรรมก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แสงพุทธะสาดส่องของลู่เซิ่งมีอานุภาพอหังการถึงขีดสุด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกแสงพุทธะสาดส่องใส่ ขอแค่พลังจิตสู้ลู่เซิ่งไม่ได้ ก็จะถูกเลือดเนื้อมุดเข้าร่าง โดนควบคุมความเป็นความตาย จนต้องขายชีวิตเพื่อลู่เซิ่ง
ในเวลาสั้นๆ แค่สามปี
ความสามารถแพร่พันธุ์และความสามารถในการกินอันน่ากลัวของสามเผ่าพันธุ์ ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ได้ประจักษ์ว่าอะไรคือผู้ทำลายล้างทางธรรมชาติ
ห้วงอเวจีถูกตีแตกในทันที ความจริงตอนที่ถูกโจมตีถึงชั้นที่ร้อย จิตแห่งห้วงอเวจีก็ได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นจิตของหริณพุทธะแล้ว
สามเผ่าพันธุ์ยึดครองได้เกือบทุกมุมในร้อยชั้นแรก สงครามจบลง ทุกพื้นที่ถูกใส่ปุ๋ยปรับปรุงดิน ปลูกหญ้าและนาข้าวทั้งหมด
แสงพุทธะสาดส่อง ทุกแห่งหนสงบสุข
หลังจากจิตแห่งห้วงอเวจีสลาย รายต่อไปก็คือยมโลก
ราชายมโลกยังหลับใหล ว่ากันว่าเป็นเพราะร่างใหญ่โตเกินไป กว่ามันจะฟื้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี
น่าเสียดายที่กองทัพพันธมิตรสามเผ่าร่วมกับอสูร จอมอสูร และเหล่าเทพที่เปลี่ยนความเชื่อแล้ว ใช้เวลาแค่สามวันก็เอาชนะยมโลกทั้งเก้าชั้นได้
ราชายมโลกยังไม่ทันได้ลืมตา ก็ถูกแสงพุทธะนับไม่ถ้วนสาดส่องใส่เต็มหน้า เลือดเนื้อจำนวนมากของลู่เซิ่งมุดเข้าไปผ่านส่วนหัวของมัน แล้วทำให้มันแปรพักตร์ได้ในเวลาไม่นาน
ร่างหลักของลู่เซิ่งเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่มีข้อบกพร่องชัดเจนแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย
การล่มสลายของห้วงอเวจีทำให้ขุมกำลังของลู่เซิ่งขยายขึ้นจนน่ากลัว
ขอบเขตของเขาไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการสำรองทรัพยากร
กินเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก มอบทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่ยากจินตนาการให้แก่โลกรูปจิต สิ่งมีชีวิตที่ลู่เซิ่งกินไปในช่วงเวลาสามปีเยอะกว่าตอนที่กินดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเมื่อครั้งกระโน้นหลายเท่าตัว
หลังยมโลกล่มสลาย พลังของลู่เซิ่งก็ขยายขึ้นอีกเท่าหนึ่ง
โลกใบนี้มาถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ร่างหลักของเขาลอยอยู่กลางความว่างเปล่าด้านนอก สถานที่อื่นๆ ใช้ประโยชน์จากความสามารถกายอมตะพันเทวะ แบ่งแยกร่างแยกหลายร้อยร่างที่มีพลังเท่ากับเทพระดับกลางออกมา
จากนั้นทุกที่ทั่วสารทิศก็ราบเป็นหน้ากลอง
มิติหลักก็ดี มิติธาตุแห่งอื่นๆ ก็ดี ในเวลาเพียงห้าปี นอกจากมนุษย์ลู่เซิ่งได้กินสิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้เข้าไปในโลกรูปจิตเกือบหมด
เทียบกับตอนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ โลกรูปจิตของเขาขยายมากกว่าเดิมสิบเท่าตัว ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของโลกใบเดิมแล้ว
หลังจากมาถึงขั้นนี้ ลู่เซิ่งก็ได้ครอบครองพลังอันน่ากลัวของผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตมายาพิศวงในระดับทำลายดวงดาวขั้นต้นแล้ว
ไม่ใช่แค่ทำลายสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์เท่านั้น หากทำลายตัวดาวเคราะห์ไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
…
เมืองเมฆหมอก
ด้านในคฤหาสน์สีแดงของเงามาร
ลู่เซิ่งพิงอยู่บนเก้าอี้หวายถือถ้วยกาแฟที่มีควันลอยกรุ่นขณะมองดูบุรุษผมทองสวมเสื้อคลุมสีขาวที่มีสีหน้าเรียบเฉยเคร่งขรึมตรงหน้า
มาถึงขั้นนี้ ถ้าหากนิกายแสงสว่างและเงายังไม่มีปฏิกิริยาอีก อย่างนั้นก็คงโง่เง่าเต่าตุ่นถึงขีดสุดจริงๆ
ทว่าปัจจุบันนี้ กองทัพพันธมิตรสามเผ่าจำนวนเจ็ดพันล้านกว่าได้บุกรุกเข้ามาในโลกใบนี้หมดแล้ว
แม้แต่จิตธรรมชาติและสภาพแวดล้อมก็เริ่มได้รับผลกระทบไม่น้อย
พูดตามตรง จิตธรรมชาติก็คือร่างจิตขนาดยักษ์ที่รวมตัวจากกฎเกณฑ์และสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ซึ่งมันจะกีดกันคุณสมบัติกับการเปลี่ยนแปลงที่มีอันตรายต่อตัวเองโดยสัญชาตญาณ
ทว่าลู่เซิ่งได้แอบแทรกซึมผ่านความสามารถหลอกลวงธรรมชาติ รอจนกระทั่งจิตธรรมชาติค้นพบ ก็สายไปเสียแล้ว
“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พวกเจ้าควรจะรู้ว่า ไม่ว่าข้าจะเสนอเงื่อนไขอะไร พวกเจ้าก็ต้องตอบรับ”
ลู่เซิ่งมองร่างแปลงของเทพจากนิกายแสงสว่างตรงหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เปลือกนอกเป็นอย่างที่ว่า แต่ท่านอาจจะไม่รู้สาเหตุหลักที่เทพแห่งแสงสว่างและเทพแห่งเงาห้ำหั่นกันมาหลายปี” บุรุษที่เป็นร่างแปลงของเทพจันทรา มงซิเออร์ ในระบบเทพแสงสว่างเอ่ยขึ้น
ซึ่งเป็นเทพระดับกลางที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับเทพระดับบน
“ที่พวกเรามาปรับความเข้าใจกับท่าน ไม่ได้หวังช่วยระบบเทพสายอื่น สิ่งที่พวกเราต้องการคือไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกันเท่านั้น” มงซิเออร์กล่าวอย่างราบเรียบ
“หือ?” ลู่เซิ่งพลันเกิดความสนใจ “ข้ายึดมิติหลักไปแล้วหนึ่งในสามส่วน เจ้าไม่กังวลหรือ”
“แสงของเทพองค์หลักสาดส่องทุกสิ่ง ขอแค่พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ยังขึ้น แสงสว่างจะไม่โรยราชั่วนิรันดร์” มงซิเออร์สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “ดวงอาทิตย์ เจ้าหมายถึงไอ้นั่นรึเปล่า” เขาชี้ไปที่นอกหน้าต่าง
กลางท้องฟ้านอกหน้าต่าง หริณพุทธะสีทองที่ทำมุทราบุปผาและยิ้มน้อยๆ กำลังปล่อยแสงสีทองไร้สิ้นสุดออกมาดุจดวงอาทิตย์สีทองเพื่อสาดส่องเมืองบนผืนดินด้านล่าง
……………………………………….