ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 743 เปิดเผย (1)
เทพจันทรางุนงงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พุทธะองค์นั้นไม่แสดงตัว จึงมองไม่ออกว่าดวงอาทิตย์ดวงนี้เกิดมาจากมัน ตอนนี้กลับโผล่มาพร้อมเสียงของลู่เซิ่ง เขาจึงค่อยเห็นชัดกับตาว่าดวงอาทิตย์ดวงนี้ถึงกับ…
ถึงแม้ดวงอาทิตย์ดวงนี้จะไม่ใช่ดาวฤกษ์ที่แท้จริง มีขนาดเท่ามิติขนาดเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่แสงสว่างกับความร้อนของมัน ต่อให้เป็นคาถาเทพระดับสูงสุดหรือเทพระดับล่างก็ไม่อยากจะไปยุ่งด้วย
ทว่าลู่เซิ่งใช้หริณพุทธะส่องแสงแทนดวงอาทิตย์ในพื้นที่ขนาดใหญ่
เทพจันทราไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้เขาเกิดความกริ่งเกรงลู่เซิ่งยิ่งกว่าเดิม
“ในเมื่อราชาแห่งประกายรุ้งมีแผนการตั้งแต่ต้นแล้ว ข้าก็ไม่ขอพูดมาก เพียงแต่…”
“ข้าไม่สนใจเป้าหมายและสงครามเทพของพวกเจ้า ข้าเพียงต้องการรวบรวมวัตถุโบราณหรืออาวุธเทพที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้ามีสมบัติคล้ายๆ กันนี้ ข้าจะให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของพวกเจ้าในเชิงยุทธศาสตร์ด้วย” ลู่เซิ่งพลันตัดบทเขาด้วยรอยยิ้ม
“การร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์หรือ” เทพจันทรางงงัน
สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก กองทัพพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์ได้ยึดครองอาณาเขตและสาวกไปมากมาย หากต้องการเงินทองและทรัพย์สมบัติ ก็สามารถรวบรวมได้เลย ทั้งยังจะได้ไปไม่น้อยด้วย
กระนั้นคำพูดของราชาแห่งประกายรุ้งหมายถึงอะไร
ยอมอ่อนข้อหรือ
เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ห้วงอเวจียังว่ากันว่าถูกบุรุษที่น่ากลัวตรงหน้าฮุบกลืนไปมากกว่าครึ่งแล้ว ยมโลกเองก็กลายเป็นอาณาเขตของเขาแล้วเช่นกัน
ในฐานะราชาแห่งห้วงอเวจีและยมโลก ชื่อเสียงและพลังของราชาแห่งประกายรุ้งไม่มีทางอ่อนด้อยไปกว่าระบบเทพของตน ไปจนถึงขั้นเหนือกว่า!
“ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง วัตถุโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานซึ่งท่านต้องการ ระบบเทพหรือนิกายเรามีเยอะมากๆ…”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือวัตถุโบราณที่มีตำนานของตัวเอง ข้าเป็นคนจริง ถ้าพวกเจ้าเอาของแบบนี้ออกมาได้มากพอ ข้าก็จะมอบเขตฟรานที่อยู่ทางเหนือของอัลตูร์ให้พวกเจ้าทันที” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านแน่ใจหรือ!” ม่านตาของเทพจันทราหดตัว
“แน่สิ!”
“ข้าจะไปแจ้งเทพองค์หลักของพวกเราก่อน” พอเทพจันทราได้รับข่าวก็ผลุนผลันกลับไปทันที
ลู่เซิ่งนั่งดื่มกาแฟอยู่ตามลำพัง พิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเกียจคร้าน
ทรัพยากรเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้คือคุณสมบัติเทพและพลังอาวรณ์ เขาได้ทำความเข้าใจคุณสมบัติเทพไปพอประมาณแล้ว ทั้งยังมีความรู้อย่างล้ำลึกต่อการทำงานในขอบเขตพิเศษส่วนหนึ่งของโลกอีกด้วย
สิ่งที่เขาต้องการเป็นหลักคือกฎเกณฑ์พื้นฐาน สาขาในระดับที่สูงเกินไปไม่เหมาะจะใช้กับโลกรูปจิตของเขา
การปรับปรุงโลกรูปจิตดีขึ้นมากเพราะสาเหตุนี้
แม้การรั้งอยู่ต่อยังมีประโยชน์ที่ไม่เลว แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป เป็นเพราะหากจะศึกษาคุณสมบัติเทพต่อ จำเป็นต้องฆ่าเทพมากกว่านี้ กระนั้นระบบเทพสมุทรกับระบบเทพน้ำแข็งต่างหดหัวอยู่ในอาณาจักรเทพของตัวเองไม่ยอมออกมา
คิดจะสู้กับเทพองค์หลักที่ไม่ออกมาจากอาณาจักรเทพของตัวเอง ต่อให้เขามีพลังแข็งแกร่งกว่านี้สักสิบเท่า ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
ตอนนี้เขาเป็นเทพระดับกลางขั้นสูงสุด เพียงแต่อาศัยกายอมตะกับพลังสำรองที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเท่านั้น เลยสามารถสร้างร่างแยกเทพระดับกลางหลายร้อยตัวออกมารุมโจมตีร่วมกันได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กอปรกับมิติหลักไม่สามารถสะกดเขาได้ด้วย
ถ้าไม่ใช่แบบนี้ เขาเองก็เอาชนะเทพระดับบนไม่ได้เหมือนกัน อย่างมากสุดก็แค่ก้ำกึ่งสูสีเท่านั้น
คิดจะฆ่าเทพเหล่านี้ ได้แต่ถ่วงเวลา แต่เขาไม่มีเวลาขนาดนั้น
‘ขจัดสงคราม ปกป้องสันติภาพ ขอแค่ทำให้ผลกรรมที่ใหญ่ที่สุดนี้สำเร็จได้ จากนั้นก็สร้างเสถียรภาพให้แก่ตำแหน่งและอำนาจของเงามาร เราก็จะออกจากที่นี่ได้เป็นการชั่วคราว’
ลู่เซิ่งเข้าใจดี เป็นเพราะการไหลของเวลาแตกต่างกันมาก ทำให้แผนการใดๆ ของเขาที่อยู่ที่นี่มีตัวแปรมากมาย
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดปล่อยให้เงามารรั้งอยู่บนโลกใบนี้
‘ต้องหาโลกที่การไหลของเวลาไม่ต่างมากนักให้เงามารอยู่…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “ยังมีเผ่ามังกรสีรุ้งด้วย…”
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องสมุด
ติงติงๆๆ ติงๆ
ด้านในห้องซ้อมดนตรีด้านบน ลูกสาวลู่หงเย่กำลังฝึกฝนพิณอย่างขะมักเขม้น
เดิมทีเมื่อวานซืนนางจะต้องไปช่วยเหลือเผ่ามังกรทอง ด้วยการเปิดใช้มรดกและชิงอาวุธเทพ เพื่อเอาชนะกองทัพมังกรนิล
แต่หลังจากถูกลู่เซิ่งตีไปรอบหนึ่ง ก็ได้แต่ซ้อมพิณอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกกล่าวยัยหนูน้อยสักคำ
ก๊อกๆๆ
“หงเย่” ลู่เซิ่งเรียกเบาๆ
“ท่านพ่อ มีอะไรหรือคะ” ประตูเปิดออกทันที ผ่านไปหลายปี รูปโฉมของลู่หงเย่ยังอยู่ในวัยสิบหกสิบเจ็ด มีความองอาจแฝงอยู่ในความบริสุทธิ์ ยังคงงดงามน่ารักและมีหน้าอกราบเรียบเหมือนเดิม
สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือรูปร่างเริ่มมีส่วนโค้งส่วนเว้า ดูเหมือนจะอวบขึ้นเล็กน้อย มีแต่เอวเล็กๆ เท่านั้นที่ยังเพรียวบาง สองขายังคงเต่งตึงเรียวยาวเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ผมยาวที่เรียบละมุนสยายลงมา ยังมีกลิ่นกายตามธรรมชาติจางๆ
ลู่เซิ่งย่นจมูก ดมแก่นสารของกลิ่นนี้ออก
นี่เป็นกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของราชามังกรทองตามมาตรฐาน แม้จะได้กลิ่นหอมตอนดม แต่ความจริงมีกลิ่นข่มขวัญมังกรทองตัวอื่นๆ มีความสามารถสะกดในระดับหนึ่ง
“ไม่ได้มาหาเจ้านาน ช่วงนี้ผอมหมดแล้ว” ลู่เซิ่งลูบศีรษะของลูกสาว “ช่วงนี้ข้ายุ่งนิดหน่อย ไม่มีเวลาดูแลเจ้า เจ้าเพิ่งจะเรียนจบไม่นาน ไอ้งานนิตยสารท่องเที่ยวนั่นยังทำอยู่ไหม”
งานนิตยสารท่องเที่ยวที่ว่านั่นเป็นเหตุผลที่ลู่หงเย่แต่งขึ้นเท่านั้น ความจริงนางคอยช่วยเหลือเผ่ามังกรทองมาโดยตลอด
“ยัง…ยังทำอยู่ค่ะ…” ลู่หงเย่ก้มหน้าลงอย่างขาดกลัวอยู่บ้าง ด้วยไม่ต้องการให้พ่อเห็นดวงตาของตัวเอง
“รู้จักแบ่งความสำคัญก็ดี จริงสิ ข้ามาบอกเจ้าว่า อีกไม่นานพวกเราอาจต้องย้ายบ้าน ย้ายไปยังสถานที่ที่อยู่ไกลมาก เจ้าเตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“ย้ายบ้านหรือคะ”
“อือ ถึงเวลานั้น งานของเจ้าต้องปรับเปลี่ยนเหมือนกัน อีกประเดี๋ยวไปบอกลาเพื่อนร่วมงานให้เรียบร้อย อย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน” ลู่เซิ่งกำชับ
“…อ้อ…” ลู่หงเย่ครุ่นคิด อย่างไรด้วยความเร็วในการบินของเผ่ามังกรทอง ต่อให้ย้ายบ้านก็คงย้ายไม่ไกลเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็บินโดยใช้เวลานิดเดียวก็ถึงแล้ว
หลังจากกำชับลูกสาวเสร็จ ลู่เซิ่งก็ลังเลว่าจะพานางไปด้วยดีไหม
บางทีให้นางอยู่ที่โลกใบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีมังกรทองคอยปกป้อง ทำให้นางมีหลักประกันความปลอดภัยมากพอ
หลังจากสั่งเสร็จ ลู่เซิ่งก็ลงไปชั้นล่าง ตรวจสอบสวนดอกไม้แฟรี่แห่งความกลัวกับพ่อบ้านแฮงค์ และบอกแผนการที่จะย้ายบ้านไปด้วย
เมืองแสงอรุณในตอนนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงแกนกลางที่แท้จริงภายใต้การปกครองของทัพพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์แล้ว
กลุ่มวิศวกรจำนวนมากขยายสิ่งก่อสร้าง ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนถูกอพยพเข้ามา
กำแพงเมืองที่เหมือนป้อมปราการถูกจัดแสดงเหมือนของตกแต่ง แม้แต่ออร์คจำนวนมากก็มีการอพยพเข้ามาส่วนหนึ่ง เพื่อให้ใช้ชีวิตในฤดูหนาวได้ผ่านการแลกเปลี่ยนสิ่งของและได้รับอาหาร
ลู่เซิ่งตรวจสอบสภาพในเมืองสักครู่ เขาจำเป็นต้องทิ้งรากฐานส่วนหนึ่งไว้บนโลกใบนี้ โดยใช้แผนการลับเผื่อว่าวันหน้าอาจได้กลับมา
การวางแผนการลับไว้นั้นง่ายดายยิ่ง หลังจากเขาออกคำสั่งหลายสิบคำสั่งในที่ว่าการเจ้าเมือง แผนการลับทั้งหมดก็ได้รับการจัดการเรียบร้อย
เวลานี้ระบบแสงสว่างและเงาต่างส่งข่าวมา
เนื่องจากแรงกดดันอันมหาศาลของกองทัพพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์ ระบบเทพสองสายจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของลู่เซิ่งเหมือนที่คาดการณ์ไว้
พวกเขาจะใช้วัตถุโบราณจำนวนมากมาแลกกับอาณาเขตและสาวกที่ลู่เซิ่งยึดครองอยู่
ระบบเทพทั้งสองสายส่งทูตมาลงนามข้อตกลงกับลู่เซิ่ง วันต่อมา สัญญาที่มีชื่อว่าข้อตกลงพิภพดาราก็ถูกลงนามสำเร็จในเมืองแสงอรุณ
นี่หมายความว่าในที่สุดสงครามอันรุนแรงบนมิติหลักก็เข้าสู่ช่วงสงบสุข
ลู่เซิ่งทำความปรารถนาผลกรรมของพลังแห่งวัฏจักรที่เขาดูดซับไว้สำเร็จลงส่วนหนึ่ง นั่นคือการหยุดสงคราม
ในวันที่สาม เกราะและอาวุธโบราณระดับตำนานจำนวนมากได้ถูกทยอยขนส่งมาถึงเมืองแสงอรุณ ในเวลาเดียวกัน วัตถุโบราณจำนวนมากก็ถูกขนมาที่เมืองแสงอรุณผ่านกองทัพพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์ภายใต้คำสั่งของลู่เซิ่งเช่นกัน
แสงในการข้ามมิติกะพริบเป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง ต่อมาวงแหวนเวทข้ามมิติมากกว่าร้อยอันได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ถึงจะสามารถคงการข้ามมิติในระดับสูงเอาไว้ได้
ถัดจากนั้นลู่เซิ่งก็กลืนกินพลังอาวรณ์ในวัตถุโบราณที่ถูกขนมาจากสถานที่ต่างๆ ติดต่อกันห้าวัน ถ้าโชคดี เขาจะได้พลังอาวรณ์มากกว่าล้านหน่วยในหนึ่งวัน ถ้าโชคไม่ดีก็ได้แค่สามแสนสี่แสนหน่วยเท่านั้น
วัตถุโบราณหลายชิ้นไม่มีพลังอาวรณ์แม้แต่หน่วยเดียว
ห้าวันก่อน วัตถุโบราณนับไม่ถ้วนที่ถูกขนมามีจำนวนมากที่สุด ต่อมาก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
จุดสำคัญสุดท้ายคืออาวุธเทพก้นหีบของนิกายแสงสว่าง นิกายเงา และนิกายอื่นๆ
อาวุธกึ่งเทพพวกนี้เป็นสมบัติทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานถึงขีดสุด พลังอาวรณ์ย่อมยิ่งใหญ่มหาศาล
อาวุธเทพที่สมบูรณ์ทั้งหมดสิบกว่าชิ้นมอบพลังอาวรณ์เกือบห้าสิบล้านหน่วยให้แก่ลู่เซิ่ง น่าหวั่นสะพรึงอย่างยิ่ง
ทั้งหมดรวมกัน ในเวลาสิบกว่าวัน เขาได้ดูดซับพลังอาวรณ์ทั้งหมดแปดสิบล้านกว่าหน่วย
นี่ได้ชดเชยการเผาผลาญอย่างสาหัสตอนเรียนรู้วรยุทธ์เมื่อก่อนหน้านี้ ถึงขั้นได้กำไรมามหาศาล พึงทราบว่าตอนลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสู่โลกใบนี้ เขามีแค่แปดล้านกว่าหน่วย ตอนนี้รวมกันแล้วมีถึงแปดสิบล้านกว่าหน่วย ทบทวีขึ้นสิบเท่า
ลู่เซิ่งเริ่มมอบพื้นที่จำนวนมากที่สามเผ่าพันธุ์ยึดครองอยู่ให้ระบบเทพตามข้อตกลง
เป็นเพราะบารมีอันยิ่งใหญ่ของหริณพุทธะ สามเผ่าพันธุ์จึงไม่มีใครโต้แย้ง
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสเลือกชั้นที่ไม่มีร่างมีชีวิตใดๆ ด้านในห้วงอเวจี และเปิดเส้นทางที่เชื่อมไปยังโลกรูปจิตของตัวเอง
สำหรับการจัดหาที่อยู่ให้แก่สามเผ่าพันธุ์ เขาคิดจะรับพวกเขาเข้าไปในโลกรูปจิต
โลกรูปจิตอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตที่มีสิทธิ์พิเศษอาศัยอยู่ได้ แม้จะได้แต่อยู่ในสภาพวิญญาณ แต่มันก็เป็นโลกที่สมบูรณ์เหมือนกัน ไม่แตกต่างอะไรกับโลกภายนอก
โดยเฉพาะโลกรูปจิตในปัจจุบันยังใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของโลกใบเดิม มีพื้นที่ไพศาล มากพอให้สามเผ่าพันธุ์อยู่อาศัย
สิ่งมีชีวิตในโลกรูปจิตยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีส่วนช่วยต่อการขยับขยายพื้นที่ของโลกรูปจิตมากเท่านั้น การวิวัฒนาการของกฎเกณฑ์ก็จะสมบูรณ์มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้เนื่องจากเขาเป็นผู้ควบคุมวัฏจักรในนั้น เขาจึงคัดเลือกวิญญาณที่แข็งแกร่งจากด้านใน แล้วปล่อยออกมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเป็นแบบนี้ ศักยภาพของร่างหลักของลู่เซิ่งจึงแข็งแกร่งกว่าเดิม
เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่มีแผนการนี้
นอกจากนี้สุดท้ายแล้วยังมีปัญหาที่สำคัญที่สุดอยู่อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือควรจะจัดการห้วงอเวจีและยมโลกที่ถูกเลือดเนื้อเขายึดครองพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งอย่างไรดี
ไม่นานลู่เซิ่งก็บอกตำแหน่งที่เตรียมจะย้ายบ้านให้ลู่หงเย่ฟัง เป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
ลู่หงเย่หรือเผ่ามังกรทองย่อมไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เป็นเพราะที่แห่งนั้นเป็นเมืองลอยฟ้าขนาดยักษ์ที่ลู่เซิ่งเพิ่งสร้างขึ้นในมิติแห่งหนึ่งกลางความว่างเปล่า
ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย เขาคิดจะนำเมืองลอยฟ้านี้ออกจากโลกใบนี้ด้วย
เพียงแต่นั่นจะเพิ่มเงื่อนไขให้แก่ค่ายกลข้ามมิติมากเกินไป ต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ก็จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้ามากมายเช่นกัน หนำซ้ำจะสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ในเวลานี้เอง ทางลู่หงเย่ผู้เป็นลูกสาวกลับมาเปิดเผยความจริงกับเขาอย่างที่คาดการณ์ไว้
……………………………………….