ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 744 เปิดเผย (2)
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกกับท่าน” ลู่หงเย่ยืนอยู่ในห้องสมุดอย่างระวังตัวเล็กน้อยขณะมองลู่เซิ่งที่นั่งดื่มชาอยู่หลังโต๊ะอย่างจริงจัง
“ความจริงข้ามีความลับอย่างหนึ่งที่ไม่เคยบอกกับท่าน” นางผุดสีหน้าร้อนรน หัวสมองสับสนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
“ความจริงข้าเองก็มีความลับที่ไม่เคยบอกเจ้าเหมือนกัน” ลู่เซิ่งยิ้มๆ พร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ลู่หงเย่งุนงง ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้
“เจ้าบอกก่อนเถอะ”
“ท่านบอกก่อนเลย”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
รอจนได้สติกลับมา ทั้งสองก็รู้สึกขบขันอยู่บ้าง จากนั้นลู่เซิ่งก็ผายมือให้ลูกสาวนั่งลง
“เอางั้นก็ได้ ข้าขอพูดก่อนก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งเอื้อมมือไปหยิกใบหน้ารูปไข่ของลูกสาว “ความจริงพ่อเจ้าไม่ใช่พ่อค้าวัตถุโบราณธรรมดาๆ หลังจากแผนการอีกแผนหนึ่งของข้าสำเร็จไปมากกว่าครึ่งในช่วงก่อน ข้าก็ได้ใคร่ครวญดู เจ้าเองน่าจะมีความสามารถในการรับความกระทบกระเทือนระดับหนึ่งได้แล้ว ข้าเลยคิดจะบอกความจริงกับเจ้า” ลู่เซิ่งถอนใจ
“ความจริง…สิ่งที่ข้าอยากบอกท่านพ่อก็คือ ข้าไม่ใช่บัณฑิตสาวธรรมดาๆ เหมือนกัน…” ลู่หงเย่เอ่ยอย่างอดไม่ไหว
ทั้งสองนิ่งไป จ้องตากันไปมา
“เจ้าพูดก่อนเลย” ลู่เซิ่งผายมือพลางกล่าว
ลู่หงเย่พยักหน้ากัดฟัน
“ความจริง สถานะที่แท้จริงของข้าคือเจ้าหญิงสายเลือดราชามังกรแห่งเผ่ามังกรทอง! ตอนนี้กำลังต่อสู้และพยายามเพื่อช่วยเผ่ามังกรทองต้านทานการรุกรานจากเผ่ามังกรนิลอยู่! เมื่อวานตอนบ่ายหลังจากทำการบ้านเสร็จ ข้าออกไปช่วยงานที่ถ้ำมังกรทอง ถ้าข้าไม่เร่งมือ ผลลัพธ์จะเลวร้ายจริงๆ!”
ลู่เซิ่งมองหงเย่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าอนุญาตให้เจ้าออกไปช่วยเผ่ามังกรทองหลังจากฝึกพิณตอนเช้าเสร็จ แต่ห้ามกลับบ้านเกินห้าทุ่ม ตกลงไหม”
น้ำเสียงที่เหมือนหยอกล้อเด็กทำให้ลู่หงเย่อึ้งไป ดูเหมือนท่านพ่อจะไม่ได้ถือคำพูดของนางเป็นจริงเป็นจัง
“ข้า…ข้าพูดจริงๆ นะ!” นางโต้แย้ง
“ข้ารู้แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
แต่กลับไม่มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดอย่างที่คนธรรมดาพึงมีแม้แต่น้อย
“ถ้านี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการพูด อย่างนั้นก็ถึงคราวข้าพูดบ้างแล้ว” ลู่เซิ่งดื่มชาร้อน ก่อนจะผ่อนลมหายใจอุ่นร้อนออกมา
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าอาจจะไปประชุมกับราชาแห่งแสงสว่างซึ่งเป็นเทพองค์หลักของระบบเทพแสงสว่าง อาจจะมากินข้าวเย็นไม่ทัน ถ้าเจ้ารีบก็กินไปก่อนเลย จริงสิ ตอนออกไปช่วยเผ่ามังกรทอง อย่าลืมเอากระติกน้ำร้อนไปด้วย ข้าจำได้ว่าอีกไม่กี่วันประจำเดือนเจ้าจะมาแล้ว ดื่มน้ำร้อนเยอะๆ จะมีผลดีต่อร่างกาย แล้วถ้าเทพแห่งเงามาหาข้า ให้เจ้าบอกว่าข้าไม่อยู่…”
“เดี๋ยวสิ…รอเดี๋ยว!” ลู่หงเย่อ้าปากตาค้าง “ท่านพ่อ ข้าพูดความจริงกับท่านอยู่นะ!”
“ข้าก็พูดความจริงเหมือนกัน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะคะ!” ลู่หงเย่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะ ขึ้นเสียงสูง ผุดสีหน้าน้อยใจกว่าเดิม
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนชอบล้อเล่น” ลู่เซิ่งกล่าวพลางพยักหน้า
“…”
“นอกจากนี้…” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ชะงักไป “เอ่อ มีแขกมาพอดี เจ้าอยู่ดูเถอะ ข้าขี้เกียจอธิบายเยอะ”
เขาพลันปรบมือ
ไม่นานนัก ประตูใหญ่ด้านล่างคฤหาสน์ก็มีเสียงพูดของพ่อบ้านแฮงค์ดังมา เหมือนกำลังต้อนรับแขกอยู่
สักพักประตูห้องสมุดก็ถูกเปิด
ชายหญิงที่แต่งตัวแบบพวกศิลปินร็อกสุดขั้วสามคนซึ่งไว้ผมเพียงครึ่งเดียวและสวมเสื้อหนังสีดำที่มีโซ่แขวนอยู่เต็มไปหมดทยอยเข้ามา
“ราชาแห่งประกายรุ้งที่เคารพ ข้าคือเกอเธ่เทพแห่งศิลปะ” ผู้ชายที่เจาะปากเอ่ยเสียงดัง
“ส่วนข้าคืออัลนี เทพแห่งการเก็บเกี่ยว!” ผู้หญิงที่เจาะจมูกและใบหน้าเหมือนโดนทุบจนบวมส่งเสียงดัง
“ข้าคือคามันน์เทพแห่งพายุ!” ชายที่ไว้ทรงผมโมฮอว์กและทาตาดำคล้ำคนสุดท้ายเอ่ยเสียงดัง
“สวัสดี ข้าคือราชาแห่งประกายรุ้ง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ครั้งนี้ที่เรียกพวกเจ้ามา เป็นเพราะข้ามีแผนการหนึ่ง ต้องการให้ขุมกำลังของพวกเจ้าสามคนร่วมมือด้วย เรื่องนี้ข้ากับเทพหลักองค์อื่นๆ ได้ปรึกษากันแล้ว นอกจากรายละเอียด…”
“ท่านพ่อ!” ยังพูดไม่ทันจบ ทั้งสี่ก็เห็นลู่หงเย่ที่อยู่ด้านข้างจ้องมองลู่เซิ่งอย่างเจ็บปวดพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า
“ไม่เจอกันแค่เดี๋ยวเดียว…ทำไมท่านพ่อ…ทำไมท่านพ่อถึง…กลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ!?”
นางลุกขึ้นและเดินไปถึงข้างกายลู่เซิ่งทีละก้าว
“ข้าไม่ดีเอง…ช่วงนี้ข้าสนใจแต่ตัวเองเกินไป เลยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของท่าน! ข้าไม่ดีเองค่ะ…ข้า…”
นางสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ไม่อาจบรรยาย
ไม่เจอกันแค่เดี๋ยวเดียว ท่านพ่อกลับเปลี่ยนไปแล้ว…
ลู่หงเย่ไม่รู้ว่าเผ่ามังกรทองมียาที่เอาไว้รักษาโรคทางสมองหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยท่านพ่อกลับมาให้ได้!
เขายังหนุ่มแน่น! ยังเหลือช่วงชีวิตอีกยาวนาน!
ลู่เซิ่งกับเทพทั้งสามมองนางร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลอย่างเอือมระอา
“ขออภัย…” ลู่เซิ่งลูบผมของลูกสาวตัวเองเบาๆ “ช่วงนี้ลูกสาวข้าอาจเคร่งเครียดเกินไป ก็เลยอ่อนไหวไปบ้าง เรื่องนี้อีกเดี๋ยวผู้ช่วยของข้าจะคุยรายละเอียดกับพวกเจ้าเอง ขอโทษที ข้าต้องปลอบนางก่อน”
“ไม่เป็นไรๆ ในฐานะเทพองค์หลัก การรบกวนเวลาของท่านก็ถือเป็นบาปของพวกเราแล้ว”
เทพระดับกลางทั้งสามองค์ไม่ได้คิดอะไรมาก ในฐานะเทพซึ่งอายุขัยแทบไร้สิ้นสุด แค่เสียเวลาไปเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือเป็นปัญหาอะไรเลย
“ท่านจัดการธุระเถอะ พวกเราขอตัวก่อน”
ไม่นานเทพทั้งสามก็ทยอยออกจากห้องสมุด เมื่ออยู่ที่นี่ พวกเขาไม่มีใครใช้พลังเทพ นี่เป็นการแสดงความเคารพและความยำเกรงต่อลู่เซิ่งที่อยู่ในระดับเทพองค์หลัก
รอจนทั้งสามจากไปแล้ว ลู่เซิ่งก็ดันลูกสาวที่ร้องไห้จนหน้าเปียกปอนออกจากร่างตัวเอง
“เจ้าร้องไห้ทำไมเนี่ย” เขาจนปัญญาเล็กน้อย “ความจริงข้าอยากจะบอกความลับนี้กับเจ้ามานานแล้ว แต่เป็นเพราะกลัวลูกจะรับไม่ได้ ก็เลยปิดบังมาโดยตลอด เพียงแต่มาถึงช่วงเวลาสำคัญอย่างในตอนนี้ มีบางเรื่องที่ถึงขั้นจำเป็นต้องพูดแล้ว ข้าก็เลยพึ่งได้…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” ลู่หงเย่เจ็บปวดใจ “ต่อจากนี้…ต่อจากนี้ข้าไม่สนใจเผ่ามังกรทองอะไรอีกแล้ว! ข้าไม่เป็นเจ้าหญิงมังกรทองแล้วก็ได้! ข้าอยากให้ท่านกลับเป็นปกติ!”
“ข้าปกติดีมาตลอดน่า” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหมดคำพูด “ความจริง ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าติดต่อกับเผ่ามังกรทอง เพียงแต่ข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้ เลยส่งคนไปคอยสังเกตการณ์และปกป้องเจ้า เพียงแต่ภายหลังนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความก้าวหน้าของข้าก็มีสภาพการณ์แตกต่างจากเดิมเหมือนกัน ดังนั้น…”
“แต่…แต่ว่า…” ลู่หงเย่น้ำตาคลอหน่วย เริ่มลังเลบ้างแล้ว
“ความจริงข้ารู้กิจกรรต่อจากนี้ของเจ้ากับเผ่ามังกรทองทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามเท่านั้น” ลู่เซิ่งถอนใจ
“ความจริง ความคิดแรกของข้าคือให้เจ้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์และฝึกฝนสักหน่อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า…”
เขาเอ่ยต่อ “เอาล่ะ ในเมื่อพูดถึงตรงนี้ เจ้าไม่เชื่อสถานะที่แท้จริงของข้าใช่ไหม งั้นข้าจะสาธิตให้เจ้าดูก็แล้วกัน”
“สาธิตหรือ” ครั้นลู่หงเย่ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นได้ยินว่าลู่เซิ่งคิดจะสาธิตจริงๆ นางก็ตกใจ
“ท่าน…ท่านคิดจะสาธิตอะไร” นางพลันเกิดความรู้สึกสั่นกลัว
จากนั้นไม่นาน นางก็เห็นลู่เซิ่งหยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาฟันใส่แขนตัวเอง
“อย่านะคะ! ท่านพ่ออย่าคิดสั้น! อย่าคิดสั้นเด็ดขาดนะ!” นางพลันพุ่งไปเกาะมือของลู่เซิ่งและกรีดร้อง รอบนี้ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก
“ท่านพ่อ ข้าเชื่อท่าน ข้าเชื่อท่านแล้ว อย่าคิดสั้นเลยนะ!” นางปล่อยให้น้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“เจ้านี่มันยุ่งจริงๆ…” ลู่เซิ่งหมดคำพูด ตอนแรกเขาจะสาธิตความสามารถงอกแขนของตัวเอง แต่นึกไม่ถึง…
“ช่างเถอะ ข้าจะสาธิตแก่นสารของพลังเทพให้เจ้าดูก็แล้วกัน”
เขาได้แต่เปลี่ยนเป็นวิธีที่เบาลงด้วยความจนปัญญา อย่างไรการควบคุมเวทมนตร์ประเภทธาตุทั่วไป จอมเวทธรรมดาๆ ก็ทำได้ หากคิดจะสาธิตย่อมต้องสร้างปาฏิหาริย์โดดเด่นที่คนธรรมดาทำไม่ได้
“ท่านรับปากข้าก่อนว่าจะไม่ใช้ดาบแล้ว!”
“รับปากๆ!”
หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้าเสร็จ ลู่หงเย่จึงค่อยปล่อยลู่เซิ่ง
“ข้าได้สร้างมนตราคาถาเทพเก้าสิบเก้าชนิดขึ้นมา หลังจากฝึกฝนสำเร็จก็มีอานุภาพไร้สิ้นสุด ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้สารพัด ไม่ว่าจะใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีปัญหาแบบใด ต่างก็มีอานุภาพไม่ธรรมดาทั้งสิ้น” พอลู่เซิ่งพูดถึงการฝึกฝน สีหน้าก็พลันจริงจังขึ้นมา
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็โบกมือไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า
หมอกสีแดงอมดำพร่ามัวผืนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น แล้วรวมตัวกันกลายเป็นก้อนกลมที่เหมือนกับลูกแก้วสีสันประหลาดหลายกลุ่ม
“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง อย่าเห็นว่าลูกแก้วเล็กๆ พวกนี้มีโครงสร้างเรียบง่ายหรือสร้างได้ง่าย แต่ละเม็ดต่างก็ระเบิดเมืองแสงอรุณได้ทั้งสิ้น” ลูเซิ่งชี้ลูกแก้วเม็ดหนึ่งในนี้พลางกล่าวอย่างเรียบเฉย
พอเขาลงมือจริงๆ ลู่หงเย่ก็พลันตาค้าง
“นี่…นี่มันเป็นความจริงหรือ!” สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ด้วยสายเลือดของราชวงศ์มังกรทอง ตอนที่เห็นลูกแก้วแสนธรรมดาๆ เหล่านี้ ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพลังที่บรรจุอยู่ด้านในแข็งแกร่งขนาดไหน
“เจ้าดูนี่! ยังมีนี่อีก!”
ต่อจากนั้นลู่เซิ่งก็สาธิตความสามารถพลังเทพที่แตกต่างกันหลายอย่างให้นางดู
เวลาผ่านไป…
จนกระทั่งออกมาจากห้องสมุดตอนบ่าย ลู่หงเย่ก็ยังคงเวียนศีรษะอยู่
“ราชินี! องค์ราชินี! ท่านไม่เป็นไรนะเพคะ!” กิ้งก่าน้อยสีทองแนนนี่บินเข้ามาจากซอกหน้าต่าง ก่อนจะบินวนรอบตัวนางหลายรอบ
“ไม่…ไม่เป็นไร…” ลู่หงเย่มองแนนนี่อย่างเฉยชา “ข้าแค่รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย”
นี่เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่งกลับบ้าน แล้วพ่อของตัวเองบอกว่าสถานะที่แท้จริงของเขาคือเทพผู้สร้างโลก ความจริงแม่เป็นเทพธิดาแห่งสวรรค์ สงครามใหญ่บนโลกเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการทะเลาะกันในบ้านเพราะแม่ทำทัพพีตักข้าวตกโดยไม่ได้ตั้งใจ
แรงสั่นสะเทือนต่อโลกทัศน์นี้ได้ทำให้ลู่หงเย่ยังคงหัวสมองขาวโพลนแม้จะดึกดื่นแล้วก็ตาม
“แย่แล้วๆๆ! เผ่ามังกรนิลส่งกำลังหลักมาแล้ว! ใกล้ถึงถ้ำมังกรของราชวงศ์มังกรทองเต็มที! องค์ราชินีรีบคิดหาวิธีเถอะขอรับ! พวกผู้อาวุโสใกล้จะต้านไม่ไหวแล้ว!” อยู่ๆ มังกรทองตัวอ้วนขนาดเล็กตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากหน้าต่างพร้อมกับร้องเสียงดัง
“อะไรนะ!” ลู่หงเย่ตื่นตัว ลุกพรวดขึ้น
“รีบไปเร็ว! ไปที่ดินแดนมาตุภูมิก่อน!” นางลากมังกรน้อยโถมตัวออกจากหน้าต่าง แล้วเหยียบอากาศพุ่งออกไปไกล “ไม่ว่าจะยังไง จะให้ดินแดนมาตุภูมิหายไปไม่ได้เด็ดขาด!”
……………………………………….