ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 747 หวนกลับ (1)
‘ปรากฏการณ์เช่นนี้…จำได้ว่าคัมภีร์โบราณเหมือนจะเคยพูดถึงอยู่…’
ลู่เซิ่งมองประตูใหญ่ตรงหน้า สมองนึกเชื่อมโยงถึงบันทึกที่เคยอ่านในห้องสมุดของนครตราชั่ง
‘นี่คือ…การรุกรานโลกหรือ’
โลกมารสวรรค์มักสร้างพายุคาวเลือดหยาดฝนโลหิตบนโลกใบอื่นๆ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของประตูแห่งโลกาที่มีความพิเศษแบบนี้มาก
ลู่เซิ่งเคยอ่านบันทึกที่มีความคล้ายกันซึ่งบอกว่า ตอนที่โลกพบเจอการบุกรุก ประตูแห่งโลกาจะปรากฏการแจ้งเตือนคล้ายๆ กันนี้
‘น่าสนใจ…ใครกันหนอกล้าบุกโลกมารสวรรค์…’ ในโลกทั้งหมดที่ลู่เซิ่งรู้จักตอนนี้และพานพบมาแม้โลกมารสวรรค์จะไม่ใช่โลกที่มีระดับพลังสูงสุด แต่ก็ถือเป็นโลกไม่กี่ใบที่อยู่ในระดับสุดยอด
ผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตมายาพิศวงแทบทุกคนล้วนเป็นบุคคลระดับราชันที่สร้างความวุ่นวายให้แก่โลกใบอื่นๆ ได้ ตอนนี้ถึงกับมีคนกล้าเหยียบเข้าบ้านของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่
ลู่เซิ่งเกิดความสนใจทันที ‘กลับไปก่อนค่อยว่ากัน’
เขาทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนป้อมปราการอย่างช่ำชอง
นี่เป็นสัญลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสอง จะส่งสัญญาณโดยอัตโนมัติเพื่อแสดงถึงสภาพของตัวเองทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจะจัดการปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับป้อมปราการได้ทันเวลา
เขาไม่อยากจะกลับไป แล้วพอกลับมาอีกครั้ง ป้อมปราการก็ถูกทำลายเพราะอุบัติเหตุบางอย่าง
หลังจากติดตั้งสัญญาณระหว่างโลกเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็มองประตูแห่งโลกาด้านหน้าอีกรอบ ในที่สุดก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
ซู่…
ด้านหน้าเปลี่ยนแปลงพร่ามัว พริบตาเดียวเขาก็เข้าไปในเส้นทางสีแดงเลือดที่หมุนวนเป็นเกลียวสายหนึ่ง
บินตามเส้นทางไปด้านหน้า ไม่ถึงสิบวินาที เขาก็พุ่งออกจากเส้นทางสีเลือดเหมือนกับโผล่พ้นผิวน้ำ
ด้านหน้าเปิดกว้างโดยพลัน
เพดานโลหะสีดำที่เต็มไปด้วยวงจร มีอากาศที่ให้ความรู้สึกหล่อลื่นมันมะเมื่อมดั่งโลหะจางๆ ไหลเวียนอยู่
ตอนที่ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ตนเองก็ยืนอยู่ในห้องโลหะสีดำไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่งแล้ว พื้นเต็มไปด้วยค่ายกลข้ามมิติอันเป็นประตูแห่งโลกาที่สลักลวดลายไว้เต็มไปหมด
เขาหันไปมองด้านหลัง แล้วใช้จิตควบคุมให้ประตูแห่งโลกาสีแดงเลือดหดจากขนาดเท่าหนึ่งคนครึ่งเหลือขนาดเท่าปลายเข็ม รักษาการเชื่อมต่ออ่อนๆ กับโลกป้อมปราการไว้เพื่อสะดวกในการส่งข่าวสารเท่านั้น
พอจัดการทุกอย่างนี้เสร็จ ลู่เซิ่งก็ตรวจสอบความสมบูรณ์ของค่ายกลรอบๆ อย่างรวดเร็ว
อีกสักครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ มีคนคอยซ่อมบำรุงค่ายกลอยู่ตลอด จึงไม่เสียหายหรือเสื่อมสภาพแม้แต่น้อย
‘การไปโลกมังกรสีรุ้งในครั้งนี้ใช้เวลานานเหลือเกิน เจออะไรมากมาย ราวกับไม่ได้ไปแค่สิบกว่าปี แต่เหมือนไปหลายร้อยปีมากกว่า…’ เขาพิจารณาห้องข้ามมิติ มีความรู้สึกคุ้นเคยแต่ก็เหินห่าง
เปรี้ยง!
อยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกชนเปิด เด็กผู้ชายอ่อนแอเจ้าของผมสั้นสีทองเข้มคนหนึ่งอุ้มอุปกรณ์พะรุงพะรังกล่องหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง
“ทัวหลัน เกิดเรื่องอีกแล้ว รีบเอาวัสดุมาให้ข้าเร็ว!” เด็กผู้ชายหันกลับไปตะโกนหลังพุ่งเข้ามา
“รู้แล้ว!”
เสียงของทัวหลันปาเฮ่อดังมาจากห้องที่อยู่ไกลๆ
ครั้นลู่เซิ่งเห็นเขา ค่อยนึกออกว่าตนอยู่ที่ไหน
เขาอยู่บนเรือเหาะของตัวเอง
ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าบันไซ เป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่ลู่เซิ่งค้นพบความอัจฉริยะของเขาและชวนเป็นพวก
อีกคนหนึ่งยังมีทัวหลันปาเฮ่อเด็กสาวรับใช้ที่เขาเก็บได้
เดิมทีบันไซกำลังกินข้าวอยู่ พลันได้ยินเสียงแจ้งเตือนเสียดหูดังมาจากค่ายกล จึงรีบอุ้มอุปกรณ์พุ่งเข้ามา ช่วงนี้เขาเจอเรื่องแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ทุกๆ ครั้งเพียงซ่อมแซมก็แก้ไขปัญหาได้
ด้วยระดับค่ายกลของเขา แม้ค่ายกลข้ามโลกจะซับซ้อน แต่ก็ใช่ว่าจะปรับให้เรียบง่ายไม่ได้
ทว่าครั้งนี้ ตอนเขาอุ้มกล่องอุปกรณ์พุ่งเข้าค่ายกลมา กลับยืนงงอยู่กับที่
ประตูแห่งโลกาสีแดงเข้มเปิดออกตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ ทั้งยังเหลือรูเล็กๆ ขนาดเท่าปลายเข็มลอยอยู่กลางอากาศ
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่มีรูปร่างล่ำบึกและเครื่องหน้าหล่อเหลายืนอยู่ด้านหน้ารูประตูบานเล็ก
ทั้งสองจ้องตากัน ไม่นานบันไซก็รู้สึกตัว
“จ๊าก!” สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน กรีดร้องเสียงดัง
“ท่านๆๆๆ!” กล่องอุปกรณ์ในมือเขาหล่นโครมลงพื้น ส่วนตัวเขาก็ร้องโวยวายอย่างสับสน
ลู่เซิ่งเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงโวยวายขนาดนี้ อย่างไรเวลาของโลกมังกรสีรุ้งก็มีความเร็วที่หนึ่งต่อหนึ่งร้อยห้าสิบ
เขาอยู่ที่นั่นเกือบยี่สิบกว่าปี เมื่อแปลงค่าดู ที่นี่ก็ผ่านไปสองเดือนกว่าๆ แล้ว
อีกสักพัก เด็กสาวผมขาวที่อุ้มกล่องวัสดุขนาดเท่ากันคนหนึ่งก็ผลุนผลันพุ่งเข้ามาในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น!?” ทัวหลันปาเฮ่อเพิ่งจะถาม ก็เห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในค่ายกล
“อ้าว นายท่าน ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ” สีหน้านางสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้มืออุดปากบันไซที่ร้องเอะอะไว้ จากนั้นก็คุกเข่าทำความเคารพลู่เซิ่งอย่างนอบน้อม
“ข้าไปนานขนาดไหน” ลู่เซิ่งถาม
“หลังจากท่านข้ามมิติเมื่อครั้งก่อน ก็ผ่านไปสองเดือนกับอีกเจ็ดวันแล้วเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อให้คำตอบที่แม่นยำอย่างรวดเร็ว
“ไม่เลว พวกเจ้าซ่อมค่ายกลไปก่อน จากนั้นไปรอข้าที่ห้องประชุม ข้ามีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำ” ลู่เซิ่งว่าพลางพยักหน้า
“เจ้าค่ะ!”
ลู่เซิ่งออกจากห้องค่ายกลและกลับห้องนอนของตัวเอง
สิ่งที่เขาได้จากการไปโลกมังกรสีรุ้งในครั้งนี้จะบอกว่าไม่เยอะไม่ได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่พลังอาวรณ์จำนวนมหาศาลก็ทำให้เขาพึงพอใจกับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
พลังอาวรณ์เกือบแปดสิบกว่าล้านหน่วยมากพอให้เขาเรียนรู้ขอบเขตถัดไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงระดับนี้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคือบุคคลระดับปรมาจารย์ในการสร้างวิชาของตัวเองแล้ว การฝึกฝนวรยุทธ์ตามแบบแผนไม่มีความคุ้มค่าอีกต่อไป
ลู่เซิ่งเดาว่า สิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ฝึกฝน น่าจะเป็นทิศทางในระดับที่สูงกว่าเดิมซึ่งแตกต่างจากวรยุทธ์ โดยใช้ทิศทางการฝึกฝนพัฒนาที่แตกต่างกันมาแบ่งระดับการฝึกฝนของตัวเอง
เหมือนกับวิทยาการบนโลกใบเดิมที่แบ่งออกเป็นยุคเครื่องมือ ยุคไอน้ำ ยุคไฟฟ้า และยุคข้อมูล
ผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงคนเดียวคือประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งเก็บของที่นำมาด้วยในครั้งนี้ไว้ในห้องนอนของตัวเอง อาวุธเทพที่นำมาด้วยชำรุดเสียหายไปเป็นส่วนใหญ่หลังจากการข้ามโลก
แสดงให้เห็นว่ากฎเกณฑ์ของโลกมารสวรรค์ไม่อาจประคับประคองโครงสร้างของอาวุธเทพพวกนี้ได้ พูดอีกอย่างก็คือ โครงสร้างวัตถุที่ก่อตัวบนโลกมังกรสีรุ้งได้ไม่อาจกลายเป็นรูปเป็นร่างได้เมื่ออยู่ในโลกมารสวรรค์
อาวุธเทพและอาวุธกึ่งเทพกองใหญ่ของลู่เซิ่งเหลือแค่สามชิ้นที่ยังอยู่ในสภาพดี แต่พลังเทพบนอาวุธสามชิ้นนี้ต่างกระจัดกระจายไปหมดแล้ว
โลกมารสวรรค์ไม่มีพลังเทพดำรงอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นอุปกรณ์ธรรมดาที่ค่อนข้างคมกว่าอาวุธทั่วไปเท่านั้น
‘สุดท้ายความเจริญรุ่งเรืองของมังกรสีรุ้งก็คงอยู่หลายปี ดีที่ถือว่าเราสะสางผลกรรมเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งสัมผัสจิตวิญญาณของตัวเอง จิตวิญญาณของมังกรสีรุ้งเมื่อก่อนหน้านี้ได้หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของตัวเองแล้วจริงๆ’
เพียงแต่เป็นเพราะพลังจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไป พลังวิญญาณของอีกฝ่ายจึงสัมผัสได้อย่างอ่อนจางยิ่ง เหมือนน้ำหยดหนึ่งรวมเข้ากับแม่น้ำใหญ่
แต่น้ำหยดนี้กลับมอบความรู้สึกเหมือนตัวเองสมบูรณ์ขึ้นให้กับเขา
ความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง
คาดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ดูดซับอีกสี่ห้ารอบ ก็จะไปถึงขีดจำกัดที่จิตวิญญาณรองรับได้ ถึงขั้นมีโอกาสข้ามสู่ขอบเขตต่อไปได้อัตโนมัติ อย่างไรขอบเขตที่สามของวัฏจักรลวงก็ไม่ยาก เพียงต้องการการสั่งสมที่มากพอเท่านั้น
‘จากนั้นก็เป็นผลลัพธ์อย่างที่สาม…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดเล็กน้อย เศษเนื้อนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นด้านหลัง นี่เหมือนกับเนื้อสับมากมายที่ถูกสับจนเละ
นี่เป็นเนื้อของร่างหลักที่เขากระจายไปยังห้วงอเวจี ยมโลกและมิติอื่น
เนื้อพวกนี้กินสารอาหารมากพอจากทุกสถานที่และได้กลายเป็นพลังงานสำรองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาไปแล้ว
มันสามารถทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งและคืนชีพได้ดียิ่งขึ้น
มารสวรรค์เป็นตัวตนอันน่ากลัวที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งถึงขีดสุด จึงควบคุมกายเนื้อที่แข็งแกร่งมากๆ ได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่เป็นเพราะเคยชินกับการข้ามโลกและการจุติ กอปรกับเห็นกายเนื้อเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คืนชีพและเปลี่ยนได้ทุกเวลา มารสวรรค์มายาพิศวงส่วนใหญ่จึงไม่มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งเกินไป
แต่เที่ยวนี้ ลู่เซิ่งได้ใช้ประโยชน์จากความพิเศษในกายเนื้อที่ตัวเองพัฒนาออกมา กลืนกินสารอาหารสำรองไปเป็นจำนวนมาก
เนื้อสับสีแดงเข้มกลายเป็นจานกลมและลอยอยู่ด้านหลังเขา
‘เนื้อกองนี้เรียกว่าฐานเลือดเนื้อก็แล้วกัน ใช้เป็นรากฐานสำหรับเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อของเราต่อจากนี้’
ฐานเลือดเนื้อนี้ดูดซับสิ่งมีชีวิตที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดในห้วงอเวจีและยมโลก รวมถึงสารอาหารมากมายจากมิติต่างๆ สุดท้ายจึงค่อยรวมตัวกันและเกิดขึ้นมา
หากเอามาปั้นกายเนื้อของลู่เซิ่ง จะปั้นได้หลายสิบครั้งอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าลู่เซิ่งย่อมไม่เอามาสร้างกายเนื้อง่ายๆ แค่นี้ เขาย่อมใช้ประโยชน์มากกว่านั้น
‘จากนั้นคือพลังฝึกปรือ…’ ลู่เซิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย
‘ดีปบลู’ เขานึกในใจ
ไม่นานกรอบสีฟ้าก็เด้งขึ้นด้านหน้า ลู่เซิ่งเพ่งสายตาที่กรอบใหม่สุดอย่างรวดเร็ว
[เคล็ดพันเทวะ: ระดับที่สิบเอ็ด (คุณสมบัติพิเศษ: กายอมตะพันเทวะ, ฐานเลือดเนื้อ, หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง, ประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์, อารยธรรมก้าวกระโดด]
‘ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขตที่สองของวัฏจักรลวง โลกรูปจิตในร่างสนับสนุนเรามากกว่าขอบเขตแรก หนำซ้ำวิญญาณของสามเผ่าพันธุ์ที่ใส่เข้าไปก่อนหน้านี้ยังมอบพลังที่ใช้ขยายโลกรูปจิตให้เราเป็นจำนวนมากด้วย เทียบกับขอบเขตแรกแล้ว ปราณปฐพีที่เราควบคุมได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเกือบหนึ่งเท่าตัว การควบคุมอย่างละเอียดต่อปราณปฐพีก็เพิ่มขึ้นขั้นหนึ่งเหมือนกัน ในโลกรูปจิตเองก็เริ่มสร้างกลไกวัฏจักรแล้ว…’
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของโลกรูปจิตมีผลดีอะไรกับตัวเองบ้าง แต่ว่ามันยิ่งสมบูรณ์เท่าไหร่ จิตใจของเขาก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบและพึงพอใจที่ไม่อาจอธิบายได้มากเท่านั้น
ทว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น เขายังไม่ได้สัมผัสกับผู้เข้มแข็งระดับเดียวกันมากนัก จึงไม่อาจทราบได้
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังมาจากด้านนอกอย่างฉับพลัน
“นายท่าน ด้านนอกมีผู้บำเพ็ญมาสองสามคนเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการมาเยี่ยมท่าน”
ทัวหลันปาเฮ่อเอ่ยขึ้นด้านนอกประตู
“ผู้บำเพ็ญหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง ที่นี่อยู่ในแถบอุกกาบาตแถบหนึ่งอันเป็นชายขอบอาณาเขตขุมกำลังของสำนักนทีคราม
แถบอุกกาบาตใช้ซ่อนตัวได้ไม่เลวมาโดยตลอด หนำซ้ำตนเพิ่งจะกลับมา ผู้บำเพ็ญพวกนี้พบเขาได้อย่างไร
“คนของสำนักนทีครามหรือ” เขาส่งเสียงถาม
“เจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อตอบ
“งั้นก็ไปพบด้วยกันเถอะ” ลู่เซิ่งครุ่นคิด ก่อนจะเก็บฐานเลือดเนื้อและลุกไปเปิดประตู
ทัวหลันปาเฮ่อติดตามอยู่ด้านหลังเขา ทั้งสองมาถึงหน้าต่างสังเกตการณ์ของเรือเหาะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นคนสวมชุดคลุมสีขาวสามคน บนร่างคนสวมชุดคลุมสีขาวทั้งสามคนมีสัญลักษณ์สำนักนทีครามอันเป็นใบไตรบรรณ[1]ติดอยู่
ผู้นำเป็นผู้บำเพ็ญหญิงที่มีรูปลักษณ์หมดจดและบุคลิกอบอุ่น ผมดำของนางระอยู่บนบ่า ปากเล็กสีแดง ดวงตาแวววาวดั่งสายน้ำฤดูสารท ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีอย่างไม่รู้ตัว
……………………………………….
[1] ไตรบรรณ คือ หญ้าแฌมร็อค มีลักษณ์คล้ายกับใบโคเวอร์ แต่มีใบแค่สามใบ