ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 75 เรื่องราวที่บ้าน (1)
กลับถึงเรือวาฬแดงพร้อมกับพวกประมุขพรรคเฒ่า ลู่เซิ่งดูแลตัวเอง รับประทานโอสถขับเลือดคั่งไปหลายเม็ด รักษาตัวอีกสองวัน อาการบาดเจ็บภายในก็ดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน
หลังอาการบาดเจ็บหายดี ประมุขพรรคเฒ่าก็จัดหาผู้ช่วยมาให้ลู่เซิ่งทันที
ผู้ช่วยที่ประมุขพรรคจัดหาให้เขา เป็นบุรุษหนุ่มบุคลิกอ่อนโยนคล้ายสตรี งดงามเกินบรรยาย
คนผู้นี้มีฉายาว่าอวี้เหลียนจื่อ (บัวหยก) เคยเป็นนักพรต อายุยังน้อย แก่กว่าลู่เซิ่งสี่ปี
พึงทราบว่าลู่เซิ่งในตอนนี้อายุยี่สิบ อวี้เหลียนจื่อผู้นี้เพิ่งยี่สิบสี่ คนผู้นี้มีความสามารถยอดเยี่ยม เชี่ยวชาญอาวุธลับกระสุนเหล็ก เป็นเพราะตอนประลองกับคนเคยใช้กระสุนเหล็กซัดออกไปเป็นรูปดอกบัวด้วยมือเดียว จึงได้ฉายาว่าอวี้เหลียนจื่อ
ในหอสุราสันติสุขทอง
คนสองคนนั่งในห้องอักษรฟ้าที่อยู่สูงสุด อวี้เหลียนจื่อใส่เสื้อสีขาว มัดผ้าสีขาวบนศีรษะ ผมยาวถึงเอว ใบหน้างดงามกว่าสตรี ผิวขาวราวหิมะเป็นสีขาวเรืองอันอ่อนโยนในเส้นแสงของห้อง
ลู่เซิ่งพิจารณาคนผู้นี้อย่างสนใจ กล่าวตามจริง นอกจากคนประเภทนี้ที่เคยเห็นบนอินเตอร์เน็ตในโลกเดิมแล้ว เพิ่งเห็นบุรุษที่งามกว่าสตรีระดับนี้ในความเป็นจริงเป็นครั้งแรก
ถ้าไม่ใช่เห็นลูกกระเดือกของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน คงจะนึกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีแต่งตัวเป็นบุรุษจริงๆ
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกมองพอแล้วกระมัง” อวี้เหลียนจื่อจัดแจงเสื้อผ้านั่งตัวตรง สีหน้าไร้อารมณ์
คำเรียกหาอย่างเป็นทางการต่อผู้จัดการภารกิจภายนอกและภายในของพรรควาฬแดงความจริงคือหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก
“ขออภัย เพิ่งเคยเห็นบุรุษที่งดงามอย่างพี่อวี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงเหม่อไป ขออภัยๆ” ลู่เซิ่งยิ้ม ในสถานการณ์ปกติเขายังเป็นคนนุ่มนวล
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เป็นมาแต่เด็กแล้ว” อวี้เหลียนจื่อตอบราบเรียบ
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาเห็นประวัติอีกฝ่ายมาแล้ว มีความงามเป็นชื่อเสียงตั้งแต่เด็กมาก เกือบถูกคนขายไปเป็นนายบำเรอ ภายหลังประมุขพรรคเฒ่าช่วยไว้ พาเขาเข้าพรรควาฬแดง เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนโต นับเป็นผู้รู้ใจของประมุขพรรค
“เช่นนั้นพวกเรามาดูเรื่องยุ่งยากที่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกต้องจัดการในตอนนี้กัน” อวี้เหลียนจื่อหยิบกระดาษเปลือกหม่อนม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ คลี่ออกเบาๆ
“เรื่องแรก ตอนนี้เมืองเลียบคีรีอยู่ในการดูแลของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกโดยสมบูรณ์ ข้อนี้ประมุขพรรคเฒ่ายืนยันแล้ว ท่าเรือเขาบูรพา หนึ่งในสามท่าเรือที่พวกเราต้องดูแล เมื่อวานเกิดคดีชิงทรัพย์ติดต่อกัน ที่ว่าการขุนนางตรวจสอบไม่ได้ความ ขอให้พวกเราไปช่วยจับคน”
“เรื่องนี้ให้ท่านจัดการเถอะ พวกเรามีคนสำคัญไม่มาก ให้โถงอินทรีเหินไปกระทำ” ลู่เซิ่งสั่งการอย่างเป็นกันเอง
“โถงอินทรีเหินเคยเป็นขุมกำลังของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกอู๋ซาน เป็นคนสนิทที่เขาชุบเลี้ยงด้วยตัวเอง หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ไม่คิดยึดอำนาจหรือ” อวี้เหลียนจื่อประหลาดใจอยู่บ้าง
“ยึดอำนาจอันใด พวกเขาแค่ฟังคำสั่งก็พอแล้ว” ลู่เซิ่งโบกมือ
“ก็ได้ เรื่องที่สองคือทางชุมนุมเขาบูรพาเกิดเรื่องเล็กน้อย บุตรของผู้จุดธูปคนหนึ่งของพวกเขาถูกจับเพราะไปอาละวาดในบ่อนของพวกเรา ตอนนี้ถูกคุมตัวอยู่ เป็นฝีมือของคนจากโถงอินทรีเหิน” อวี้เหลียนจื่อกล่าวต่อ
“ให้คนของโถงอินทรีเหินจัดการเอง นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาก่อขึ้นมาเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“คนของโถงอินทรีเหินไม่สนใจ นอกเสียจากชดใช้ด้วยเงินทอง ไม่อย่างนั้นก็ต้องตัดมือ” อวี้เหลียนจื่อกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เด็กน้อยนั่นเสียไปเท่าใด” ลู่เซิ่งถาม
“สองคืนเสียไปสิบหมื่นตำลึง”
“หา?” ลู่เซิ่งตกตะลึง
สิบหมื่นตำลึง!
นี่มันอะไรกัน เงินหนึ่งตำลึงเท่ากับกำลังซื้อหนึ่งพันหยวน สิบหมื่นตำลึงเท่ากับร้อยล้าน!
สองคืนเสียไปร้อยล้าน?!
“เด็กผู้นั้นคิดว่าตัวเองถูกคนโกง ดังนั้นเป็นตายไม่ยอมจ่ายเงิน” อวี้เหลียนจื่อกล่าวต่อ “ยังมี เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ท่านลงมือกับกงซุนจางหลาน”
ลู่เซิ่งใจเย็นลง หยีตา
“น่าสนใจ เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ โถงอินทรีเหินถึงกับไม่แจ้งข้าก่อน เหอะ น่าสนใจ”
“แม้โถงอินทรีเหินจะสังกัดพรรควาฬแดงของพวกเรา แต่ความจริงเป็นขุมกำลังที่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกอู๋ซานสร้างขึ้นมากับมือ ไม่เชื่อฟังบ้างถือว่าปกติยิ่ง” อวี้เหลียนจื่ออธิบาย
“ข้าไม่ต้องการคนไม่เชื่อฟัง ข้าเพียงต้องการคนฟังคำสั่ง” ลู่เซิ่งยืนขึ้นมองอวี้เหลียนจื่อ “โถงอินทรีเหินทั้งหมดสิบสามคน แต่ละคนเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดของพลังปลอดโปร่ง ท่านรับมือได้กี่คน”
อวี้เหลียนจื่อใคร่ครวญ แล้วค่อยๆ กล่าว “อย่างมากสุดหนึ่งคน พวกเขาไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา”
“มีผลประโยชน์ก็ฮุบไว้เอง พอเกิดเรื่องรับไม่ไหวค่อยนึกถึงข้าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก โถงอินทรีเหินนี้มีประโยชน์ใดกับข้า” ลู่เซิ่งเอามือไพล่หลังเดินพล่าน
“แต่ถ้าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลงมือกับพวกเขาโดยตรง รังแต่จะทำให้พี่น้องในพรรคหวาดกลัว หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกอู๋ซานเพิ่งตาย ยังตายเพราะส่วนรวมด้วย ท่านก็ลงมือกับคนใกล้ชิดของเขาแล้ว ไม่ว่าส่วนรวมหรือส่วนตัวล้วนไม่เหมาะสม”
“ข้าไม่กลัวที่จะทำให้คนหวาดกลัว ข้าแค่ต้องการคนฟังคำสั่ง” ลู่เซิ่งโบกมือ “พวกเราพรรควาฬแดงดึงดูดคนจำนวนมากให้เข้าร่วมได้ สาเหตุคืออะไร”
อวี้เหลียนจื่อพลันเข้าใจบ้างแล้ว ในดวงตาปรากฏความกระจ่าง
“เพราะชื่อพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง พลังแกร่งพอ ผลประโยชน์ก็ดีพอ”
“ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นมองอย่างไร ท่านจงประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ทุกคนได้รับรู้ คนในพรรคส่วนใหญ่ก็แค่ต้องการเหตุผลที่กล่อมตัวเองได้ คนมีแต่จะเชื่อสิ่งที่ตนต้องการเชื่อ” ลู่เซิ่งเอ่ย
อวี้เหลียนจื่อคิดดู พลันเข้าใจขึ้นบ้าง
เป็นเพราะอำนาจและผลประโยชน์ของพรรควาฬแดง ขอแค่พวกเขาไม่ทำให้ฟ้าพิโรธ ผู้คนโกรธแค้น การขู่ขวัญเล็กน้อยไม่มีความสำคัญเลย
วิธีการแบบนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนที่วรยุทธ์เหี้ยมหาญอย่างหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ใครมีข้อโต้แย้งก็ให้มาหาเขา ขอแค่ไม่ใช่กระทำแบบนี้ติดกัน ไม่ใครคิดเป็นปฏิปักษ์กับพรรคเพราะคนน้อยนิดอย่างโถงอินทรีเหิน
คิดข้อนี้กระจ่าง สายตาที่อวี้เหลียนจื่อมองลู่เซิ่งพลันไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนแรกเขาเพียงนึกว่าลูกพี่คนใหม่ผู้นี้เป็นคนที่ในหัวสมองมีแต่กล้ามเนื้อ ตอนนี้มองดูอีกครั้ง พลันรู้สึกล้ำลึกยากหยั่งคาดกว่าเดิม การควบคุมจิตใจที่ละเอียดอ่อนระดับนี้ ต่อให้เป็นนายผู้เฒ่าส่วนหนึ่งในที่ว่าการก็ไม่แน่ว่าจะมี
“เรื่องนี้จัดการเช่นนี้ ท่านจัดการให้เร็วแล้วมอบผลลัพธ์ให้ข้าก็พอ ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งถามต่อ
“ไม่มีแล้ว เรื่องอื่นข้าจัดการเองได้” อวี้เหลียนจื่อตอบอย่างราบเรียบ สะกดความรู้สึกในดวงตา
“เช่นนั้นมอบให้ท่านจัดการ ข้าจะกลับไปฝึกวิชาแล้ว” ลู่เซิ่งลุกขึ้นตบไหล่เขา ไม่รออีกฝ่ายพูด ก็ออกประตูไปอย่างรวดเร็ว
โถงอินทรีเหินขุมกำลังที่เคยอยู่ในมืออู๋ซาน ทนอยู่ในมือของลู่เซิ่งได้ไม่กี่วันก็ล่มสลาย
พวกเขาเดิมคิดจะจับกลุ่มตกลงเงื่อนไขกับลูกพี่คนใหม่ ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ในตอนนี้ พอลูกพี่คนใหม่มาก็แบ่งใหม่หมด
แต่ว่าหลังจากเรื่องแพ้พนันเงินในบ่อนชุมนุมเขาบูรพา เมื่อเผชิญหน้ากับชุมนุมเขาบูรพาขุมกำลังใหญ่แห่งแดนเหนือ พวกเขาก็ต้านไม่ไหวบ้างแล้ว
จะว่าไปก็บังเอิญนัก ผู้จุดธูปผู้นี้เพิ่งถูกเรียกมาจากภายนอก ยังไม่ทันแจ้งขุมกำลังที่เหลือ บุตรของเขาเป็นนักพนัน อดรนทนไม่ไหวไปเที่ยวที่บ่อน ผลคือพ่ายแพ้ยับเยิน ซ้ำยังถูกหลอก
รอจนทั้งสองฝ่ายพบเบื้องลึกของอีกฝ่าย ก็กำหนดสถานการณ์ได้แล้ว
โถงอินทรีเหินยันแรงกดดันจากชุมนุมเขาบูรพาไม่ไหว ได้แต่ขอให้ลู่เซิ่งช่วย ลู่เซิ่งออกหน้า ให้เด็กน้อยที่แพ้พนันคืนเงินที่แท้จริงคือสองสามพันตำลึง ก็จบเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
ชุมนุมเขาบูรพาทราบชื่อของเขา คนผู้นี้ฆ่ากงซุนจางหลาน ข่าวย่อมไม่อาจปิดบังได้ตลอด ระดับสูงแทบทั้งหมดในหนึ่งพรรคสองชุมนุมสามสำนักต่างทราบชื่อเสียงของลู่เซิ่งแล้ว
ดังนั้นชุมนุมเขาบูรพาจึงไว้หน้า ส่งของขวัญชดเชยมาขอโทษด้วยตัวเอง ผู้จุดธูปผู้นั้นส่งเงินห้าพันตำลึงมาให้ลู่เซิ่งด้วยตัวเอง นับเป็นการขออภัย
เรื่องเหล่านี้ต่างเป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจจริงๆ คือท่าทีของตระกูลกงซุนในตอนนี้
ตามข่าวที่ได้รับจากเส้นสาย จอมยุทธ์แห่งเมืองเลียบคีรีอย่างฟางจือต้ง ปกป้องจางฮุ่ยซูน้องสะใภ้ของตระกูลกงซุนลงใต้ มุ่งหน้าสู่จงหยวน
ระหว่างทางเขาให้ความคุ้มครองด้วยตัวเอง แต่ว่าคู่แค้นของกงซุนจางหลานที่รุดมาเพราะได้ยินข่าวมีไม่น้อย ยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งในนี้มีหลายคน คนระดับพลังปลอดโปร่งยิ่งมากกว่าหลายสิบคน ยอดฝีมือสำนักเล็กๆ จำนวนมากที่เคยถูกตระกูลกงซุนล่วงเกินและสะกดไว้ ต่างพากันถมหินลงบ่อ
แต่ก็ยังมีคนลงมือขัดขวางเพื่อเอาใจพรรควาฬแดงในตอนนี้
ลู่เซิ่งไม่สนใจจุดจบของสตรีนางนั้น ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อฟางจือต้งกล้ารับประกัน เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจลงมือด้วยตัวเอง เพราะไม่สอดคล้องกับหลักการกฎเกณฑ์ เบื้องหลังเขามีครอบครัว ถ้าแหกกฎนี้ ภายหลังคนอื่นๆ ก็เล่นงานครอบครัวของเขาได้อย่างเปิดเผยเช่นกัน
แต่เขาไม่ลงมือด้วยตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่อาจลงมือทางอ้อม
หลังจากโถงอินทรีเหินกลับมาเชื่อฟังคำสั่ง ลู่เซิ่งก็ส่งยอดฝีมือหลายคนไปรับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ไม่ต้องทำอย่างอื่น เพียงตรวจสอบจุดจบของจางฮุ่ยซูนั่น
เขาอ่านตำราฝึกวรยุทธ์อย่างสงบในเมืองเลียบคีรี
…
เปรี้ยง!
กระบองไม้หนาเท่าแขนข้างหนึ่งฟาดใส่ศีรษะลู่เซิ่งอย่างแรง หักดังแกร่ก
“ฮ่าๆๆ ! มาอีก!”
ลู่เซิ่งเปลือยร่างท่อนบน บนร่างอาบน้ำมันยาจางๆ ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ศีรษะโล้นส่องแสงแวววาว บนใบหน้าเป็นรอยยิ้มดุร้าย
ชายฉกรรจ์ถือกระบองหนาหลายคนอยู่ด้านข้าง ต่างก็เหนื่อยจนตาเหลือก
หลายคนฟาดอีกหลายที แต่แรงก็น้อยลงแล้ว
“เป็นอะไรๆ แต่ละคนไม่ได้กินข้าวหรือ?! หือ?” ลู่เซิ่งตวาดไม่พอใจ แรงแบบนี้จะมาเกาให้เขาหรือ
“ลูกพี่… พวกเราหมดแรงแล้วจริงๆ…” ต้วนเหมิ่งอันทำหน้าขื่นขม ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่พื้น คนเจ็ดแปดคนที่เหนื่อยจนเป็นลม นอนกองระเนระนาด ต่างเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำแข็งแรง
“เรียกข้าคุณชาย!” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ตบศีรษะต้วนเหมิ่งอันจนอีกฝ่ายเกือบก้นจ้ำเบ้า
“คุณชาย คุณชาย!” ต้วนเหมิ่งอันรีบเปลี่ยนคำเรียก ลูกพี่ของตัวเองนิสัยประหลาดนัก ชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าคุณชาย แต่เห็นท่าทางสูงส่งแบบนี้ของเขา ไหนเลยเหมือนคุณชายสุภาพอ่อนโยนเหล่านั้น
แน่นอนว่าคำพูดนี้เขาไม่กล้ากล่าวออกจากปาก ช่วงนี้คุณชายยิ่งมายิ่งใจร้อน ไม่ทราบเพราะอะไร อยู่ดีๆ ก็ตีคน ถึงไม่หนัก ทว่าจมูกเขียวหน้าบวมออกไปด้านนอกก็ขายหน้าไม่ใช่หรือ
“เรียกคนแรงเยอะที่มีชื่อเสียงเรียงนามจากสำนักสาขาในเมืองมาหมดแล้ว แต่พวกเขาไม่ไหวกันแล้ว…” ต้วนเหมิ่งอันโอดครวญอย่างจนใจ
ลู่เซิ่งไม่พอใจอยู่บ้าง เขาฝึกฝนวิชาโซ่เก้าสินธุมาครึ่งเดือนแล้วแต่ยังไม่ถึงระดับเบื้องต้นอย่างแท้จริง
ที่วิชาแข็งกร้าวนี้เดิน เป็นเส้นทางที่ใช้อาวุธไร้คมทุบร่างโดยแรง ตอนแรกหาคนแรงเยอะมาทุบตีร่างได้ไม่น้อย ผลลัพธ์เหมือนพอได้ แต่ตอนนี้อีกนิดเดียวจะฝึกถึงระดับเบื้องต้น กลับพบว่าคนแรงเยอะไม่พอใช้แล้ว
………………………………………….