ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 753 เมล็ดพันธุ์ (1)
ลู่เซิ่งเดินอาดๆ ขึ้นโรงน้ำชาแห่งหนึ่งโดยที่มือหนึ่งถือขนมอบไส้หวาน มือหนึ่งเช็ดกับเสื้อ
ชั้นหนึ่งของโรงน้ำชามีเฒ่าเคราขาวคนหนึ่งเล่านิทานอยู่ กำลังเล่าเรื่องปีศาจน้ำเต้าช่วยตัวนิ่ม
“เรื่องไร้สาระอะไรกันนี่!” ลู่เซิ่งฟังไปสักพักก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
เขาส่ายหน้าด้วยความจนปัญญาพร้อมกับพาบริวารทั้งสองคนขึ้นไปชั้นสอง แล้วหาที่นั่งติดหน้าต่างตามความเคยชิน
“ยกชาลิ้นนกกระจอกมาสองกา” ลู่เซิ่งมองฉากกันลมที่ตั้งไว้บนผนังที่อยู่ไม่ไกลออกไป บนนั้นเขียนราคาชาหลายชนิดเอาไว้ มีพวกขนมขบเคี้ยวอยู่ด้วย
“ขอรับนายท่าน” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วลงไปยกชาที่ชั้นล่าง
ลู่เซิ่งอาศัยจังหวะนี้พิจารณาลูกค้าในโรงน้ำชา
“หากถามว่าหาข่าวที่ใดฉับไวสุด ที่ต้าซ่งจะต้องเป็นโรงน้ำชาและเหลาสุรา” เขายิ้มพลางส่งกระแสเสียงบอกคนทั้งสอง
“อย่างไรพวกเราทั้งสองคนก็ไม่คุ้นนัก ทั้งหมดแล้วแต่นายท่านจะสั่งการ” หลี่ตงประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
หลี่ซีที่อยู่ด้านข้างรีบพยักหน้า
“ความจริงพวกท่านทั้งสองคนเป็นบรรพชนจากตระกูลของตัวเอง ครั้งนี้ตามข้ามาทำภารกิจ เพราะพิจารณาว่าพวกท่านทั้งสองคนออกปฏิบัติการด้านนอกมานาน มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม ดังนั้น ตั้งแต่นี้ไป หลังออกจากโรงน้ำชาแห่งนี้แล้ว พวกเราจะแยกย้ายกันตรวจสอบที่อยู่ของสำนักไตรอริยะอย่างละเอียด” ลู่เซิ่งอธิบาย
หลี่ตงกับหลี่ซีสบตากัน ต่างก็พอใจไม่น้อย แม้จอมมรรคาผู้นี้จะมีพลังเหนือกว่าพวกเขา แต่อย่างไรพวกเขาก็มีอายุมากกว่าอีกฝ่าย ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
เหมือนตอนที่เดินเล่นบนท้องถนนโดยไม่มีสาเหตุเมื่อก่อนหน้านี้ ชายชราเช่นพวกเขารู้สึกเสียเวลา
ลู่เซิ่งมองความอึดอัดของทั้งคู่ออก เลยถือโอกาสเปิดอกพูด
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แล้วแต่จอมมรรคาจะสั่งการ” หลี่ซีกล่าวอย่างจริงจัง
เวลานี้น้ำชาถูกยกมาแล้ว ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบน้ำชามากาหนึ่ง แล้วเทลงในจอกอย่างแผ่วเบา
น้ำชาสีเขียวอ่อนค่อยๆ ไหลลงไปในจอกตามแรงโน้มถ่วง จากนั้นก็หมุนตามเข็มนาฬิกา
ลู่เซิ่งเอานิ้วชี้แตะน้ำชาแล้วดีดเบาๆ
น้ำชาหยดหนึ่งพุ่งออกมา แล้วแบ่งเป็นสองหยดกลางอากาศโดยอัตโนมัติ ก่อนจะตกใส่หลังมือของหลี่ตงและ หลี่ซีอย่างแม่นยำ กลายเป็นตราประทับลวดลายหยดน้ำตาสีเขียวสองสาย
“ถ้าเจอปัญหาที่ยากจะจัดการ ให้กระจายตราประทับนี้ออกมาด้วยพลังยุทธ์ ข้าจะสัมผัสได้เอง” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบพระคุณจอมมรรคา!” ทั้งสองยินดี ทราบว่านี่เป็นวัตถุคุ้มครองชีวิตที่จอมมรรคามอบให้ พลันอารมณ์ดีขึ้นมาก
อย่างไรที่นี่ก็เป็นด้านในฐานทัพใหญ่ที่ศัตรูคอยควบคุม หากความแตกก็อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
“เอาล่ะ พวกท่านไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งโบกมือ
ทั้งสองพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นประสานมือให้เขา แล้วเดินตึกๆลงไปชั้นล่าง
เหลือเพียงลู่เซิ่งนั่งกินนั่งดื่มอยู่บนที่นั่งตามลำพัง
เขาดื่มน้ำชาธรรมดาราวกับดื่มสุราเลิศรส
ลูกค้าหลายโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ เห็นดังนั้นก็รู้สึกค่อนข้างน่าสนใจ
“พี่ใหญ่ท่านนี้ดื่มเก่งจริงๆ!” คุณชายวัยหนุ่มที่อยู่บนโต๊ะด้านข้างอดสัพยอกไม่ได้
ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ หากแต่ชูจอกไปทางอีกฝ่าย ก่อนจะดื่มต่อ
คุณชายวัยหนุ่มคนนั้นยกจอกกรอกน้ำชาเข้าปากเหมือนดื่มสุราเลียนแบบลู่เซิ่ง พลันรู้สึกสะใจ
รอจนเขาดื่มน้ำชาในจอกจนหมด ตอนที่เขามองลูกค้าโต๊ะนั้นอีกรอบ กลับเห็นแค่เหรียญหลายพวงวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น
“น่าสนุกจริงๆ!” เขาหัวเราะฮ่าๆ ไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจอีก หลังจากนั่งอีกสักพักก็ลุกขึ้นกลับบ้าน
วันต่อมา คุณชายวัยหนุ่มอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย จึงมาฆ่าเวลาที่โรงน้ำชาอีกรอบ พอดีกับที่เถ้าแก่ของโรงน้ำชาเอาส้มสีม่วงเจ็ดใบที่ตัวเองปลูกมาให้ผู้คนลองชิมดูด้วย
คุณชายวัยหนุ่มเพิ่งจะนั่งลง ก็เห็นชายฉกรรจ์คนเมื่อวานอยู่บนชั้นสองเช่นกัน อีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังเถ้าแก่บรรยายถึงส้มสีม่วงเจ็ดใบในมืออยู่
หลังจากชื่นชมผลไม้ประหลาดสักพัก คุณชายวัยหนุ่มก็เริ่มจิบน้ำชาอย่างหงอยเหงา
เป็นเช่นนี้สิบกว่าวัน เขาเห็นชายฉกรรจ์คนนั้นอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม สั่งน้ำชากาเท่าเดิม และดื่มอย่างหิวกระหายเหมือนเดิม
เขามาที่โรงน้ำชานี้หลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นชายฉกรรจ์ที่ประหลาดขนาดนี้
แม้เขาจะดื่มน้ำชาพลางเหม่อลอย อย่างไรก็จะเปลี่ยนใบชาชนิดใหม่ตลอด และจะพูดคุยเรื่องประหลาดน่าสนใจในช่วงเวลานี้กับสหายที่คุ้นเคย แต่คนผู้นี้กลับนั่งนิ่งอยู่กับที่
คุณชายวัยหนุ่มเกิดความสงสัย จึงสั่งน้ำชากาหนึ่งแล้วเข้าไปเลียบๆ เคียงๆ
ลู่เซิ่งเองก็เบื่อๆ เช่นกัน มองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาพิเศษ เลยถือโอกาสสนทนาด้วย
การสนทนานี้กลับนึกไม่ถึงว่าจะค่อนข้างเข้ากันได้ดีทีเดียว
คุณชายวัยหนุ่มแซ่เฝิง นามจงเจิ้ง สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ แต่ต่อมาไม่อยากสอบขุนนาง วันๆ อยู่แต่บ้านว่างๆ ชอบเรื่องลึกลับพิสดารในท้องถิ่นเป็นพิเศษ
นอกจากนี้แล้ว เขาก็ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ลู่เซิ่งคิดจะสืบหาเรื่องเกี่ยวกับความประหลาดลี้ลับพอดี พอทั้งสองเริ่มคุยกัน ก็รู้สึกถูกคอกับอีกฝ่าย
เฝิงจงเจิ้งไม่รู้จะเล่าเรื่องให้ใครฟัง จึงคันคะเยอในใจยากทนทานมานานแล้ว ครั้งนี้เจอคนคอเดียวกัน พลันดีอก ดีใจ ทั้งสองคุยกันได้ตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนโรงน้ำชาปิดตอนกลางคืน
เมื่อมีข้อมูลจากเฝิงจงเจิ้ง กอปรกับเขาเป็นคนในท้องที่ มีเส้นสายและช่องทางบางส่วน ลู่เซิ่งจึงรวบรวมข่าวได้เร็วขึ้นมาก
ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาคงจะใช้วิชาจิตโน้มนำหาข้อมูลที่ต้องการมาโดยตรงแล้ว
ทว่าอย่างไรตอนนี้ก็ไม่รีบ ไม่เพียงแต่สำนักไตรอริยะยังไม่หายสาบสูญไป ความจริงสำนักวิญญาณไตรอริยะที่อยู่โลกด้านนอกอีกแห่งกับสำนักนทีครามก็กำลังเตรียมทำศึกใหญ่อยู่เช่นกัน
แผนการเดิมของสำนักวิญญาณไตรอริยะก็คือ รอสำนักนทีครามกับมารดาแห่งความเจ็บปวดบาดเจ็บทั้งคู่ แล้วค่อยเผยโฉมเพื่อเก็บงาน
ไหนเลยจะคาดว่าพลังของสองฝ่ายจะขยายตัวขึ้นมากกว่าเดิม พลังระดับสูงสุดแข็งแกร่งกว่าสำนักวิญญาณไตรอริยะไม่น้อย โดยเฉพาะทางมารดาแห่งความเจ็บปวดที่อยู่ๆ ก็มีมายาพิศวงลึกลับกลุ่มหนึ่งโผล่มาจากด้านหลัง
ครั้นมาตรฐานพลังเสียสมดุล สำนักวิญญาณไตรอริยะเลยได้แต่ร่วมมือกับสำนักนทีครามเพื่อทำลายมารดาแห่งความเจ็บปวดด้วยด้วยความจนปัญญา
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไม่เพียงมาตรวจสอบสถานการณ์และร่วมมือกับสำนักไตรอริยะเท่านั้น ความจริงยังต้องรอทางสำนักนทีครามกับสำนักวิญญาณไตรอริยะเตรียมตัวด้วย
ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลัง ก็อย่าใช้จะดีกว่า ลู่เซิ่งเหมือนลืมเลือนความสามารถของตัวเองไป คุยสัพเพเหระกับ เฝิงจงเจิ้งอย่างเบิกบานใจราวกับคนธรรมดาจริงๆ
“จะว่าไปทางอำเภอเก้าน้ำพุที่อยู่ทางตะวันตกเกิดเรื่องประหลาดขึ้น” บ่ายวันหนึ่ง หลังจากเฝิงจงเจิ้งกลับบ้านแล้ว ก็มายังโรงน้ำชาอีกรอบ ก่อนจะเล่าเรื่องประหลาดที่ได้ยินจากญาติทันที
“เรื่องประหลาดอันใด หรือจะเป็นจิ้งจอกถวายสมบัติ หรือไม่ก็แมวลายช่วยเจ้าของ” ช่วงนี้ลู่เซิ่งฟังเรื่องราวมากมาย จึงคุ้ยกับรูปแบบของเฝิงจงเจิ้งดี
“เรื่องเหล่านั้นไม่นับสิ!” เฝิงจงเจิ้งโบกมือ “สหายลู่รู้จักสวนบุปผาหมอกหรือไม่”
“สวนบุปผาหมอกหรือ” ลู่เซิ่งนึกดู เรื่องราวที่เขาได้ยินในเวลาหลายวันมานี้มีไม่น้อยเช่นกัน แต่เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อลักษณะนี้เป็นครั้งแรก
เรื่องที่เฝิงจงเจิ้งเล่าก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องราวประเภทเทพนิยายแบบดั้งเดิม แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะต่างออกไป
“ถูกต้อง ว่ากันว่ามีคนไปเจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งเข้าในอำเภอเก้าน้ำพุที่อยู่ใกล้ๆ” เฝิงจงเจิ้งดื่มน้ำชาแก้คอแห้ง
“ว่ากันว่าถ้าหากออกไปในวันที่มีเมฆหมอกตอนกลางคืน จะมีโอกาสได้เจอสวนบุปผาหมอก ถ้าหากได้เข้าไปในสวนบุปผาหมอกนี้ ก็จะออกมาไม่ได้อีก”
“ถ้าออกมาไม่ได้ แล้วข่าวลือนี้กระจายออกมาได้อย่างไร” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“ได้ยินมาว่ามีคนไม่ได้เข้าไป หากหลบไปก่อน จากนั้นก็มีคนได้ยินคนที่จะเข้าไปในสวนบุปผาพูดเอง เพียงแต่ดูเหมือนสวนบุปผาหมอกจะมีแต่คนที่มีความพิเศษระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้ คนอื่นๆ ต่อให้ยืนอยู่ข้างๆ คนผู้นั้นก็อย่าคิดว่าจะมองเห็น” เฝิงจงเจิ้งรีบตอบ
“หือ” ลู่เซิ่งเกิดการคาดเดาในใจ
“สหายเฝิง ถ้าหากสนใจมากจริงๆ ไม่ลองไปตรวจสอบดูเองเล่า” เขาพลันโพล่งขึ้น
เฝิงจงเจิ้งกำลังบอกเล่าข่าวลือและการคาดเดาของคนอื่นที่อยู่รอบๆ อย่างออกรส พอได้ยินคำพูดนี้ก็ผุดสีหน้าอึ้งงัน
เขาชอบเรื่องลึกลับที่ประหลาดพิสดารเช่นนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ เสียหน่อย
“หรือว่าสหายเฝิงจะฟังแต่ข่าวลือจากคนอื่นชั่วชีวิต ข่าวลือว่าอย่างนั้นข่าวลือว่าอย่างนี้ คนอื่นบอกว่า สหายข้าบอกว่า พี่น้องข้าบอกว่า ยังมีญาติห่างๆ เพื่อนนักเรียนของญาติ สหายของสหายของน้องสาว…มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ จะจริงหรือปลอมผู้ใดตัดสินได้เล่า” ลู่เซิ่งส่ายหน้าพลางกล่าว
เฝิงจงเจิ้งตกใจเล็กน้อย เหมือนกับอีกฝ่ายพูดแทงใจดำ
เขาสงสัยใคร่รู้ในโลกลึกลับที่ไม่รู้จักใบนั้นมาก ทั้งยังชอบเรื่องเล่าข่าวลือทุกประเภท แต่กลับไม่อาจแยกแยะว่าจริงหรือปลอม คำพูดของลู่เซิ่งในตอนนี้เหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าทะลุความจนปัญญาและความกังวลซึ่งเขาจงใจอำพรางไว้มาโดยตลอด
“แต่…แต่ข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ด้วยซ้ำ…” ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ค่อยๆ ถอนใจก่อนจะก้มหน้าลง
“บัณฑิตแล้วอย่างไร หรือว่าเป็นบัณฑิตแล้วจะทำการใหญ่ไม่ได้ สร้างกิจการไม่ได้” ลู่เซิ่งโต้แย้ง
“ขอไม่ปิดบัง ข้าเองก็เป็นบัณฑิตที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่เช่นกัน แต่คนเราสักวันก็ต้องตาย แทนที่จะมานั่งเสียใจในภายหลัง มิสู้ทำเรื่องที่ตัวเองคิดทำเสียตอนนี้ดีกว่า สหายเฝิงคงไม่อยากจะใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์ไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง ตระกูลท่านทำการค้า ท่านไม่ต้องลำบากหาเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ ทั้งยังมีพี่มีน้อง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครดูแลบิดามารดา ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ยังมีอะไรให้ต้องลังเลอีก” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้า
กล่าวตามตรง เฝิงจงเจิ้งผู้นี้เป็นลูกหลานเสเพลที่ยังนับว่าทำตัวดี
เพียงแต่ว่าลูกหลานเสเพลคนอื่นชอบสุราและกาเม หากเขากลับชอบฟังเรื่องประหลาดและชอบดื่มชา
ในเมืองเล็กๆ เมืองนี้มีคนประเภทเขาอยู่ไม่น้อย เรื่องราวประหลาดพิสดารมากมายได้กระตุ้นให้คนมากมายบังเกิดความใคร่รู้จนอยากสืบสาวความจริง
ส่วนจอมยุทธ์และผู้บำเพ็ญจำนวนมากก็คอยกำจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยความกล้าหาญยุติธรรม อุปสรรคมากมายกลายเป็นโครงเรื่องหลากหลาย จากนั้นเรื่องราวการผจญภัยที่เป็นที่นิยมจึงมีการเล่าต่อๆ กันไป
เมื่อสองสิ่งมารวมกัน จึงกลายเป็นเรื่องประหลาดในตอนนี้
“คำพูดของสหายลู่ค่อนข้างมีเหตุผล” เฝิงจงเจิ้งยังคงลังเล
“พวกเราพี่น้องเหมือนจอกแหนลอยมาเจอกัน ข้าไม่ขาดเงิน จะเอาเปรียบท่านไปทำไมเล่า” ลู่เซิ่งหยิบทองคำแท่งหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ แล้วโบกไปโบกมา เฝิงจงเจิ้งเห็นดังนั้นก็ตาค้าง
เขากินดื่มเที่ยวเล่นได้อย่างน้อยครึ่งปีด้วยทองคำแท่งนี้
“ความหมายของสหายลู่คือ…?” เขายังคงรักษาสติไว้ได้ หากไม่รู้แผนการของลู่เซิ่ง เขาไม่มีทางตกปากรับคำเด็ดขาด
……………………………………….