ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 754 เมล็ดพันธุ์ (2)
“ขอไม่ปิดบังสหายเฝิง ข้าคิดจะก่อตั้งสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับขึ้นที่นี่ โดยจะรวบรวมคนมีความรู้ซึ่งสนใจเรื่องพวกนี้มาตั้งเป็นองค์กร เพื่อวิจัยต้นกำเนิดกับแบบแผนของความประหลาดลี้ลับ สร้างคุณูปการให้แก่ชาวประชา”
คนที่อยู่ในช่วงอายุนี้จะยอมเชื่อวาจาที่ฟังดูสูงส่งพวกนี้
เฝิงจงเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเคร่งขรึมขึ้น
“ถ้าหากเป็นจริง ขอให้สหายลู่นับข้าเข้าไปด้วยคนหนึ่ง”
“แน่นอนๆ! แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราจะต้องสร้างชื่อเสียก่อน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างตั้งใจ
“นี่ย่อมแน่นอน!”
“ข้าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของสมาคมวิจัยนี้เอง นอกจากนี้ข้าได้ซื้อที่พักแห่งหนึ่งในเมืองแห่งนี้เพื่อมอบให้สมาคมวิจัยใช้ทำการวิจัยโดยเฉพาะไว้แล้ว และข้ายังเตรียมเชิญยอดฝีมือในยุทธภพที่มีพลังกล้าแข็งหลายคนมาสอนความสามารถในการรับมืออันตรายให้แก่สมาชิกแล้วด้วย”
ตอนแรกเฝิงจงเจิ้งนึกว่าลู่เซิ่งเกิดอารมณ์ชั่ววูบ แต่พอฟังต่อ แม้แต่บ้านก็ซื้อไปแล้ว เขาเลยตกใจ
“สหายลู่ยอมจ่ายเงินขนาดนี้เชียวหรือ!”
“ใต้หล้าในปัจจุบัน ความประหลาดลี้ลับเหิมเกริม ชาวบ้านยากลำบาก ราชวงศ์ไม่มีความสามารถกำจัดความประหลาดลี้ลับ พวกเราคนมีความรู้ ถ้าหากพยายามค้นหาแบบแผนของความประหลาดลี้ลับจนเจอวิธีการกำจัดพวกมัน นั่นจะเป็นการสร้างผลงานใหญ่ที่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้อย่างแท้จริง!” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างฮึกเหิม
“สหายลู่มีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ!” เฝิงจงเจิ้งเอาจริงเอาจังขึ้น ก่อนจะยกจอกชาดื่มคารวะลู่เซิ่งสามจอก “ในเมื่อสหายลู่ทำถึงขั้นนี้แล้ว อย่างนั้นผู้แซ่เฝิงก็จะไม่กล้าอ้างไปเรื่อยอีก ได้! ข้าขอเข้าร่วมด้วย!”
“ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น พวกเราต้องพยายามดึงตัวผู้มีอุดมการณ์เดียวกันในบริเวณรอบๆ มาเข้าร่วมกับสมาคมวิจัยเท่าที่จะทำได้เพื่อปรึกษาการใหญ่ด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถูกต้อง ข้ารู้จักคนในเมืองนี้ไม่น้อยเลย คนที่มีความสนใจด้านนี้เองก็มีหลายคน ข้าจะไปบอกเอง!” เฝิงจงเจิ้งรู้สึกตื่นเต้น เสมือนแบกรับคำสั่งที่หนักอึ้งไว้บนบ่า
เดิมทีเขาเป็นลูกหลานเสเพลที่ขี้เกียจตัวเป็นขน ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนตนเององอาจขึ้นเพราะความรู้สึกรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้
เขากลับไปรวบรวมคนทันที
เป็นไปตามที่ลู่เซิ่งคิดไว้ เฝิงจงเจิ้งแอบดึงคนสามคนเข้ามาร่วมสมาคมในวันต่อมา
คนห้าคนรวมลู่เซิ่งไปดูคฤหาสน์หลังใหญ่แถบชานเมืองที่ลู่เซิ่งซื้อไว้ก่อน แบบแผนที่มีหอเล็กห้าชั้นจำนวนสามหอ บวกกับบ่อเลี้ยงปลาตรงกลางทำให้คนทั้งสี่อุทานว่าช่างลงทุนลงแรงนัก
ดังนั้น สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับจึงถูกก่อตั้งอย่างเร่งรีบด้วยประการฉะนี้
ลู่เซิ่งเป็นหัวหน้าสมาคม เฝิงจงเจิ้งเป็นรองหัวหน้าสมาคม
ลู่เซิ่งเสนอเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก ส่วนเฝิงจงเจิ้งคอยติดต่อกับกรรมกรและพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ หลังจ่ายเงินอีกนิดหน่อย ก็สร้างเครือข่ายข้อมูลขนาดยักษ์แบบหลวมๆ ขึ้นมาได้
ชาวบ้านชาวช่องต่างสนใจเรื่องประหลาดลี้ลับพวกนี้ จึงสืบได้อย่างง่ายดาย
ทางสมาคมวิจัยได้จ้างคนไปตั้งแผงขายน้ำชาที่ชายป่าซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับทางหลวงนอกเมือง โดยเสนอน้ำชาและขนมขบเคี้ยวให้แบบไม่คิดเงิน
แต่หากคิดจะดื่มแบบไม่เสียเงิน จะต้องบอกเล่าข่าวลือประหลาดที่ตนเคยได้ยินมาก่อน
หลังจากลู่เซิ่งรู้เรื่องแผงน้ำชาก็ชมเชยเป็นการใหญ่ จากนั้นก็จ่ายเงินอีกหลายร้อยตำลึงเพื่อจ้างคนไปตั้งแผงน้ำชาบนทางหลวงของเมืองอีกสามแห่ง
เฝิงจงเจิ้งรับผิดชอบรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ส่วนเด็กน้อยที่มีชื่อว่าหลี่ว์เจี้ยนหัวรับผิดชอบตรวจสอบความน่าเชื่อถือ
ยังมีอีกสองคนเป็นสตรี สองคนนี้รับผิดชอบช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
หลังจากวางโครงสร้างแล้ว สมาคมวิจัยก็เป็นรูปเป็นร่าง
ลู่เซิ่งเชิญคนทำความสะอาดและเหล่าป้าๆ ที่ทำอาหารเป็นมา จากนั้นก็จ้างชายฉกรรจ์สองคนที่เกษียณจากสำนักคุ้มกันและที่ว่าการมาเฝ้าประตู
สมาคมวิจัยเริ่มทำงานด้วยตัวมันเอง
ลู่เซิ่งจ่ายแท่งเงินไปทั้งหมดมากกว่าพันตำลึง แต่นี่คุ้มค่ามากสำหรับเขา
ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังใดๆ การที่สร้างโครงสร้างใช้สืบข่าวสารของความประหลาดลี้ลับแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ไม่นานนัก เขาที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ทำความเข้าใจรูปแบบการอยู่ร่วมกันระหว่างต้าซ่งกับความประหลาดลี้ลับจากข้อมูลทุกประเภทที่ได้มาอย่างคร่าวๆ
หลังจากภัยพิบัติมารเมื่อก่อนหน้า ความประหลาดลี้ลับก็คล้ายลดจำนวนลงเพราะสาเหตุบางประการ เมื่อต้าซ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ พวกมันก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
ทางฝ่ายราชการของต้าซ่งก็เหมือนจะไม่สนใจเรื่องความประหลาดลี้ลับที่ไม่อาจทำลายได้พวกนี้เท่าใดนัก อย่างไรความประหลาดลี้ลับก็ไม่ย้ายตำแหน่งไปไหน แค่คอยหลบเลี่ยงก็พอ
ในหมู่ประชาชนเองก็มีการตั้งองค์กรไม่น้อยเพื่อขับไล่ความประหลาดลี้ลับโดยเฉพาะ แต่ต่างก็ล้มเหลวทั้งสิ้นไม่มีข้อยกเว้น
นี่ทำให้ยิ่งไม่มีใครกล้าจัดการความประหลาดลี้ลับเลย
ทว่าเหล่าคุณชายธรรมดาอย่างเฝิงจงเจิ้งกลับไม่นำพา พวกเขาไม่ได้ไปเสี่ยงอันตรายเอง เพียงแค่วิจัยแบบแผนและธรรมชาติของความประหลาดลี้ลับเท่านั้น นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่ใช้ฆ่าเวลาสำหรับคุณชายคุณหนูจำนวนมากที่ได้รับการศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัย
การรวบรวมคดีความประหลาดลี้ลับไม่ต่างจากการอ่านหนังสือนิทานเท่าไหร่ แถมยังสนุกกว่าหนังสือนิทานเสียอีก
หนึ่งเดือนต่อมา สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับก็ได้รับสมัครคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางที่อยู่ว่างในเมืองมาอีกสิบกว่าคน
พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเครื่องนุ่มห่ม แต่ขาดกิจกรรมบันเทิง ทว่าจะไปดื่มสุราเมาหัวราน้ำจนทำลายชื่อเสียงและร่างกายของตัวเองก็ไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นการมาตรวจสอบข่าวลือประหลาดลี้ลับที่สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับจึงกลายเป็นงานอดิเรกของพวกเขา
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจว่าคนพวกนี้มาเพราะเป้าหมายอะไร เขาเพียงแค่จัดระเบียบคดีความประหลาดลี้ลับที่รวบรวมมาได้อย่างไม่ขาดสายทั้งหมดเป็นหนังสือหลายเล่ม แล้ววางในชั้นหนังสืออย่างเป็นระเบียบเท่านั้น
ทั้งยังตั้งชื่อให้แก่หอเก็บหนังสือนี้ว่า หอเรื่องพิสดาร
ตอนแรกคนหนุ่มสาวเหล่านี้ซึ่งรวมถึงเฝิงจงเจิ้งต่างก็เข้าร่วมกับสมาคมวิจัยเพราะอยากอ่านเรื่องราวเอาสนุกเท่านั้น หนำซ้ำเวลาไม่มีอะไรทำก็กินดื่มที่นี่ได้ ทั้งยังมีพื้นที่ใหญ่โตให้ทำกิจกรรมตามใจชอบ เป็นอิสระกว่าการถูกคนคอยบังคับอยู่ที่บ้านมากโข
ทว่าหลังจากข่าวลือเรื่องความประหลาดลี้ลับซึ่งรวบรวมมาได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนหนุ่มสาวพวกนี้อ่านมากๆ เข้า สภาพจิตใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
…
โครม!
“ไม่มีเหตุผล! ไม่มีเหตุผลเลย!”
ด้านนอกหอเรื่องพิสดาร ชายฉกรรจ์อายุน้อยตัวใหญ่คนหนึ่งตบผิวเสาหินด้านข้างอย่างแรง
คุณชายวัยหนุ่มรูปหล่อที่มีกลิ่นอายม้วนตำราเข้มข้นคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา เพียงแต่ว่าคนคนนี้แขวนกระบี่ที่เรียวยาวและเปิดคมไว้ที่เอว
“น่าสงสารจริงๆ ตระกูลของขุนนางนอกซ่งผู้นั้นทำความดีมาตลอดชีวิต แต่สุดท้ายกลับมีจุดจบเช่นนี้!” คุณชายหนุ่มหม่นหมอง ถอนใจเฮือกหนึ่ง
“หรือความประหลาดลี้ลับนั่นจะไม่มีความเมตตาอยู่เลย! ซ่งเข่อเอ๋อร์จิตใจดีถึงเพียงนั้น น่ารักถึงเพียงนั้น! ถึงกับ! ถึงกับ!” ชายฉกรรจ์อายุน้อยหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าเป็นสีแดง “หนำซ้ำเรื่องนี้ยังรายงานทางการแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าจัดการ! ไร้สาระทั้งเพ!”
“สหายเฉินต๋า อ่านเรื่องประหลาดมามากมายยังไม่เข้าใจอีกหรือ จวนขุนนางคงจะคร้านจัดการ ความประหลาดลี้ลับนั่นโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีใครควบคุมได้…” คุณชายหนุ่มเตือน
“เหลวไหล! ข้าฝึกฝนฝ่ามือล่าพยัคฆ์มาสิบกว่าปี ความประหลาดลี้ลับนั่นอยู่แค่ในระดับสามของยุทธภพทั่วไป! พวกมันใช้วิธีลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น!” เฉินต๋าพูดจนน้ำลายกระเซ็น
“ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นยังอยู่ไม่ไกลจากพวกเราด้วย!”
“สหายเฉิน…”
เฉินต๋าโบกมือ
“ตู้เฉิงซวนอีกประเดี๋ยวเจ้ากลับไปคนเดียวก่อน วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อน” เขาสาวเท้าเดินออกจากสมาคมวิจัยด้วยใบหน้าคับข้องใจ ไม่นานก็หายไปจากท้องถนน
คุณชายรูปหล่อตู้เฉิงซวนเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา ก่อนจะไปดื่มชาพักผ่อนที่หอหลังเล็กใกล้ๆ
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่บนชั้นบนสุดของหอเรื่องพิสดาร ก้มมองด้านล่างผ่านหน้าต่าง
พอเห็นเฉินต๋าเดินออกจากสมาคมด้วยความโมโห เขาก็รู้ว่าในที่สุดโอกาสที่ตนรอคอยมาโดยตลอดก็ได้มาถึงแล้ว
เหล่าคุณชายคุณหนูรวบรวมเรื่องความประหลาดลี้ลับที่น่าโศกเศร้าพวกนี้มาโดยตลอด เมื่อเห็นมากเข้า ก็เกิดความโกรธแค้น และเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรงต่อสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เพียงแค่ได้ยินว่ามีที่ไหนสักแห่งที่เกิดโศกนาฏกรรม มีที่ไหนสักแห่งที่เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูล หลังจากข้อมูลกระจายออกมา ความแม่นยำจะต่ำมาก จนทุกคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ทว่าตอนนี้เมื่อรวบรวมมาไว้ด้วยกัน หนำซ้ำแม้แต่จุดเกิดเหตุยังถูกระบุและยืนยันไว้ เมื่อเป็นแบบนี้ ก็พลันรู้สึกว่าสถานที่ที่ตนอยู่มีอันตรายทุกหนแห่ง
นี่ทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมสมาคมวิจัยเริ่มรู้สึกถึงอันตราย และเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกับสมาคมวิจัย
ลู่เซิ่งได้เพิ่มวิชาจิตโน้มนำของตัวเองเข้าไปชักนำตามความเหมาะสมด้วย
เพียงแค่ชักนำในจุดสำคัญเล็กๆ เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้ว
ขณะมองดูเฉินต๋าที่ออกห่างไป ลู่เซิ่งยกชาหวานในมือขึ้นจิบช้าๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้หนัง
เมล็ดพันธุ์แตกหน่อแล้ว ต่อจากนี้ขอแค่เพิ่มปุ๋ยอีกนิดหน่อย ไม่นานก็จะงอกรากและเติบโต…
พักผ่อนชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นลู่เซิ่งก็ลงไปกินข้าว แล้วตรวจสอบสมุดบันทึกความประหลาดลี้ลับที่เพิ่งส่งมาถึงเหมือนทุกที
ต่อมาก็คุยกับเหล่าสมาชิกในสมาคมวิจัย เผลอแผล็บเดียวก็ถึงตอนกลางคืนแล้ว
ในตอนนี้เอง คุณชายหนุ่มที่มีชื่อว่าตู้เฉิงซวนในสมาคมก็ผลุนผลันวิ่งเข้ามาแจ้งเขาว่า เฉินต๋าสหายสนิทของเขา หรือก็คือชายฉกรรจ์ที่จากไปด้วยความโมโหเมื่อตอนกลางวัน ได้ออกจากเมืองไปแล้วในตอนกลางคืน
จุดหมายของเขาเกรงว่าจะเป็นการไปยังคฤหาสน์ของขุนนางนอกซ่งที่มีความประหลาดลี้ลับปรากฏอยู่!
ลู่เซิ่ง ‘ตกใจ’ ก่อนจะรีบเรียกระดมพลสมาชิกทั้งหมดเพื่อแจ้งข่าวนี้
ทุกคนออกค้นหากันจ้าละหวั่น
จนกระทั่งถึงเวลาเช้าตรู่ เฉินต๋าผู้นั้นค่อยเร่งรุดกลับมา เขาที่ขี่ม้าร่างอาบเลือด แขนขวาข้างหนึ่งขาดจรดไหล่
ทว่าเฉินต๋าไม่ได้กลับมามือเปล่า เขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อก่อนจะหมดสติไป มันคือวัตถุโลหะแปลกประหลาดสีเงินก้อนหนึ่ง
ลู่เซิ่งรีบตามตัวหมอมารักษา ขณะเดียวกันก็รีบเก็บวัตถุโลหะชิ้นนั้นไว้ หลังจากวิจัยเป็นเวลาครึ่งวัน ตอนเขาเดินออกมา สีหน้าที่เคร่งขรึมก็ปรากฏความตื่นเต้นยินดี หลังลังเลเล็กน้อย เขาก็หมุนตัวเข้าไปในห้องที่ใช้รักษาเฉินต๋า
…
“นี่มันคืออะไรกันแน่!?” เฝิงจงเจิ้งกับคนอีกสามคนเป็นแกนหลักของสมาคมวิจัยในปัจจุบัน แต่แม้สี่คนจะมาอยู่ด้วยกัน ก็ไม่อาจทำความเข้าใจสภาพของก้อนโลหะสีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะได้
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างผุดสีหน้าหนักใจ
“ขอไม่ปิดบัง สาเหตุที่ข้ากล้าตั้งสมาคมวิจัยในตอนนั้นเป็นเพราะของสิ่งนี้นี่เอง”
“มัน…มันเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ขอรับ” เฝิงจงเจิ้งถามเสียงขรึม
“เอาไว้ใช้ทำอะไรงั้นหรือ…?” ลู่เซิ่งสูดลมหายใจลึก
“เฉินต๋า เจ้ามาเล่าให้พวกเขาฟังเองเถอะ” เขาหันไปมองที่ประตูห้อง
ประตูถูกเปิดเสียงดังแกร๊ก เฉินต๋าที่ร่างกายหายดีแล้วยืนอยู่ที่ประตู จากนั้นก็เดินเข้ามา
เขามีสีหน้าเด็ดเดี่ยว หลังจากผ่านห้วงความเป็นความตาย เขาก็ไม่ใช่เฉินต๋าคนเดิมอีกแล้ว
“ให้ไอ้ความประหลาดลี้ลับบัดซบพวกนั้นไปตายเสียเถอะ!” เขายกแขนขวาขึ้น แขนพลันขยับขยุกขยิกแล้วกลายเป็นหนวดสีเงินกลุ่มใหญ่ๆ โบกสะบัดไปทั่ว
แสงสีเหลืองเข้มจุดหนึ่งดูสะดุดตาเป็นพิเศษกลางหนวดจำนวนมากนั้น
……………………………………….