ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 757 ม่านมืด (1)
ด้านนอกคฤหาสน์รกร้าง
จิ้งจอกขาวกระโดดขึ้นไปบนคาคบไม้ขนาดใหญ่อย่างแผ่วเบา
“ใช้พลังร่างแยกของเจ้านั่นไปครั้งหนึ่ง น่าจะจัดการมันได้ เพียงแต่หลังจากจัดการทูตทิ้ง พวกเราต้องพิจารณาถึงความยุ่งยากที่จะตามมา สำนักหลักไม่มีทางเลิกราแน่”
“แน่นอน เพียงแต่ขอแค่มารดาแห่งความเจ็บปวดสนับสนุน พวกเราก็จะปลอดภัยไร้เรื่องราว” งูหลามสีดำที่มีขนาดเท่าอ่างน้ำตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลอย่างช้าๆ ดวงตาสองข้างของมันเป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึกสองจุด
“เพียงแต่…ทูตผู้นั้น ข้ารู้สึกว่าเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง…คุ้นตาจริงๆ…” จิ้งจอกขาวไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดความกระสับกระส่าย
“บางทีพวกเราอาจจะเจอตอนที่ใช้ร่างลูกรวบรวมวิญญาณก็ได้” งูหลามเอ่ยเสียงทุ้ม
จิ้งจอกขาวใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ขณะกำลังจะตอบนั่นเอง
ตูม!
เกิดเสียงดังกึกก้อง พื้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น!?” พวกจิ้งจอกขาวรีบตั้งหลัก
“แย่แล้ว! ร่างลูกแหลกสลาย! รีบหนีเร็ว!” สายตาของงูหลามพลันฉายแววตื่นตระหนก มันกลายเป็นสายฟ้าสีดำและพุ่งไปยังที่ไกลในพริบตา
จิ้งจอกขาวกับไก่ดำก็ไม่ชักช้า ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นต้นไม้ อีกตัวมุดลงดิน
แต่ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
ฟ้าวๆๆๆ!
สายฟ้าสีดำมากมายพุ่งออกมาจากกลางคฤหาสน์ แผ่กระจายไปปกคลุมอาณาเขตหลายร้อยหมี่รอบๆ เหมือนกับรอยแตกสีดำสนิท
ไก่ดำ จิ้งจอกขาว และงูหลามหนีห่างออกมาได้แค่สิบกว่าหมี่ ก็ถูกแสงสายฟ้าสีดำพุ่งเข้าใส่แล้วกลายเป็น ตอตะโกในพริบตาเดียว ระเบิดแหลกลาญเป็นผงสีดำนับไม่ถ้วน
ก้อนแสงสีดำก้อนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศเหนือคฤหาสน์
ฟู่!
อยู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากก้อนกลม ตามด้วยข้างที่สอง ข้างที่สาม…
แขนที่ยื่นออกมาจากก้อนสีดำจับขอบของก้อนกลมไว้แล้วออกแรงบิด
เกิดเสียงดังแคว่ก ก้อนกลมพลันถูกฉีกออกเป็นช่องแยกขนาดใหญ่กว้างหลายหมี่
ลู่เซิ่งคลานออกมาจากในช่องแยก แขนสิบกว่าคู่บนร่างจับกรอบของก้อนสีดำรอบๆ ตัวไว้อย่างแน่วหนาเหมือนกับตะขาบ ดวงตาหกข้างบนใบหน้าสามด้านลุกไหม้ด้วยเพลิงสีทองหกกลุ่ม
สามารถเห็นซากศพของวิญญาณร้ายสีขาวซึ่งกระจายอยู่ทั่วหุบเขาทั้งลูกเหมือนกับเกล็ดหิมะได้จากในช่องแยกด้านหลังเขา
แมลงยักษ์ร่างซูบผอมที่มีศีรษะเป็นหญิงแก่ตัวหนึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็น ร่างที่เหลืออยู่ดิ้นพล่านอยู่บนพื้น
“บังอาจใช้ของสิ่งนั้นกับข้า พวกเจ้า…เยี่ยมยอดนัก!” ร่างยักษ์ของลู่เซิ่งค่อยๆ คลานออกจากก้อนสีดำแล้วลุกขึ้นยืนอยู่บนพื้นดิน
เขากวาดตามองรอบๆ กลับไม่พบเงาร่างของเจ้าสามตัวเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“หือ?”
เมื่อครู่เขาใช้แรงไปแค่นิดเดียวเพื่อทะลวงมิติพิศวงนั้น จึงเผยพลังออกไปนิดหน่อย
ตอนนี้พอออกมา ถึงกับไม่พบเจ้าสามตัวเมื่อครู่แล้ว
ลู่เซิ่งขยายพลังจิตอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมอาณาเขตหลายกงหลี่รอบๆ ระยะห่างเพียงพอแล้ว หากใหญ่กว่านี้เกรงว่าจะกระตุ้นการโต้ตอบอัตโนมัติจากตาข่ายดำกฎเกณฑ์เข้า อาจถูกพบร่องรอยเอาได้
ทว่าอาณาเขตใหญ่ขนาดนี้ยังคงไม่พบร่องรอยของเจ้าสามตัวจากสำนักไตรอริยะ
“หนีไวจริงเชียว” ลู่เซิ่งคืนร่างเดิมอย่างไม่พอใจเล็กน้อย กลับเป็นร่างคนธรรมดาอีกครั้ง
เดินออกมาจากคฤหาสน์ รอบๆ เละเทะ เต็มไปด้วยผงสีดำกับถ่านดำเกรียมซึ่งถูกสายฟ้าสีดำเผาไหม้ ยังมีหลุมดินมากมายที่ถูกอานุภาพยิ่งใหญ่ระเบิดขึ้น
ผู้ถูกดัดแปลงหลายคนค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากมุมหนึ่งแล้วมารวมตัวทางเขา
“ท่านหัวหน้าสมาคม!” แขนของผู้ถูกดัดแปลงที่เป็นผู้นำถูกเผาจนเกรียมเช่นกัน แต่เหมือนจะเป็นเพราะว่าพลังมาจากแหล่งเดียวกับลู่เซิ่ง แขนของเขาเลยกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ถอนกำลังเถอะ” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ แต่สัมผัสไม่พบกลิ่นอายของสำนักไตรอริยะอีกแล้ว
“ขอรับ!”
ครั้นเหล่าผู้ถูกดัดแปลงนึกถึงสายฟ้าสีดำเมื่อครู่ก็พากันหวาดผวา ตอนนี้ได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็ห้อมล้อมลู่เซิ่งถอยไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับไปถึงศูนย์ใหญ่ของสมาคมวิจัยในเมือง ลู่เซิ่งก็เริ่มรับสมัครเหล่าผู้น่าสงสารที่มีความเคียดแค้นเต็มอกเพราะพบเจอเรื่องเลวร้ายอย่างเป็นการลับทันที
บ้างก็เป็นเพราะความประหลาดลี้ลับ บ้างก็เป็นเพราะแนวคิดในใจ บ้างก็เป็นเพราะถูกทำร้าย คนประเภทนี้จะมีความเคียดแค้นชิงชัง ทำให้มีพลังใจแน่วแน่กว่าคนทั่วไป
พอดีกับลู่เซิ่งได้รับการส่งสัญญาณลับจากสำนักนทีครามว่าทางโลกด้านนอกเตรียมการเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเวลาที่จะเตรียมตัวอย่างแท้จริงสักที
หลังจากได้รับข่าว ลู่เซิ่งก็สร้างร่างฝังตัวที่ผสานเซลล์ของตัวเองกับเงินจันทราไว้ด้วยกันขึ้นเป็นจำนวนมาก ขอแค่ฝังตัวพวกนี้ด้วยการผ่าตัดที่เรียบง่าย ก็จะดัดแปลงสำเร็จ ทักษะนี้ได้สุกงอมถึงขีดสุดแล้ว
ต่อมา เขาเตรียมจะแอบกลับต้าอิน ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น หากเพราะจะเตรียมไปพบกับสหายในอดีต หรือหลี่ซุ่นซีในตอนนี้
หากอาศัยพลังของหลี่ซุ่นซีทางต้าอิน พัฒนาการอาจจะไวกว่าทางต้าซ่ง
แต่ในเวลานี้เอง แขกที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็มาหาและปั่นป่วนแผนการของเขา
…
ชั้นบนสุดของหอเรื่องพิสดาร
ลู่เซิ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนัง หันไปมองดูสายฝนและเมฆดำที่ขมุกขมัวอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
“ดูเหมือนเจ้าจะมีชีวิตไม่เลวทีเดียว” ผู้มานั่งบนที่นั่งและมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน
คนผู้นี้มีผมยาวสีขาวราวหิมะ แม้แต่ขนคิ้วก็เป็นสีขาว สวมชุดคลุมแพรต่วนสีดำสนิทซึ่งปักลวดลายสัตว์ประหลาดอสูรเทพที่ไม่รู้จักชื่อไว้ตัวหนึ่ง สีดำกับสีขาวที่ตัดกันทำให้คนอดนึกถึงคำศัพท์อย่างคำว่าเลือดและการเข่นฆ่าไม่ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นี้เป็นสตรี และเป็นสตรีที่ลู่เซิ่งเคยรู้จักเป็นอย่างดีด้วย
“ผ่านมาตั้งหลายปี จิ่วหลี่เจ้ายังใจร้อนเหมือนเดิม พอได้ยินข่าวเรื่องข้า ก็รีบมาหาข้าทันทีโดยไม่มีการตรวจสอบ” ลู่เซิ่งหมุนตัวมาสบตากับนาง พร้อมกับผุดรอยยิ้มที่ไม่อาจบรรยาย
ซั่งหยางจิ่วหลี่เห็นในที่สุดเขาก็ยอมรับ ตอนแรกนางเพียงคาดเดา ตอนนี้พอได้รับการยืนยัน ในใจก็เกิดความตื่นตระหนกเหลือจะกล่าว
ลู่เซิ่ง บุรุษที่เหมือนกับภูตผีและเทพเทวะผู้นี้ใช้เวลาสิบกว่าปีในการสร้างอำนาจเทียมฟ้าขึ้นมา
ตอนอยู่ที่แดนเหนือ นางนึกว่าตัวเองประเมินอีกฝ่ายไว้สูงมากพอแล้ว กระนั้นกลับนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่บุรุษผู้นี้ซ่อนไว้ใต้รูปลักษณ์ที่ไร้อันตราย กลับเป็นศักยภาพอันน่ากลัวราวกับอสูรดึกดำบรรพ์
“ผ่านมาตั้งหลายปี ข้าได้ยินว่าเจ้าไปต้าอิน หลังจากนั้นเล่า เหตุใดจึงคิดกลับมาอีก” ซั่งหยางจิ่วหลี่เว้นไปชั่วครู่ ก่อนจะถามเบาๆ
“ข้ากลับมาเพราะมีเป้าหมายของตัวเอง” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอบอุ่น “แต่ตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำไปพอสมควรแล้ว ข้าเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังต้าอิน นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเจอตัวข้าเสียก่อน”
“เจ้าจะไปอีกหรือ ใช่สินะ สำหรับเจ้าแล้ว ต้าซ่งเล็กเกินไป” ตอนนี้ซั่งหยางจิ่วหลี่ฝึกฝนมาเป็นเวลาร้อยปี เป็นผู้เข้มแข้งระดับผู้ถืออาวุธมานานแล้ว แต่แม้จะมีพลังแบบนี้ก็ยังคงเกิดความรู้สึกกดดันที่เหมือนหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่งอยู่ดี
“อยากไปกับข้าหรือไม่” ลู่เซิ่งถาม “ด้วยแผนการของข้าในปัจจุบัน การพาคนไปส่วนหนึ่งไม่ถือเป็นอะไร”
ปัจจุบันลู่เซิ่งมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมยินดีช่วยเหลือสหายในอดีต ยิ่งไปกว่านั้นซั่งหยางจิ่วหลี่ยังมีพรสวรรค์เกินคนและพลังใจที่ไม่เลว ขอแค่ได้รับเวทีที่เหมาะสม การพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร
โลกปิดผนึกที่มารดาแห่งความเจ็บปวดควบคุมใบนี้ได้จำกัดนางเอาไว้
“ไปกับเจ้าหรือ” ซั่งหยางจิ่วหลี่งุนงง นางในตอนนี้เป็นประมุขตระกูลซั่งหยาง หลังจากซั่งหยางเฟยหายตัวไปอย่างลึกลับและนางรอดมาจากภัยพิบัติมารมาได้ ตัวนางก็ได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางคนรุ่นก่อนที่เหลืออยู่
ซั่งหยางจิ่วหลี่อดเกิดความลังเลไม่ได้เมื่อมองดูลู่เซิ่งผู้ลึกลับยากคาดเดาตรงหน้า
นางเข้าใจดีว่า การติดตามบุรุษตรงหน้าไปจะทำให้พบเจออันตรายมากมายที่เสี่ยงกว่าเดิม พูดถึงการพัฒนา สมัยที่ลู่เซิ่งออกจากต้าซ่ง พลังของเขาก็ก้าวข้ามนางในตอนนี้ไปแล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่ไปต้าอินนานขนาดนั้น กอปรกับตอนนี้ผ่านไปหลายร้อยปี ยิ่งไม่ทราบว่าพลังไปถึงระดับไหนแล้ว
การติดตามเขาไปจะต้องทำให้สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างใหญ่หลวงแน่ เพียงแต่…
“ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าไปตรึกตรองดูก่อน” ความจริงลู่เซิ่งคิดจะสร้างองค์กรที่เอาไว้ใช้วิจัยความประหลาดลี้ลับจริงๆ
ความประหลาดลี้ลับไม่อาจถูกทำลาย เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ของมารดาแห่งความเจ็บปวดเท่านั้น ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ก็มีอยู่บ้างเช่นกัน แต่ไม่ได้ชุกชุมขนาดนี้
หนำซ้ำความประหลาดลี้ลับยังค่อยๆ ทวีจำนวนอีกด้วย
สิ่งที่ลู่เซิ่งกังวลก็คือ จะมีวันหนึ่งที่ความประหลาดลี้ลับยึดครองสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ส่วนใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่อันตรายและแปลกประหลาด
ความประหลาดลี้ลับพวกนี้เหมือนกับผู้ป่วยอาการหนักที่หมดหวัง บนตัวมีตุ่มหนองมากมายผุดขึ้นเต็มไปหมด
ลู่เซิ่งพลันฉุกใจได้
‘บางทีความประหลาดลี้ลับ…อาจเป็นเพราะจักรวาลป่วยจริงๆ ก็ได้’
เขาคิดว่าตัวเองควรสร้างระบบข้อมูลเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดดู
ตอนนี้ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็ไตร่ตรองเสร็จแล้วเช่นกัน
“ขออภัย ข้ายังมีหลานสาวหลานชาย ยังมีคนหลายคนที่ต้องการให้ข้าปกป้อง…”
“เจ้าแต่งงานแล้วหรือ” ลู่เซิ่งพลันกล่าวอย่างประหลาดใจ
ซั่งหยางจิ่วหลี่พยักหน้า
“แต่งตั้งแต่หกสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
เพราะมีพันธนาการจากทางครอบครัว จึงไม่อาจทำตัวอิสระได้เหมือนเมื่อก่อนอีก ลู่เซิ่งเองก็ไม่ได้ฝืนใจอีก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ช่วยข้ารักษาพัฒนาการของสมาคมวิจัยก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งโบกมือดีดนิ้ว หยดน้ำหยดหนึ่งกลายเป็นตราประทับสีทองอ่อนแล้วประทับลงบนหลังมือของซั่งหยางจิ่วหลี่
“พวกเราจะเจอกันอีก วางใจเถอะ” สิ้นเสียง เขาก็ค่อยๆ หายไปจากที่นั่ง
ซั่งหยางจิ่วหลี่มองตราประทับทรงหยดน้ำบนหลังมือ ในใจเกิดความรู้สึกผิดหวังที่บรรยายไม่ได้โดยไม่มีสาเหตุ
…
ต้าอิน ริมฝั่งแม่น้ำไหลเอื่อย
หลี่ซุ่นซียืนนิ่งอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมสีขาวอมเทา ยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกับมองท้องฟ้าดวงดารา
ลมกลางคืนพัดผ่าน พัดเคราที่ยาวถึงหน้าอกของเขาให้ขยับไหวเล็กน้อย
“น้ำค้างสารทกลางสายลมเย็นเมื่อสาย ความเดียวดายถึงชนะความหนาวได้…” เขาถอนใจยาวแล้วหยิบเอากระดาษข้อมูลที่ส่งมาจากสำนักไตรอริยะในต้าซ่งขึ้นมา
“สำนักไตรอริยะในต้าซ่ง…พี่ใหญ่ลู่เซิ่ง…” องค์กรลึกลับที่มีชื่อว่าสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับผุดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้นำขององค์กรถึงกับชื่อว่าลู่เซิ่ง
นี่ทำให้หลี่ซุ่นซีที่ส่งคนออกตามหาที่อยู่ของลู่เซิ่งมาโดยตลอดได้เบาะแสอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งคนไปสังเกตการณ์และวาดภาพเหมือน
และภาพเหมือนที่ได้รับก็เหมือนกับที่หลี่ซุ่นซีคิดไว้ เป็นลู่เซิ่งที่หายสาบสูญไปร้อยกว่าปีนั่นเอง
หลังจากอาจารย์หายตัวไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน หลี่ซุ่นซีก็รับอำนาจปกครองสาขาหนึ่งในสำนักไตรอริยะมา
ด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน ทำให้ตัวเขามีคุณสมบัติควบคุมสำนักอริยะทั้งหมดได้จริงๆ นอกจากจะใจโลเลไปบ้าง ในช่วงเวลาที่เขาปกครองสำนักอริยะ สาขาของเขากลับพัฒนาเร็วกว่าอีกสองสาขา
ในเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบปี สำนักไตรอริยะของต้าอินก็กลายเป็นของเขาคนเดียว ราชาอริยะอีกสองคนเสียวาจาสิทธิ์ไปอย่างสมบูรณ์
สำนักไตรอริยะเปลี่ยนจากสภาพกึ่งซ่อนเร้นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับต้าอิน
หลังภัยพิบัติใหญ่ ต้าอินได้ฟื้นคืนชีพ สาเหตุที่ราชวงศ์สถาปนาขึ้นใหม่ตั้งตัวได้อย่างราบรื่น เป็นเพราะการสนับสนุนอย่างสุดกำลังของหลี่ซุ่นซีนั่นเอง
เพียงแต่ชีวิตในปัจจุบันเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ เสียแล้ว
……………………………………….