ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 758 ม่านมืด (2)
“ผ่านไปร้อยปีแล้วหรือนี่ พี่ใหญ่ลู่เซิ่ง…ไม่รู้ว่าผ่านไปร้อยปีแล้วท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลี่ซุ่นซีวางกระดาษรายงานลงแล้วยกมือขึ้นกวัก สุราจอกหนึ่งลอยเข้าหามือของเขาจากด้านหลัง
เขาเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก
“เจ้ายังใจอ่อนเหมือนเดิม ชอบเป็นห่วงคนอื่นอยู่เรื่อย” อยู่ๆ เงาคนพร่ามัวสายหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากผิวน้ำที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เงาคนค่อยๆ กลายเป็นวัตถุกลางละอองน้ำ จับตัวเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำที่มีใบหน้าองอาจ แต่แฝงความเคร่งขรึมคนหนึ่ง
“พี่ใหญ่ลู่?!” หลี่ซุ่นซีตกใจ พอเห็นผู้มาชัดเจน ก็พลันดีใจ
ด้วยความพลุ่งพล่านใจ เขาโผทะยานไปทิ้งตัวลงด้านหน้าลู่เซิ่งบนผิวน้ำเหมือนเดินบนพื้นเรียบ
“ท่าน...” เขายังไม่ทันเอ่ยปากก็ถูกลู่เซิ่งตัดบท
“ช่วยข้าสักอย่างสิ สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับที่ข้าเพิ่งสร้างขึ้นต้องการยอดฝีมือเข้าร่วม เจ้านับเป็นคนหนึ่งในนี้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“สมาคมวิจัยหรือ สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับน่ะหรือ” หลี่ซุ่นซีย่อมให้ความสนใจขุมกำลังลึกลับของลู่เซิ่ง
“นั่นก็แค่ทดลองดู สมาคมวิจัยของจริงไม่พิกลพิการแบบนั้นหรอก” ลู่เซิ่งว่าพลางหัวเราะ “ข้าสงสัยว่าความประหลาดลี้ลับจะเป็นความเจ็บปวดที่โลกให้กำเนิดขึ้น เกิดความหนาแน่นของความประหลาดลี้ลับไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขให้แก่โลกทั้งใบได้”
“หา!” หลี่ซุ่นซีตกใจ
ลู่เซิ่งบอกการคาดเดาของตัวเองต่อ โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงผลกระทบของความประหลาดลี้ลับต่อโลก เขายังได้เล่าการเปรียบเทียบระหว่างความหนาแน่นของความประหลาดลี้ลับและระดับความเสื่อมโทรมของโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นให้หลี่ซุ่นซีฟังอย่างละเอียดด้วย
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง!” สีหน้าของหลี่ซุ่นซีค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
“มาเถิด น้องชาย โลกต้องการเจ้านะ” ลู่เซิ่งตบไหล่เขา
หลี่ซุ่นซีเป็นคนโชคดีตั้งแต่กำเนิด อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่คุณค่าของหยกปีศาจที่หยั่งรู้อนาคตได้ในตัวเขาก็ยากจะประเมินแล้ว
เป็นเพราะสาเหตุนี้ มารดาแห่งความเจ็บปวดถึงขั้นส่งคนมาจัดการเขา แต่ถูกความสามารถหยั่งรู้ของหยกปีศาจพยากรณ์ได้ก่อน เลยหลบหนีสำเร็จ
“การรักษาสันติภาพของโลก และการรักษาเสถียรภาพของสรรพสัตว์เป็นแนวคิดสูงส่งที่ข้าฝึกฝนมาชั่วชีวิต” หลี่ซุ่นซีตรึกตรองครู่หนึ่ง สายตาแน่วแน่ขึ้น “ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าพี่ใหญ่ท่านจะต้องมีความคิดอื่นแน่ แต่ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นอะไร สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ก็มีประโยชน์ต่อสรรพสัตว์และต่อโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น…ข้าขอเข้าร่วมด้วย!”
เขาถึงขั้นไม่ถามถึงเรื่องอื่นๆ เช่นว่าหลังเข้าร่วมแล้วจะมีข้อจำกัดอะไร จะส่งผลต่อสำนักไตรอริยะในปัจจุบันหรือไม่
ลู่เซิ่งหยิบสัญญาสลักค่ายกลอักขระที่ตัวเองสร้างขึ้นออกมา จากนั้นก็ลงนามในสัญญาร่วมกับหลี่ซุ่นซีโดยใช้ร่างหลักของตัวเองเป็นผู้รับรองเอกสาร และใช้สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับเป็นหัวข้อหลัก
หลี่ซุ่นซีลงนามโดยไม่อ่านเงื่อนไขใดๆ
เขาเชื่อว่าลู่เซิ่งจะไม่ทำร้ายเขา ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งเคยช่วยเขามาหลายครั้งหลายครา หากคิดจะลงมือจริงๆ ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้
ลู่เซิ่งเก็บสัญญาไป ก่อนจะแสดงความซาบซึ้งใจน้อยๆ
“เจ้าจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจนี้แน่” หลี่ซุ่นซีเป็นสมาชิกคนที่หนึ่งของสมาคมวิจัยแรกก่อตั้ง จากนี้เขายังจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีศักยภาพเข้าร่วมอีก
“หลังจากเข้าร่วมแล้วหลักๆ เราต้องทำอะไรหรือ” ตอนนี้หลี่ซุ่นซีค่อยรู้สึกตัว จึงถามอย่างงุนงงเล็กน้อย
“ตอนนี้สมาคมวิจัยมีแค่เจ้ากับข้าสองคน ข้ายังจะเชิญคนอื่นๆ เข้าร่วมอีก” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ต้าอินไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้ว”
“ต้าอินไม่มีตัวเลือกหรือ อย่างนั้นต้าซ่งเล่า ยังมีอาณาเขตอื่นๆ อีก...” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างสงสัย
“ในสายตาพี่ใหญ่ลู่ของเจ้า เกรงว่าทั่วทั้งดาวปรภพจะมีเจ้าคนเดียวที่เข้าตาเขา” อยู่ๆ ลำแสงดวงดาวสีฟ้าสายหนึ่งก็พุ่งลงมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากคนทั้งสอง มีคนสองคนยืนอยู่ในลำแสง
ทั้งสองใส่เกราะสีเขียว สะพายกระบี่ยาวสีขาวบริสุทธิ์ไว้บนหลัง ใบหน้าดุจกวนหยก แสงดาวเป็นกลุ่มๆ ฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลังตลอดเวลา
“เฉิงฮวนและเยวี่ยหรูหล่งจากหอหมื่นดาราแห่งสำนักวิญญาณไตรอริยะ คำนับผู้อาวุโสนอกลู่” ทั้งสองประสานมือ
“พวกท่านมากันเร็วดีจริง…” ลู่เซิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“มีผู้อาวุโสนอกลู่ทะลวงการป้องกันของดวงดาวจนมีช่องโหว่ให้มุด ถ้าแบบนี้แล้วยังเข้ามาไม่ได้อีก ก็ทำให้ความพยายามตลอดหลายวันของผู้อาวุโสนอกลู่เสียเปล่าจริงๆ แล้ว” เฉินฮวนที่รูปลักษณ์เหมือนกับสตรีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รออีกสักครู่ อีกเดี๋ยวเจ้าสำนักสวีจะมาถึงแล้ว” ลู่เซิ่งเตือน
“หือ? เจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่ออกโรงเองเลยหรือ เจอกันครั้งล่าสุดเมื่อหกร้อยกว่าปีก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักสวีฝึกฝนวิชากระบี่พันสารทสารพันสำเร็จหรือยัง” เฉิงฮวนเอ่ยอย่างสงสัย
“ทางประมุขหอเฉิงฮวนก็ฝึกฝนเคล็ดดวงดารานิรโทษสำเร็จแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แสงสายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งพุ่งมาถึงจากที่ไกล สายฟ้านับไม่ถ้วนจับตัวกันเป็นเงาคนที่ลู่เซิ่งคุ้นเคย เป็นสวีฮ่าวไป่นั่นเอง
“พี่สวี”
“น้องลู่ ดูเหมือนทางเจ้าจะเป็นไปอย่างราบรื่นทีเดียว” สวีฮ่าวไป่ใช้จิตวิญญาณสัมผัสดูเล็กน้อย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่อยู่รอบๆ
“รีบเผด็จศึกน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นบ้านเกิดของข้า ข้าก็ไม่อาจดำเนินการได้อย่างแนบเนียนขนาดนี้เช่นกัน” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
หลี่ซุ่นซีมึนงงไปหมด คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสหายในระดับเดียวกับพี่ใหญ่ลู่ แสดงว่าล้วนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ แต่เขาที่อยู่ในต้าอินก็มีสถานะสูงส่งเช่นกัน ทั้งยังครอบครองข้อมูลในใต้หล้า กลับไม่เคยได้ยินชื่อของคนพวกนี้มาก่อน...
“ขอเรียนถามว่าท่านพี่ทั้งหลายมาต้าอินมีความตั้งใจใดหรือ…” เขาประสานมือให้อีกฝ่ายพลางกล่าวถาม
“สามหาว!” ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำสายหนึ่งทะยานมาจากที่ไกลแล้วกลายเป็นสตรีสวมอาภรณ์ดำ
นางไม่มีหู ใบหน้าหมดจด อาภรณ์สีดำบนตัวมีสัญลักษณ์ที่เหมือนกับแมงมุม ดูดุดันชั่วร้าย
“เจ้าใช้คำเรียกท่านพี่ได้อย่างไร เป็นแค่คนธรรมดาแท้ๆ…”
หลี่ซุ่นซีงงงวย เขามองดูสวีฮ่าวไป่กับคนจากหอหมื่นดาราสองคน รู้สึกแม้พวกเขาจะแสดงสีหน้าอ่อนโยน แต่ไม่ได้มองมายังตัวเองเลย
จุดศูนย์รวมของคนทุกคนคือพี่ใหญ่ลู่เซิ่งที่อยู่ข้างกายตน
หลี่ซุ่นซีไม่โมโหกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากว่าข้าน้อยไม่มีสิทธิ์เรียก อย่างนั้นทั่วทั้งต้าอินก็เกรงว่าจะมีสิทธิ์แค่ไม่กี่คนเท่านั้น”
มิคาดคนเหล่านี้ไม่สนใจเขา นอกจากสวีฮ่าวไป่ที่ยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือเหมือนมองเขาเป็นอากาศธาตุ
ลู่เซิ่งตบบ่าเขา
“เขาคือหลี่ซุ่นซี เป็นสหายที่ข้ายอมรับ ข้าไม่อยากได้ยินใครหยามเขาต่อหน้าอีก”
เขาเหลือบไปจ้องมองสตรีอาภรณ์ดำด้านหลัง
นางพลันขนลุกขนพอง จิตวิญญาณบนร่างส่งเสียงเตือนภัยอย่างบ้าคลั่งเหมือนคางคกที่ถูกศัตรูธรรมชาติจับจ้อง
นางอดก้าวถอยหลังน้อยๆ ไม่ได้
“ในเมื่อจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งออกปากเอง ข้าก็ขออภัยกับการพลั้งปากเมื่อครู่นี้ด้วย” นางยืดได้หดได้ ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงถึงกับกล่าวขอโทษมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
สามคนที่เหลือต่างหมดคำพูด ขณะเดียวกันก็ยืนยันได้เพิ่มขึ้นว่าพลังของลู่เซิ่งในปัจจุบันอยู่ตรงไหน
ในฐานะมายาพิศวงเหมือนกัน มารสวรรค์มายาพิศวงแข็งแกร่งกว่าเท่าหนึ่ง และเห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่งยังเป็นผู้โดดเด่นท่ามกลางเหล่ามารสวรรค์มายาพิศวงอีก ต่อให้ทิ้งกายอมตะไป แต่ก็ยังสะกดผู้ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกันซึ่งๆ หน้าได้ เห็นได้ชัดถึงอนุภาพของพลัง
ลู่เซิ่งไม่ได้ตักเตือนกองหนุนที่มาช่วยเหลือรุนแรงเกินไป อย่างไรก็อยู่ในถิ่นศัตรู งานหลักสำคัญยิ่งกว่า
ส่วนศักดิ์ศรีของหลี่ซุ่นซี ต้องทำให้ผู้อื่นมอบให้หรือแย่งชิงมาเอง เขาควรจะเข้าใจหลักการนี้ ต่อจากนี้แค่ขยันไว้ก็พอ
“ในเมื่อคนมาครบแล้ว พวกเราก็คุยแผนการต่อจากนี้ได้เสียที”
เขายืนกล่าววาจาอยู่กลางกลุ่มคนอย่างฉะฉานในฐานะผู้นำ
“ข้าวางจุดระเบิดสิบจุดไว้บนตาข่ายดำกฎเกณฑ์แล้ว ถ้าราบรื่น พวกเราจะจัดการผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องที่ซ่อนตัวในพิภพมารได้โดยสมบูรณ์ในเวลาประมาณสองวัน”
“ต้องการให้พวกเรากำจัดจักรพรรดิมารสองตนก่อนไหม” เฉิงฮวนถาม
“ไม่จำเป็น พวกเขาเป็นแค่ตุ๊กตาหุ่นเชิด พิภพมารเป็นที่ทดลองของคนพวกนั้นต่อโลกมนุษย์ เกิดว่ามีปัญหา ประตูแห่งความเจ็บปวดจะต้องเปิดออก ถึงเวลานั้น…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบก็มีคนเอ่ยต่อทันที
“ข้าจะขวางประตูเอง” เยวี่ยหรูหล่งที่อยู่ข้างเฉิงฮวนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “แต่แทนที่จะขวางประตูข้าว่ากำจัดแหล่งกำเนิดพลังศัสตราดีกว่า”
“ไม่ เป้าหมายแรกของพวกเราไม่ใช่สิ่งนี้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อจากนี้จะมีประตูแห่งความเจ็บปวดเปิดออกอย่างน้อยสามบาน พี่สวีมากับข้าดีไหม”
สวีฮ่าวไป่หัวเราะ “หรือเจ้าคิดจะ?”
“ถูกต้อง เมื่อประตูแห่งความเจ็บปวดถูกขวาง หากพวกมันจะระดมกำลังมาฝ่าวงล้อม จะต้องเปิดเสาแหล่งกำเนิดความเจ็บปวดกับประตูแห่งสงครามแน่ ตัวตนระดับสูงสุดต้องใช้ประตูแห่งสงครามเท่านั้นถึงจะเข้าออกได้อย่างเป็นอิสระและปลอดภัย”
ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“และขอแค่พวกมันเปิดประตูแห่งสงครามเมื่อไหร่…โลกแห่งความเจ็บปวดก็จะเปิดจุดอ่อนให้พวกเราแบบไม่มีการป้องกันใดๆ…”
“ถึงเวลานั้น พวกมันคิดปิดก็ไม่ทันกาลแล้ว…” สตรีอาภรณ์ดำคนนั้นส่งเสียงหัวเราะเย็นชาอย่างฉับพลัน
“วิชากระบี่พันสารทสารพันของข้ายังขาดสิ่งมีชีวิตมาเซ่นกระบี่พอดี ถึงตอนนั้นทุกท่านได้โปรดอย่าแย่งชิงกับข้า หลังเสร็จเรื่องแล้วผู้แซ่สวีจะขอบคุณอย่างงาม” สวีฮ่าวไป่รีบบอกกล่าว ระดับลวงตาที่มีพลังไม่เลวและมีจำนวนมากมายเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆ
“แกนกระดูกมังกรอิงหล่งหนึ่งชิ้น”
“เตาเทพบุปผาหนึ่งเตา”
“ข้าต้องการผลึกด้านพืชพรรณหนึ่งชุด!”
คนอื่นๆ พากันส่งเสียงขอของล้ำค่า แต่เพราะเกรงใจสำนักนทีคราม เลยไม่กล้าขอมากเกินไปนัก
“อย่างนั้นก็ขอขอบคุณทุกท่านด้วย ความจริงการเซ่นวิชากระบี่ของผู้แซ่สวีแค่ต้องการสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งแสนล้าน สิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความเจ็บปวดมีคุณภาพไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าจะใช้หมด” สวีฮ่าวไป่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถึงเวลานั้นทุกคนพึ่งความสามารถของตัวเองเถอะ” ลู่เซิ่งไม่นำพาเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย สำหรับตัวตนระดับพวกเขา สิ่งมีชีวิตก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“ตามความต้องการของจักรพรรดิมารชุ่นอิ่ง”
คนที่เหลือไม่โต้เถียงอีก
หลี่ซุ่นซีที่คอยฟังพวกเขาสนทนาอยู่ใกล้ๆ แรกเริ่มยังรักษารอยยิ้มและความเยือกเย็นไว้ได้ แต่หลังจากเนื้อหาสนทนาลงลึกขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแล้ว
ใบหน้าที่เดิมทีสงบนิ่งซีดขาวและเคร่งเครียดขึ้น
คนพวกนี้ถึงกับแบ่งสันปันส่วนสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความเจ็บปวดเสร็จสิ้นขณะกำลังคุยสัพเพเหระกัน
กองทัพน่ากลัวจำนวนมากของมารดาแห่งความเจ็บปวดผู้ยิ่งใหญ่ กลับเหมือนเนื้อบนเขียงในสายตาของคนพวกนี้ ท่านเอาไปชิ้นหนึ่งข้าขอมาชิ้นหนึ่ง ยังไม่ทันลงมือก็ถูกแบ่งกันจนเกลี้ยง นี่มันช่าง…
“อย่าสนใจเลย เมื่อครู่พวกเขาล้อเล่นกัน” ลู่เซิ่งตบไหล่เขาพลางส่งกระแสเสียง “ล้อเล่น”
หลี่ซุ่นซีมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าซีดขาวก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือ
“พี่ใหญ่ลู่…ข้ามันคนขี้กลัว…ท่านบอกกล่าวให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่…ว่าพวกท่านมาทำอะไรกันแน่!”
ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงไป เจ้าได้ค่าตอบแทนแน่ และหลังจากเข้าร่วมกับสมาคมวิจัยแล้ว เจ้าจะเข้าใจอย่างรวดเร็ว ต่อจากนี้จะได้เห็นของพวกนี้บ่อยขึ้น อีกเดี๋ยวก็จะมีสหายเก่ามา เจ้าอย่าลืมปรามเขาไว้ อย่าปล่อยให้เขาวู่วามเล่า”
ลู่เซิ่งกล่าวกำชับ ครั้งนี้เขาได้หาคนที่ตัวเองต้องการตัวมาก่อนที่จะลงมือ ไม่อย่างนั้นเกิดเปิดศึกแล้วฆ่าผิดตัว ก็เป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว
……………………………………….