ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 759 ต่อสู้ (1)
ส่วนคนที่จะตามหาคือใครนั้น
ลู่เซิ่งเป็นคนแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร เช่นอริยะเจ้าชราทงเซิงที่คอยดูแลเขาตอนเขาเป็นเจ้าสำนักสาขาย่อยของสำนักพันอาทิตย์ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เขาคิดจะดูแลก่อน
“ถ้าทำได้ ข้าพาคนส่วนหนึ่งมารับการคุ้มครองได้หรือไม่” หลี่ซุ่นซีรู้สึกได้ว่าพวกลู่เซิ่งอาจจะทำเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าดิน เขาจึงอดส่งเสียงถามด้วยความลำบากใจไม่ได้
“จำกัดแค่สิบคนนะ” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ขอบพระคุณพี่ใหญ่ลู่!”
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรมากอีก
ตอนนี้มายาพิศวงอีกสี่คนที่เหลือได้แบ่งผลลัพธ์หลังจากลงมือเรียบร้อยแล้ว
“อย่างนั้นข้าจะลงมือก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมองพวกเขา “ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพวกเราต้องรีบเผด็จศึกมายาพิศวงสองคนทางฝั่งมารดาแห่งความเจ็บปวด มายาพิศวงที่มาสนับสนุนจากภายนอกซึ่งมีความเป็นมาไม่แน่นอนเหล่านั้นจะได้ให้การสนับสนุนไม่ทัน ดังนั้นข้าหวังว่าทุกท่านจะไม่ถูกถ่วงเวลาตอนลงมือ ถ้าหากเผด็จศึกไม่ได้ ให้รีบถอนตัว แล้วผนึกกำลังกันเอาชนะฝั่งหนึ่งให้ได้ก่อน!”
“กล่าวมีเหตุผล” เฉิงฮวนพยักหน้า “เพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าสำนักได้ให้ข้านำคันฉ่องอัญเชิญวิญญาณไตรอริยะมาบานหนึ่ง ถ้ามีอุบัติเหตุอะไร ทุกคนจงมารวมตัวกันที่ข้า!”
คนอื่นๆ พากันพยักหน้า
“อย่างนั้น ให้ลงมือตามสัญญาณ” ลู่เซิ่งส่งเสียง
ฟิ้วๆๆ!
ทันใดนั้นคนทั้งหลายก็กลายเป็นเส้นสีดำหายไปจากผิวน้ำ เหมือนกับไม่เคยปรากฏตัวมาตั้งแต่เริ่มแรก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” ลู่เซิ่งวางมือลงบนบ่าหลี่ซุ่นซี ลำแสงกลุ่มหนึ่งกะพริบขึ้นด้านหน้าคนทั้งสอง พริบตาเดียวก็กลายเป็นสถานที่อื่น
ด้านหน้าหลี่ซุ่นซีพร่ามัวลง รอได้สติกลับมาตนก็มายืนอยู่หน้าเหลาสุราแห่งหนึ่งในเมืองภูผาเหลืองที่อยู่ใกล้ๆ แล้ว
“ต่อจากนี้ต้องพึ่งพลังของเจ้าแล้ว น้องชาย” ลู่เซิ่งขยับริมฝีปากส่งกระแสเสียงให้แก่หลี่ซุ่นซีเงียบๆ
สีหน้าของหลี่ซุ่นซีเปลี่ยนแปลง ก่อนจะค่อยๆ ฉายความกระจ่างออกมา
“ไม่มีปัญหา คนพวกนี้หาตัวง่ายมาก วันเดียวก็เจอแล้ว เพียงแต่หลังจากตามหา…”
“ทำให้สลบทั้งหมดแล้วลากกลับมาก็ได้ ข้าคิดเผื่อความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขา พวกเขาคงจะเข้าใจ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“…” หลี่ซุ่นซีผุดสีหน้าพิลึก ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ตูม!
อยู่ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังมาจากกลางท้องฟ้า ทั้งๆ ที่เป็นวันอากาศดี ไม่มีเมฆบดบัง แต่ว่ากลับมีสายฟ้าระเบิดขึ้นกลางวันแสกๆ
เหล่าคนเดินถนนที่อยู่ด้านล่างไม่ทันตั้งตัว ถูกกระแทกจนมึนหัวตาลาย โซเซซ้ายขวา รีบหาที่หลบซ่อนตัว
มีคนไม่น้อยกรีดร้องเสียงดัง แต่ก็ไม่มีประโชน์อะไร เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องกลบเสียงทั้งหมดอีกครั้ง
ตูม!
ตูม!
ตูม!
หลังเสียงฟ้าร้องระเบิดเป็นครั้งสุดท้าสย ฟ้าสีครามก็ถูกฉีกออกเป็นรอยขาดขนาดยักษ์สีแดงเข้มสายหนึ่ง
หลี่ซุ่นซีผุดสีหน้าตื่นตระหนก เงยหน้ามองการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงบนท้องฟ้า ในใจเดาได้ว่า นี่เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นสถานการณ์ที่พวกลู่เซิ่งสร้างขึ้น
“แนวป้องกันมีช่องว่างแล้ว ต่อจากนี้แค่รอเฉยๆ ก็พอ” ลู่เซิ่งตบไหล่เขา “รีบไปจัดการเถอะ อย่าลืมว่ามีเวลาแค่วันเดียว”
หลี่ซุ่นซีข่มความตกใจและพยักหน้าแรงๆ ก่อนจะหมุนตัวกระโดดกลายเป็นลำแสงสีขาวหายไปจากตรอกบนถนนใหญ่
ดีที่ตอนนี้ทุกคนตกใจเพราะมีฟ้าร้องตอนกลางวัน คนที่เห็นเขาจึงมีไม่มาก นอกจากนี้ต้าซ่งยังมีผู้บำเพ็ญแบบนี้อยู่ด้วย จึงไม่มีอะไรให้ตื่นตูม
หลังหลี่ซุ่นซีจากไป ลู่เซิ่งก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ร่องแยกสีแดงเข้มขนาดยักษ์กลางท้องฟ้าพาดขวางผ่านคลองจักษุ แบ่งแยกท้องนภาบนศีรษะจากหนึ่งเป็นสอง และกะพริบแสงสีแดงเจิดจ้า
“ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะเอาอะไรมาสู้…” เขาแค่นหัวเราะก่อนจะก้าวเข้าไปในเหลาสุรา
…
ณ โลกแห่งความเจ็บปวด นครเมฆามัชฌิมา
กลางอารามยักษ์สีขาวราวหิมะที่ไร้รอยตำหนิ เมฆนับไม่ถ้วนเดี๋ยวก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เดี๋ยวก็กลายเป็นตำหนัก บางครั้งก็จับตัวเป็นสิ่งมีชีวิตมากมายเดินเหินไปมา
อารามทั้งอารามมีแต่เมฆเท่านั้น
ตอนนี้กลางเมฆานับไม่ถ้วนมีสตรีสวมกระโปรงดำที่สูงสิบกว่าหมี่คนหนึ่งนั่งอยู่
บนใบหน้านางมีดวงตาสีเลือดขนาดใหญ่ข้างเดียว ตอนนี้นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เหมือนกับหยกขาวด้วยสีหน้า อึมครึม
“มีคนก่อความวุ่นวายที่ตาข่ายดำกฎเกณฑ์ของดาวดวงที่สาม ส่งคนไปดูที” นางพลันยกมือขึ้น ก้อนสีดำฉลุลายที่ประกอบขึ้นจากเส้นสีดำนับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏกลางฝ่ามือ
เพียงแต่ตอนนี้หลายจุดบนผิวก้อนสีดำมีแสงสีแดงหลายกลุ่มลุกไหม้ขึ้น เหมือนกำลังถูกโจมตี
เงาคนร่างกำยำสูงใหญ่สองสามสายค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นกลางหมอกควันในลักษณะคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น
“ต้องการให้อันตั่วไปดูหรือไม่” คนผู้หนึ่งถามเสียงเบา
“ไม่ต้องรีบร้อน ให้กลุ่มลาดตระเวนไปตรวจสอบก่อน ถ้าหากจัดการไม่ได้จริงๆ ค่อยให้อันตั่วไป” มารดาแห่งความเจ็บปวดกล่าวอย่างราบเรียบ
เงาคนสองสายรับคำแล้วหายไปจากหมู่เมฆอย่างรวดเร็ว
“ตาเฒ่าจิ่งฮุ่ยทำอะไรอยู่” มารดาแห่งความเจ็บปวดถามเบาๆ อย่างหงุดหงิด
เสียงสตรีแหลมสูงรีบตอบจากกลางหมู่เมฆ
“ใต้เท้าจิ่งฮุ่ยกำลังชมดอกไม้อยู่ที่แดนเมฆาเจ้าค่ะ”
“เขาไม่ได้ทำนายอันใดเพิ่มหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ” เสียงสตรีตอบกลับ
มารดาแห่งความเจ็บปวดพลันทำท่าจริงจังขึ้นเล็กน้อย หลังจากขังตาเฒ่าผู้นี้ไว้ในระบบดาวปรภพเมื่อหมื่นปีก่อน คำทำนายที่นางได้รับก็มีอยู่เหลือคณานับ กล่าวได้ว่าขุมกำลังยิ่งใหญ่ของนางในตอนนี้ นอกจากพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว มีส่วนใหญ่มาจากการที่พลังแห่งคำทำนายของจิ่งฮุ่ยเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
แต่เกือบพันปีมานี้ คำทำนายของจิ่งฮุ่ยลดน้อยลงเรื่อยๆ ต่อให้จะมี ก็ไม่ได้ละเอียดแม่นยำเหมือนเมื่อก่อนอีก นี่ทำให้มารดาแห่งความเจ็บปวดไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
‘ดูเหมือนตาเฒ่านี่จะมีแผนการอื่นในใจแล้ว…’ มารดาแห่งความเจ็บปวดครุ่นคิด ขณะกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปกินอาหารนั้นเอง
เปรี้ยงๆๆ!
ทันใดนั้นก้อนสีดำกลางฝ่ามือนางก็ระเบิดแสงเพลิงสีแดงออกมาหลายกลุ่ม แสงเพลิงจำนวนมากแทบจะระเบิดก้อนสีดำในมือนางจนแหลกเละ
“บังอาจ!?” มารดาแห่งความเจ็บปวดพลันเบิกตากว้าง เพลิงโทสะที่ไม่เคยมีมาก่อนทะลักออกมาจากใจ
กี่ปีแล้ว! กี่ปีแล้วที่ไม่มีคนกล้าท้าทายอำนาจของนางในระบบดาวปรภพเช่นนี้!
นางพลันรู้ได้ทันทีว่า การโจมตีแบบนี้มาจากภายในดาวปรภพ
“ไอ้พวกมนุษย์บัดซบ! หาที่ตาย!” นางลุกพรวดขึ้นแล้วระเบิดแสงสีเทาเข้มกลุ่มหนึ่งออกมาจากทั่วร่าง
“ฝูเค่อน่า!”
“ขอรับ ท่านหญิง” ยักษ์ที่มีหัวเป็นคนตัวเป็นงูและมีขาแน่นขนัดเหมือนกับตะขาบตนหนึ่งค่อยๆ คลานออกมาจากหมู่เมฆที่อยู่ไกลออกไป
“พาผู้ใช้วิชาชั่วร้ายของเจ้าไปตรวจสอบคนร้าย แล้วกินพวกมันทั้งเป็นเสีย!” ในเสียงของมารดาแห่งความเจ็บปวดแฝงการคำรามน้อยๆ
“ตามประสงค์ของท่าน”
ยักษ์ยิ้มรับและถอยหลังช้าๆ ไม่นานก็หายเข้าไปในเมฆหมอกหนาทึบ
อารามเงียบสงัดอีกครั้ง
มารดาแห่งความเจ็บปวดนั่งลงใหม่ เพลิงโทสะบนใบหน้าจางหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนการแสดง
“ดูเหมือนพวกมันเตรียมจะลงมือแล้ว”
“สำเร็จล้มเหลวขึ้นอยู่กับครั้งนี้ ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก” เสียงเลือนรางล่องลอยตอบ
“เมื่อมีพวกท่านช่วยเหลือ ครั้งนี้ควรจะจัดการเสี้ยนหนามเหล่านั้นได้ในครั้งเดียว หลังจากนี้ ข้าอยากจะเห็นนักว่าสำนักนทีครามจะเอาอะไรมาสู้กับข้า” มารดาแห่งความเจ็บปวดพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ท่ามกลางเมฆหมอก เงาคนสูงใหญ่ที่มีรูปร่างพิลึกและน่ากลัวสามสายมองดูมารดาแห่งความเจ็บปวดด้วยสองตาที่เรืองแสงสีแดง ทั่วร่างมีปราณสีดำที่เหมือนกับควันดำลอยวนเวียนอยู่
…
ลู่เซิ่งเงยหน้าและกรอกสุรากาหนึ่งเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
ฟ้าร้องอย่างไม่หยุดยั้ง เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ในเหลาสุราแทบจะไม่เจอใครแล้ว เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ และคนงานวิ่งไปหลบในห้องใต้ดิน ด้วยกลัวว่าสายฟ้าจะผ่าลงมาใส่
บนท้องถนนก็ไม่มีผู้คนเช่นกัน คนเกือบทั้งหมดหาที่ซ่อนตัวแล้ว
ฟ้าร้องดังมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ร่องแยกสีแดงดั่งโลหิตเดี๋ยวก็ขยายตัวเดี๋ยวก็หดตัว ด้านในมีเปลวไฟสีแดงเข้มที่ร้อนแรงลุกไหม้อยู่
ไกลออกไปยังได้ยินเสียงตะโกนฆ่าฟันลอยมาอย่างเลือนราง
ฟุ่บ!
อยู่ๆ เงาพร่ามัวสายหนึ่งปรากฏแวบขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งแล้วกลายเป็นร่างขมุกขมัวของเฉิงฮวน
“ผู้อาวุโสนอกลู่ พวกเรามาถึงตำแหน่งแล้ว ลงมือได้เลยหรือไม่”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ลู่เซิ่งเทสุราใส่ปากเป็นครั้งสุดท้าย “ยังต้องรออีกนิด…”
“กำลังสนับสนุนรอบนอกลงมือแล้ว หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายตีแตกได้” เงาอีกสายหนึ่งโผล่ขึ้นทางขวาของลู่เซิ่งอย่างเลือนราง เป็นเยวี่ยหรูหล่งนั่นเอง
ลู่เซิ่งยิ้มจู่ๆ ก็พลิกฝ่ามือ ตราประทับสีม่วงที่เหมือนกับตัวอักษรซับซ้อนโผล่ขึ้นกลางฝ่ามือ ข้อมูลส่วนเล็กๆ ส่งเข้าไปในหูของเขาอย่างเงียบเชียบ
ซู่!
ชั่วพริบตานั้นมีเสียงแหลมเสียดหูดังขึ้นกลางท้องฟ้าบนศีรษะ คล้ายกับโลหะปะทะกันอย่างรุนแรง
“แย่แล้ว! นี่มัน…อาณาเขตมายาพิศวงกลับชาติมาเกิด!” เฉิงฮวนพลันสีหน้าเปลี่ยนแปลง เงาที่ส่งมาระเบิดเหมือนกับฟองสบู่ทันที
“เป็นกับดัก!” ภาพเสมือนของเยวี่ยหรูหล่งที่อยู่ด้านข้างก็ระเบิดหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
สตรีอาภรณ์ดำที่เพิ่งจะโผล่มา ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ระเบิดสลายไปในพริบตาเช่นกัน
มือที่ถือกาสุราของลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นทรงพลังดังมาจากบันไดด้านหลังอย่างช้าๆ
บุรุษที่สองตาเป็นสีแดงฉานและมีหนามกระดูกแหลมคมที่เหมือบกับมีดงอกออกมาจากแผ่นหลัง เดินขึ้นเหลาสุราโดยที่เปลือยร่างท่อนบนอันบึกบึน
…
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน
เฉิงฮวนนั่งอยู่บนของขลังที่เป็นพัดขนาดยักษ์สีชมพู นางจ้องมองที่ไกลด้วยสายตาเคร่งขรึม เงาคนสูงใหญ่ที่มีน้ำสีดำลอยวนเวียนรอบตัวค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากบนผิวน้ำตรงนั้น
เคร้ง!
สวีฮ่าวไป่ที่อยู่ห่างออกมาหมื่นลี้ถือกระบี่คู่ หมุนตัวไปป้องกันดาบยาวสีเทาเล่มหนึ่งที่ฟันมาจากด้านหลัง สนามพลังที่ทรงพลังและน่ากลัวสองสายปะทะหักล้างกันในทันใด ไม่มีรั่วไหลออกไปภายนอกแม้แต่น้อย
สตรีงดงามหยาดเยิ้มที่มีศีรษะสองข้างคนหนึ่งถือดาบด้วยสองมืออยู่ด้านหลังเขา สวมเกราะที่มีเปลวเพลิงสีม่วงลอยวนเวียน
เยวี่ยหรูหล่งกับสตรีอาภรณ์ดำลอยอยู่กลางอากาศเคียงไหล่กัน กำลังคุมเชิงกับผู้บำเพ็ญหญิงฝาแฝดผู้งดงามที่มีผิวพรรณขาวผ่องและรูปลักษณ์หมดจดสองคน เพียงแต่ในนัยน์ตาสองคู่ของผู้บำเพ็ญแฝดคู่นี้ไม่มีลูกตากลอกกลิ้ง มีแต่รูโหว่สีดำสนิทสี่รูเท่านั้น
“สำนักวิญญาณไตรอริยะเยวี่ยหรูหล่ง จ้าวซีจิงจากสำนักแปลงวายุหรือ มารดาแห่งความเจ็บปวดรอพวกเจ้ามานานแล้ว…” ผู้บำเพ็ญแฝดส่งเสียงหัวเราะแหลมสูงอย่างอย่างน่าขยะแขยง
“พวกเจ้ารู้การปฏิบัติการของพวกเราได้อย่างไร!? หรือว่า…!?” เยวี่ยหรูหล่งใจเต้น หรือว่าลู่เซิ่งจะเป็นไส้ศึกของมารดาแห่งความเจ็บปวด!?
สวบ!
ทันใดนั้นเยวี่ยหรูหล่งก็รู้สึกปวดที่เอว แสงสีดำสายหนึ่งเจาะทะลุเอวของเขา
จ้าวซีจิงซึ่งเป็นสตรีอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้าง แทงเขาด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
……………………………………….