ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 760 ต่อสู้ (2)
แกร๊ก
พื้นของเหลาสุราด้านหลังลู่เซิ่งเกิดรอยเท้าสีดำเกรียมที่ชัดเจนขึ้นหลายรอยตามการก้าวย่ำของผู้มา
บุรุษนัยน์ตาสีแดงพลิกมือชักดาบหนามกระดูกสองท่อนจากด้านหลังออกมาถือไว้ในมือ
ความบิดเบี้ยวที่โปร่งแสงสายหนึ่งปกคลุมลู่เซิ่งรวมถึงเหลาสุรารอบๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“นี่คือเขตมายาพิศวงกลับชาติมาเกิดหรือ” ลู่เซิ่งวางกาสุราและพิจารณารอบๆ อย่างฉงนฉงาย
“ถูกต้อง นี่คือเขตมายาพิศวงจุติ ผู้อาวุโสนอกลู่เป็นมารสวรรค์มายาพิศวงซึ่งแตกต่างกับพวกเรา อาจจะไม่ทราบ” ผู้มาส่งเสียงแหบพร่าเหมือนกับเครื่องสูบลมรั่ว ในลำคอมีแต่เสียงกระแสลมดังฟู่ๆ
“หลังเลื่อนเป็นมายาพิศวง จิต สารกาย และจิตวิญญาณจะรวมเป็นหนึ่ง บรรลุปฐมพลัง และรวมหลวมเข้ากับปฐมพลัง จากนั้นก็สร้างวัฏจักร เลียนแบบฟ้าดิน มายาพิศวงหมายถึงความเป็นมายาไม่เป็นจริง” ผู้มาอธิบายอย่างราบเรียบ
“เขตมายาพิศวงจุติ คือพลังที่พวกเจ้าครอบครองหลังจากสร้างวัฏจักรหรือ” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“ถูกต้อง หากอยู่ในเขตจุติ พลังทั้งหมดของเราจะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันในร่างยังมีพลังไร้สิ้นสุดและสามารถสะกดไม่ให้อีกฝ่ายแสดงพลังได้ด้วย” ผู้มาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าหากบอกว่าความแตกต่างของพลังในตอนเริ่มต้นของข้ากับท่านคือสามต่อหนึ่ง อย่างนั้นหลังจากกางเขตจุติแล้ว ก็จะกลายเป็นสามต่อสิบ ต่อยี่สิบ หรือสามสิบ!” บุรุษวาดสองดาบเป็นเส้นสีแดงเข้มสองสายกลางอากาศ
“สุดท้ายนี้ จงจำชื่อของคนที่จะฆ่าท่านไว้เถอะ…ข้าคือเจิง ฉายาอสูร…เจ็ดวิญญาณ” เสียงเพิ่งจะขาดลง บุรุษพลันเร่งความเร็ว แล้วปรากฏตัวขึ้นด้านข้างลู่เซิ่งในชั่วพริบตาเหมือนเคลื่อนร่างเปลี่ยนเงา ก่อนจะฟันสองดาบลงใส่
ตูม!
เหลาสุราระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ชิ้นส่วนกระจายออกไปรอบๆ เหมือนกับของเล่น พื้นยุบตัวและพังทลายลง หลุมลึกขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้อยหมี่แผ่ขยายออกมา
เมฆหมอกและฝุ่นผงนับไม่ถ้วนพลิกตัวฟุ้งกระจาย ไม่อาจเห็นก้นหลุมได้
ฟ้าว!
ลมแรงหอบหนึ่งพัดฝุ่นผงจำนวนมากออกไป เผยให้เห็นก้นหลุมตรงกลาง
ลู่เซิ่งจับดาบกระดูกในมือของเจิงด้วยสองมือ เลือดหลายหยดไหลลงมาตามฝ่ามือของเขา
เลือดสดๆ ที่หยดลงด้านล่างยังไม่ทันตกถึงพื้นก็ถูกพลังประหลาดสีแดงเข้มสายหนึ่งกลืนกินและทำลายทิ้ง
“ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านอยู่ในขอบเขตขั้นสองอย่างวัฏจักรลวงเท่านั้น กายเนื้อไม่อาจต้านทานเขตจุติฟาดฟันของข้าไหว” เจิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ หมุนตัวอย่างฉับพลัน แล้วกระแทกคมหนามกระดูกจำนวนมากจากด้านหลังใส่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งถอยฉากหลบดุจสายฟ้าแลบ สองมือปรากฏดาบยาวสีเหลืองอ่อนสองเล่ม แล้วใช้ท่าคร่าวิญญาณฟันใส่อีกฝ่าย
เกิดเสียงดังเปรี้ยง ดาบยาวสีเหลืองอ่อนแหลกสลาย ลู่เซิ่งป้องกันไม่ทันถูกการโจมตีที่รุนแรงถึงสองรอบฟันใส่บ่าอีกครั้ง
ซู่!
การป้องกันทางกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขาถูกดาบกระดูกฟันเป็นปากแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกสองสายภายใต้การสะกดของเขตจุติ
เลือดสดๆ จำนวนมากพุ่งกระฉูดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะถูกพลังงานสีแดงเข้มทำลายหายไปกลางอากาศ
“ต่อให้ท่านจะเป็นมารสวรรค์มายาพิศวง แต่หากว่าแม้แต่เซลล์ทั้งหมดที่จะคืนชีพถูกทำลายไปด้วย ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะเอาอะไรมาใช้คืนชีพ” เจิงส่งเสียงกู่ร้อง ก่อนจะหมุนร่างจากซ้ายไปขวาและฟาดฟันดาบกระดูกบนร่างใส่ลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่งทั้งสามร้อยหกสิบองศาโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย วรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ถูกสำแดงออกมาอย่างเต็มที่
ลู่เซิ่งเป็นปรมาจารย์ระดับสูงสุดเช่นกัน จึงขยายและสำแดงความได้เปรียบของตนออกมากลบจุดอ่อนได้ในเวลาเดียวกัน
ควบคุมตัวเองอย่างสมบูรณ์ แสดงขีดจำกัดของพลังที่สามารถแสดงออกได้ ผสานพลังเข้ากับทักษะได้อย่างแนบเนียน นี่เป็นอานุภาพที่แท้จริงของปรมาจารย์
ลู่เซิ่งใช้วิชาหมัดเงาในพริบตาสุดกำลัง ร่างกายเคลื่อนไหวไปมาอย่างต่อเนื่องเหมือนกับภาพลวงตา รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด มีแต่ตอนที่หมดหนทางจริงๆ แล้วเท่านั้นถึงจะปะทะกับเจิง
“ถ้าท่านมีพลังแค่นี้ อย่างนั้นข้าขอแนะนำให้ท่านหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า” เจิงโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักเหมือนกับปรอทกระฉอกลงพื้น สร้างละอองเลือดหลายกลุ่มบนตัวลู่เซิ่งไม่หยุด
“ไม่อย่างนั้นท่านจะต้องตายในสามกระบวนท่า!” เขาพลันถอยหลัง แล้วใช้สองมือชักดาบกระดูกออกมาอีกสองเล่ม ก่อนจะประกอบเข้าด้วยกันด้านหน้า กลายเป็นอาวุธประหลาดที่เหมือนกับไม้กางเขน
ลู่เซิ่งถอยหลังไปหลายก้าวและเลียแผลลึกของตัวเองบนข้อมือที่ถูกฟัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลกประหลาด
“แม้แต่ตัวข้ายังไม่แน่ใจว่าตายได้หรือเปล่า สามกระบวนท่าหรือ เจ้าลองดูสิ”
เขาขยายร่างกลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ที่มีหางและใบหน้าสามข้าง ก่อนจะกระโจนออกไป
เปรี้ยง!
คนสองคนปะทะกันอีกครั้งดุจสายฟ้าแลบ บนร่างลู่เซิ่งมีแขนสิบกว่าข้างงอกออกมา มือแต่ละคู่ถือดาบยาวสีดำเอาไว้พร้อมกับฟันออกไปดังควับๆ เหมือนกับการสร้างสายฝนสีดำและพายุคาวเลือดขึ้นจากความว่างเปล่า!
อสูรเจ็ดวิญญาณเจิงร้องคำราม หนามกระดูกบนร่างงอกออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เขาใช้ท่าร่างต่างๆ ในการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้ดาบกระดูกด้านหลังกลายเป็นอาวุธโจมตีด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ ป้องกันการฟาดฟันจากมือทั้งสิบกว่าคู่ของลู่เซิ่ง
ทุกๆ ดาบที่ทั้งสองฟันปะทะกันก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องปานอัสนีบาต สนามพลังที่น่าหวั่นสะพรึงกระจายตัวและบีบอัดไปรอบๆ หลังจากกระแทกใส่ผนังปิดผนึกของเขตจุติที่อยู่ไกลออกไป พวกมันก็ดีดกลับกลายเป็นการกดทับภายในต่อ
การกดทับภายในนี้ดูดซับพลังที่กระจัดกระจายในตอนที่ลู่เซิ่งกับเจิงปะทะกันไว้ จากนั้นก็กลายเป็นแรงกดดัน กดทับใส่ลู่เซิ่ง
นี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของแดนจุติ ยิ่งสู้กันนานเท่าไหร่ การสะกดจากแดนจุติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เทียบกับความเป็นอมตะอันน่ากลัวของมารสวรรค์มายาพิศวงแล้ว ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมายาพิศวงธรรมดาอยู่ตรงนี้นี่เอง
“หนึ่งต่อหนึ่ง พลังของมารสวรรค์มายาพิศวงไม่ได้ร้ายกาจอะไร หลักๆ อยู่ที่ไม่อาจฆ่าให้ตายต่างหาก” สตรีที่สวมกระโปรงสีดำและเสื้อคลุม กำลังมองภาพที่ลู่เซิ่งกำลังต่อสู้กับเจิงอยู่บนท้องถนนแห่งหนึ่งนอกแดนจุติ
“นายหญิงกล่าวถูกต้อง เมื่อไม่มีแดนจุติคอยช่วยเหลือ มารสวรรค์มายาพิศวงจะแข็งแกร่งกว่าผู้เข้มแข็งในระดับเดียวกันจริงๆ ทำให้ต่อสู้ในการรบซึ่งหน้าได้ไม่ดีนัก” บุรุษดวงตาสีขาวซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างนอบน้อม
“ดังนั้นข้าเลยใช้วิธีอื่น เลือกเส้นทางเฉกเช่นในตอนนี้” สตรีมองดูการรบและกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
ตอนนี้ลู่เซิ่งสู้กับเจิงมาได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลแพ้ชนะ สองฝ่ายจึงหงุดหงิดเล็กน้อย แยกกันถอยไปด้านหลังดุจสายฟ้าฟาด
“ค่ายกลอัคคีแปลงพรหมจารี!” ลู่เซิ่งยกมือ เสาเพลิงสีทองหลายกลุ่มปรากฏขึ้นบนพื้นรอบๆ ตัวตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
เพลิงสีทองหลายกลุ่มถูกจุดขึ้นรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
เปลวเพลิงบางกลุ่มถูกพลังกำเนิดที่ลอยอยู่กลางอากาศกระตุ้นกลายเป็นแสงเพลิงขนาดต่างๆ
แสงเพลิงนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาเกาะบนร่างเขาอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลนี้ไม่ได้ใช้โจมตีศัตรู หากเป็นค่ายกลสนับสนุนที่ลู่เซิ่งออกแบบมาเพื่อใช้เพิ่มพลังต่อสู้ของตัวเอง
เจิงก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งก่อนจะชูดาบกระดูกขึ้น
“ธารโลหิตพลิกโลกันตร์!”
เลือดหลายสายทะลักออกมาจากด้านหลังและใต้ร่างเขา ก่อนจะแผ่ขยายไปรอบๆ ในพริบตา
ทุกสิ่งที่เลือดไหลผ่านถูกหลอมละลายหมดสิ้น
เจิงชูดาบขึ้น เลือดพุ่งขึ้นมาจากบริเวณรอบๆ ส่วนหนึ่งวนเวียนและตกลงบนดาบกระดูกและร่างกายของเขา
“ดาบโลหิตอเวจีมืดมิด…!” พอเขาชูดาบกระดูกขึ้น เลือดจำนวนมากด้านหลังก็รวมตัวกันเป็นมังกรอสรพิษโลหิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่งจับจ้องมองลู่เซิ่งอย่างดุดัน
“สังหาร!”
เขาฟันดาบลงใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
“เงาชั่วพริบตา ทลายอัสสนี!” มือสิบกว่าคู่ของลู่เซิ่งออกดาบพร้อมกัน ประกายดาบสิบกว่าเล่มกลายเป็นเส้นสีดำจำนวนมากพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายจากมุมต่างๆ ในลักษณะบิดงอ
เคร้งๆๆๆ!
ประกายดาบของสองฝั่งฟันปะทะกัน
ในเวลานี้เอง มังกรอสรพิษโลหิตถึงกับเมินประกายดาบ พุ่งไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง ก่อนจะงับร่างท่อนบนของเขาอย่างรุนแรง
กร๊อบ!
ขณะเกิดเสียงกระดูกหักเบาๆ ร่างท่อนบนของลู่เซิ่งถึงกับถูกขย้ำขาดจากร่างกาย
ตูม!
ไฟนรกสีดำอมม่วงกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากปากมังกรโลหิต แล้วระเบิดส่วนศีรษะของมันจนมลายไป
เลือดเนื้อจำนวนมากรวมตัวกัน หมายจะฟื้นคืนกายเนื้อของลู่เซิ่งกลับมา
เจิงเหยียบอากาศกระโจนขึ้น
“จบสิ้นแล้ว” ประกายสีเลือดในดวงตาสองข้างของเขาเจิดจ้าถึงขีดสุดอยู่ชั่วขณะ มือควงดาบกางเขนเป็นจันทร์เพ็ญดวงหนึ่ง
“วิญญาณที่สอง! โลกันตร์ไร้ขุม!”
จันทร์เพ็ญที่เรืองแสงสีเลือดดวงหนึ่งร่วงตกจากฟ้า ปกคลุมตำแหน่งของลู่เซิ่งเอาไว้
ฟิ้วๆๆๆๆ!
ลู่เซิ่งที่อยู่ในแสงสีเลือดต้องรับการฟาดฟันจำนวนหลายพันครั้งต่อวินาที ทุกการฟาดฟันมีอานุภาพเป็นครึ่งหนึ่งของการลงมืออย่างสุดกำลังของเจิงเมื่อก่อนหน้า
กายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขาคิดจะฟื้นฟูอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ถูกการฟาดฟันผลาญพลังของร่างกายตลอดเวลา
พลังงานประหลาดที่บรรจุในแสงสีแดงจำนวนมากทลายพลังฟื้นตัวของลู่เซิ่งอย่างทรงประสิทธิภาพ
“จบสิ้นสักที โลกันตร์ไร้ขุมจะเผาไหม้กายเนื้อของท่านเป็นพลังงาน เพื่อสร้างสภาวะโจมตีที่จะผลาญพลังของท่านไปจนกระทั่งทำลายเลือดเนื้อจนหมดสิ้น” เจิงชี้ดาบกระดูกลงพื้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ต่อให้ท่านจะเป็นมารสวรรค์มายาพิศวง ถ้าหากหลุดจากพันธนาการนี้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วจะถูกผลาญพลังจนตาย”
แปะๆๆๆ…
อยู่ๆ บนยอดซากปรักหักพังแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็มีเสียงปรบมือดังมา
“เป็นการแสดงที่มีสีสันจริงๆ” ลู่เซิ่งปรากฏร่างขึ้นบนซากปรักหักพังและถอนใจชมเชยด้วยใบหน้าชื่นชม
สีหน้าของเจิงเปลี่ยนแปลงไป กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งเขม็ง เขาคิดถอยหลัง แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว
เศษเนื้อกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่บนไหล่เขาขยายใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นหนามเลือดเนื้อแท่งหนึ่งปักทะลุกลางหลังของเขา
ฟ้าวๆๆ!
หนามเลือดเนื้อเพิ่งจะปักเข้าไปในร่างกายของเขา ก็ระเบิดเส้นเลือดนับไม่ถ้วนออกมารุกรานอวัยวะทั้งหมดในตัวเขาทันที
“ตะ…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…!” เจิงร่างแข็งทื่อ ดาบกระดูกในมือร่วงหล่นลงพื้นดังตึง
“ตั้งแต่แรกแล้ว คนที่สู้กับเจ้าคือร่างแยกของข้า” ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิบนซากปรักหักพัง สายตามองเงาร่างสะโอดสะองสีดำสนิทที่อยู่ด้านหลังของเจิง
“ผู้อาวุโสมารสวรรค์อยู่นี่ด้วยทั้งคน ผู้แซ่ลู่จะกล้าเสียเวลากับเจ้าโดยไม่มีสาเหตุอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
ร่างหลักของเขาไม่ได้ถูกแดนมายาพิศวงจุติครอบคลุมตั้งแต่แรกแล้ว
หนำซ้ำ เขาซึ่งมีความสามารถอย่างกายอมตะพันเทวะอยู่ด้วย ได้แยกเนื้อออกมาแล้วนำไปวางไว้ไกลๆ เป็นจำนวนไม่น้อย
อสูรเจ็ดวิญญาณในขอบเขตที่สามอย่างวัฏจักรลวงเพียงคนเดียว แค่ใช้ร่างหลักถ่วงเวลาไว้ จากนั้นก็สั่งให้ก้อนเนื้อกลุ่มหนึ่งลอบจู่โจมจากด้านหลัง ก็สามารถจบการต่อสู้ได้อย่างง่ายดายแล้ว
แม้แดนจุติจะแข็งแกร่ง แต่ลู่เซิ่งร้ายกาจกว่า
ก้อนเนื้อแต่ละก้อนของเขาสามารถปรับพลังได้อย่างเป็นอิสระตั้งแต่อ่อนแอที่สุดถึงแข็งแกร่งที่สุด
เมื่อมีแผ่นเลือดเนื้อที่มีก้อนเนื้อมหาศาลคอยช่วยเหลือ ความจริงหนามเลือดเนื้อแท่งที่ใช้ลอบโจมตีเมื่อครู่ เทียบได้กับพลังทำลายล้างแปดส่วนของร่างหลักแล้ว
ทั้งๆ ที่เป็นก้อนเนื้อขนาดเท่าเส้นผมเท่านั้น กลับบรรจุพลังถึงแปดส่วนของร่างหลักเอาไว้
นี่จึงเป็นความน่ากลัวที่แท้จริงของกายอมตะพันเทวะ
ร่างแยกก่อกำเนิดได้โดยไร้ขีดจำกัด
นี่เป็นความสามารถอันแข็งแกร่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมารสวรรค์มายาพิศวงทั่วไป มารสวรรค์มายาพิศวงธรรมดานั้นได้แต่ครอบครองโอกาสคืนชีพบนร่างหลักเท่านั้น
แต่ทว่าร่างแยกทั้งหมดของลู่เซิ่งมีความสามารถนี้ทุกตัว
……………………………………….