ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 764 สถานะล้ำเลิศ (2)
“ท่านไม่บอกก็ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งไม่ซักไซ้อะไรมาก
“อย่าลืมเด็ดขาดเล่า ข้ามีธุระขอตัวก่อน เรื่องของเซี่ยงหงเฟยในครั้งนี้จัดการให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” จงซิ่วเสริมประโยคหนึ่งก่อนไป
“เซี่ยงเฟยหงหรือ” ลู่เซิ่งพลันนึกถึงความทรงจำที่สอดคล้องกันได้ออก
ร่างกายร่างนี้เป็นคนชอบกินถึงขีดสุด ช่วงก่อนหน้านี้ได้ส่งคนไปแย่งชิงเซี่ยงเฟยหงบุตรีของเซี่ยงจ่วนอวี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ครัวอันดับหนึ่งของใต้หล้ามา เป้าหมายก็เพื่อให้อีกฝ่ายมาทำอาหารให้เขากินเพียงคนเดียว
สิ่งที่บังเอิญก็คือ เซี่ยงหงเฟยมีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของหนึ่งในสิบหกสำนัก ตอนนั้นเรื่องนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อย
ดีที่แท่นน้ำค้างครามยิ่งใหญ่สุดเปรียบปราน สุดที่สำนักห่านทะยานของเซี่ยงหงเฟยที่อยู่ในอันดับท้ายๆ จะเทียบเคียงได้
ดังนั้นการที่จงซิ่วบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วก็หมายความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่สำนักห่านทะยานจะยอมปล่อยเซี่ยงหงเฟย ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันแล้ว
‘จุดเริ่มต้นนี้สูงอยู่บ้างเหมือนกัน…’ ลู่เซิ่งมองเงาหลังของจงซิ่วที่ค่อยๆ ห่างออกไป รำพึงรำพันในใจ
พอจุติมาก็ได้บิดาเป็นยอดฝีมือที่มีไม่กี่คนในใต้หล้า มีเงินทอง สภาวะ และอำนาจอยู่รอบกาย ไม่ขาดอะไรสักอย่าง
พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็จนปัญญาเล็กน้อย
‘จุดเริ่มต้นแบบนี้ไม่ค่อยมีแรงผลักดันเลย….จะรวบรวมพลังอาวรณ์อย่างไร ต้องวางแผนระยะยาว…’
แปะๆ
เขาปรบมือเบาๆ เงางดงามสีเขียวสายหนึ่งเดินออกมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างของลู่เซิ่งอย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยชิงอี คำนับคุณชาย”
นี่คือองครักษ์ติดตามตัวของเขาเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งในหมู่เด็กกำพร้าหลายคนที่ผังซือเฉิงชุบเลี้ยงอบรมมาเองเมื่อสี่ปีก่อนโดยไม่เกี่ยวข้องกับบิดา
ในฐานะบุตรของจอมอหังการ ผังซือเฉิงเองก็มีมรรคายุทธ์ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน ไม่แย่ไปกว่าคุณชายตระกูลขุนนางทั่วไป
เงื่อนไขทรัพยากรที่ดีแบบนี้ย่อมรู้จักชุบเลี้ยงขุมกำลังของตัวเองอย่างลับๆ
“ผู้ที่พี่ใหญ่จงซิ่งพูดถึง คนที่ชื่อว่าจวงเซี่ยเชิงนั่น เจ้ารู้จักไหม” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแต่เป็นแค่ข่าวลือ ก่อนที่จะยืนยัน ข้าน้อยจึงไม่คิดรายงานนายท่าน” ชิงอีเอ่ยเสียงค่อย
“เจ้าว่ามา” ลู่เซิ่งพยักหน้า
พอชิงอีได้รับอนุญาตก็ลุกขึ้น ใบหน้างามที่คลุมด้วยผ้าสีดำเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ในแท่นบูชาหลักเมื่อไม่นานมานี้ พวกระดับสูงลือกันว่า ที่ประมุขแท่นบูชาทำศึกร้อยครั้งได้รับชัยร้อยครั้งทุกที่ เป็นเพราะตอนหนุ่มเคยได้รับคำนายจากพระสงฆ์ผู้มีชื่อว่ามู่โฝ่ว”
“คำทำนายหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “คำทำนายแบบไหน”
“คำทำนายบอกว่า ชีวิตช่วงแรกของประมุขแท่นบูชาหลักจะเจิดจรัสรุ่งโรจน์ ทว่าชีวิตช่วงหลังตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดจะตกตายในเงื้อมมือบุรุษที่ในชื่อมีตัวอักษรเซิงอยู่”
“มีคนเชื่อคำพูดแบบนี้ด้วยหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเย็นชา
“ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ แต่คำทำนายที่ประมุขแท่นบูชาหลักได้ทราบจากปากพระมู่โฝ่วเมื่อครั้งกระโน้นได้กลายเป็นจริงเกือบหมดแล้ว ดังนั้นท่านผู้เฒ่าจึงเชื่อถือมาก หลายปีมานี้ฝึกฝนมรรคายุทธ์อย่างหนักและทำศึกไปทั่วเพื่อต้องการหาบุรุษที่มีตัวอักษรเซิงอยู่ในชื่อ” ชิงอีเอ่ยเบาๆ
“แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับจวงเซี่ยเซิงผู้นี้ ท่านพ่อแน่ใจได้อย่างไรว่าคนผู้นี้คือคนในคำทำนาย” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“เป็นเพราะเขาแข็งแกร่งมากเจ้าค่ะ” ชิงอีว่า “เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่มีตัวอักษรเซิงในชื่อ”
ลู่เซิ่งเข้าใจในพริบตา
ชิงอีกล่าวต่อ “แต่นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะเจ้าคะ คนที่เทียบเคียงกับประมุขแท่นบูชาหลักได้บนใต้หล้าในตอนนี้มีจำนวนไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ ยังไม่พูดถึงจักรพรรดิวรยุทธ์ที่เลือนรางล่องลอย ต่อให้จะเป็นประมุขพรรคใหญ่สามพรรคท่ามกลางเจ้าวรยุทธ์ ก็แข็งแกร่งกว่าประมุขแท่นบูชาหลักไม่เท่าไหร่ หากพูดถึงผลแพ้ชนะความเป็นความตายจริงๆ ต้องประมือกันก่อนถึงจะทราบได้”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เข้าใจสถานะตำแหน่งของบิดาในรอบนี้กระจ่างทันที
เทียบกับระดับในนิยายของกิมย้งแล้ว นี่เป็นมหาปรมาจารย์ใต้หล้าระดับปรมาจารย์กระบี่บนเขาฮั่วซัว ซึ่งในยุทธจักรมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“เช่นนั้นจวงเซี่ยเซิงผู้นี้เล่า”
“เป็นมือดาบอัจฉริยะไม่กี่คนในสิบหกสำนักเจ้าค่ะ อาจารย์ของเขาคือหมัดเทพทะยานฟ้าหวงอวี้ ผู้เป็นเจ้าสำนักหมัดเทพ ทั้งยังเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีพลังเหนือกว่าประมุขแท่นบูชาหลักด้วย” ชิงอีอธิบาย “ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ประมุขแท่นบูชาคงไม่โยนมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไว้ชีวิตจวงเซี่ยเซิงผู้นี้มาโดยตลอด”
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ชิงอีย่อตัวคารวะ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างนอบน้อม
ลู่เซิ่งนอนอยู่สักพัก คิดจะขยับตัว แต่กลับมีแรงไม่มากพอ จะพลิกตัวทีหนึ่งต้องใช้เวลาถึงสิบนาที
‘ดูเหมือนต้องรีบลดน้ำหนักให้เร็วที่สุดแล้ว โลกใบนี้มีระดับพลังงานสูงเกินไป กฎเกณฑ์จึงแข็งแกร่ง ทำให้อาศัยพลังฟื้นฟูของร่างหลักไม่ได้ จะต้องรีบยกระดับร่างกายร่างนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!’
เขาเหงื่อแตกเต็มตัวถึงค่อยย้ายร่างกายได้
“เด็กๆ !” เขาตวาดขึ้น
ไม่นานคนสวมอาภรณ์เขียวสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากประตูลาน
“คุณชายมีคำสั่งใดหรือ”
“นำกระบี่อัสนีบาตอัคคีควันของข้ามา” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงกระจ่าง
พอถ่ายทอดคำสั่งไป บริวารของแท่นน้ำค้างครามคนหนึ่งก็ยกกระบี่ยาวสีดำสนิทที่หนักอึ้งเล่มหนึ่งมา จากนั้นก็วางไว้กลางลานพร้อมกับฝักกระบี่
“ทุกคนถอยไปเสีย” ลู่เซิ่งเอ่ย
กระบี่อัสนีบาตอัคคีควันเป็นกระบี่วิเศษที่ผังซือเฉิงใช้ตอนฝึกมรรคายุทธ์ กระบี่เล่มนี้เป็นศัสตราล้ำเลิศที่บิดา ผังหยวนจวินตั้งใจหามาให้ แค่พกไว้กับตัว ก็จะกระตุ้นพลังออกมาปะทะกับจิตสังหารและการแผดเผาบนตัวกระบี่ได้ เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง
แต่นับตั้งแต่เจ็ดปีก่อนที่ได้กระบี่มาจนถึงตอนนี้ ผังซือเฉิงใช้กระบี่เล่มนี้ฝึกฝนเป็นจำนวนครั้งที่งอนิ้วนับได้ ไม่ใช่เหตุใดอื่น เป็นเพราะการฝึกฝนของสิ่งนี้ทรมานเกินไปนั่นเอง
แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นลู่เซิ่ง ย่อมมีความตั้งใจเล็กน้อยอยู่แล้ว
วิชาคางคกดาราเคลื่อนในตัวเขาเป็นวรยุทธ์ระดับเจ้าวรยุทธ์อันดับหนึ่ง ทั้งยังเดินทางสายกลาง มีผลเพิ่มอายุขัย เพียงแต่ธรรมดาเกินไป ดังนั้นจึงมีทักษะไม่เพียงพอ ทำให้ถูกสิบทัพสังหารเอาชนะไปได้เมื่อครั้งกระโน้น
แต่พูดถึงคุณสมบัติโดยรวม สิ่งที่วิชานี้ใช้คือภาพสัตว์เทพกลืนแล้วคายประกายดาวที่มีนามว่าคางคกหยกโลหิต คางคกหยกโลหิตมีอายุขัยยืนยาวเทียบเท่าฟ้าดินในเทพนิยาย
ความจริงมันเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตโดยพื้นฐาน
‘น่าคิดจริงๆ…เราในอดีตก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ
หลังจากสังเกตกระบวนการฝึกฝนของวิชานี้เสร็จ ลู่เซิ่งก็ไม่พบว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหน เพียงแต่มันเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตมีข้อเสียตรงที่พัฒนาได้ช้าเท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นไร การพัฒนาได้ช้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับลู่เซิ่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ดีปบลู” เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนทันที
กรอบของเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีฟ้าดีดออกมาดังฟุ่บ กรอบด้านล่างสุดแสดงสภาพในตอนนี้ไว้อย่างชัดเจน
[วิชาฝึกฝนหลัก—วิชาคางคกดาราเคลื่อน : ระดับที่หนึ่ง แสงหวนคืนย้อนรอย ความก้าวหน้า 45% (คุณสมบัติที่อาจได้รับหลังสมบูรณ์: ชีพจรลมปราณยืดยาวระดับหนึ่ง, ระเบิดพลังยุทธ์ระดับหนึ่ง )]
หลังจากลู่เซิ่งปรับเปลี่ยนอย่างละเอียด ปัจจุบันเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็มีการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย จากรวบรัดและหยาบกระด้างในตอนแรก กลายเป็นละเอียดกว่าเดิมในตอนนี้
‘น่าสนใจ’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ วรยุทธ์ระดับสูงสุดที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้คือวรยุทธ์ระดับเจ้าวรยุทธ์ในมือชุดนี้ ดังนั้นต่อให้จะเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต เขาก็ยินดีฝึกฝนดู
‘พัฒนาวิชาคางคกดาราเคลื่อนถึงระดับสอง’ เขามองกรอบก่อนกดปุ่มปรับเปลี่ยน พร้อมกับนึกในใจ ความคิดเพิ่งจะก่อตัว พลังอาวรณ์สายหนึ่งพลันไหลออกมาจากเครื่องมือปรับเปลี่ยน แล้วแล่นตามเส้นชีพจรกับเส้นเลือดรอบๆ หน้าอกไปยังทั่วร่าง เพื่อหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อทุกส่วนในร่างกาย
กรอบของเครื่องมือปรับเปลี่ยนพร่ามัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าหลายอึดใจต่อมาก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง แล้วแสดงเนื้อหาใหม่
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าร่างกายเหมือนกับแนบอยู่บนเสาสำริดที่ร้อนลวก เหงื่อหลั่งไหลอย่างบ้าคลั่ง ไขมันจำนวนมากซึมออกมาจากรูขุมขน เม็ดน้ำมันรวมกันกลายเป็นหยดน้ำมันที่ใหญ่กว่าเดิมก่อนจะกลิ้งหยดลงบนพื้น
เขาข่มความทรมานไว้และมองกรอบที่ชัดขึ้นมาอีกครั้ง
[วิชาฝึกฝนหลัก—วิชาคางคกดาราเคลื่อน: ระดับสอง มิอาจทิ้งทิวาราตรี (คุณสมบัติพิเศษ: ปราณและชีพจรยืดยาวระดับหนึ่ง ระเบิดพลังยุทธ์ระดับหนึ่ง)]
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างอย่างต่อเนื่องใหญ่ขึ้นและปราดเปรียวขึ้น เหมือนกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
เขาค่อยๆ ยกแขนขึ้น ตอนนี้การเคลื่อนไหวที่รู้สึกกินแรงถึงขีดสุดก่อนหน้านี้เบาลงกว่าเดิม
‘น้ำหนักน่าจะลดลงเพราะการยกระดับพลังฝึกปรือเมื่อครู่ส่วนหนึ่ง แรงเองก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อยเหมือนกัน แต่เนื้อยังหย่อนคล้อยอยู่ดี แต่ยังไงก็ขยับเองได้แล้ว’ในที่สุดลู่เซิ่งที่ใช้พลังร่วมด้วยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เองได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นช่วยประคอง
“คุณชายระวัง!” หญิงรับใช้ร่างกำยำสองคนเร่งฝีเท้าพุ่งเข้ามาประคองลู่เซิ่งไม่ให้ล้ม แต่น้ำหนักมหาศาลยังคงกดทับจนทั้งสองต้องเอวงอเล็กน้อย
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะลดน้ำหนักตั้งแต่วันนี้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
หญิงรับใช้ทั้งสองนางงุนงง ไม่ได้ตอบกลับ
พวกนางกลับนึกไม่ถึงว่า ลู่เซิ่งทำอย่างที่พูดไว้จริงๆ
นับตั้งแต่วันนั้น ลู่เซิ่งลดน้ำหนักได้สองสามชั่งแทบทุกวัน
เนื้อเหล่านี้เป็นแค่ไขมันเท่านั้น หลังจากไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหิน ลู่เซิ่งก็ออกจากลานเรือนและไล่พวกหญิงรับใช้ไปที่อื่น ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทั้งวัน ไม่ทราบทำอะไร
เป็นเช่นนี้สิบกว่าวัน ในที่สุดลู่เซิ่งก็หายไปจากสายตาของผู้คุ้มครอง กว่าจะมีคนทราบ เขาก็ออกจากลานเรือนไปแล้ว โดยมุ่งหน้าไปยังอารามหยกสดใส สถานที่ที่มารดาของผังซือเฉิงปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเพิ่งจะตรวจสอบเจอ
เขาคิดจะไปพามารดากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน การวบรวมพลังอาวรณ์ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน แต่ถ้าไม่รีบแล้วหาคนไม่เจอ เกรงว่าจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น
…
วสันต์มา บุปผาบาน วิหคโบยบิน
บนทางหลวงนอกชายป่า คนร่างอ้วนอายุน้อยที่มีศีรษะและหูใหญ่โตคนหนึ่งกำลังขี่ม้าตัวใหญ่สีดำอยู่
ม้ากำยำสูงใหญ่ แต่ต้องรับภาระอย่างหนักเพราะถูกคนร่างอ้วนทับหลัง เดินไปก้าวหนึ่งหอบหายใจสามที เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากคอและแผ่นหลัง
บนทางหลวงบางครั้งจะมีคนเดินทางผ่านไปผ่านมา บ้างก็ขี่ม้า บ้างก็ขี่วัว บ้างขี่ลา ทุกคนต่างแซงหน้าคนร่างอ้วนผู้นี้ไปได้อย่างสบายๆ
บางครั้งมีคนพิจารณาหนึ่งคนหนึ่งม้านี้ด้วยความฉงน ทั้งกระซิบกระซาบแอบหัวเราะเบาๆ คนร่างอ้วนผู้นี้ได้ยินก็ไม่โกรธ เพียงหัวเราะฮ่าๆ พลางมองท้องฟ้า ก่อนจะตบสะโพกม้าเดินทางต่อ
ปัจจุบันลู่เซิ่งซึ่งเป็นมายาพิศวงไม่ได้เคร่งเครียดระมัดระวังตัวเหมือนตอนแรกๆ อีกแล้ว จึงค่อนข้างให้ความรู้สึกเหมือนออกท่องทั่วหล้า
เขาออกจากแท่นบูชาย่อยของแท่นน้ำค้างครามหรือสถานที่ที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้านี้มาได้สามวันแล้ว ในเวลาสามวันนี้ เขาเล็ดลอดออกจากอาณาเขตสามมณฑลที่แท่นน้ำค้างครามปกครองมาถึงมณฑลป่าสนเจดีย์บูรพาที่อยู่ติดกันได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นสถานที่ที่มารดาของผังซือเฉิงปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย
อารามหยกสดใสแห่งนั้นตั้งอยู่ที่นี่ เป็นซากปรักหักพังของอารามเต๋าที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า
ลู่เซิ่งถามทางไปเรื่อยๆ เนื่องจากพลังฝึกปรือยกระดับอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน เขาก็ไปถึงระดับห้าของวิชาคางคกดาราเคลื่อน
วิชานี้มีทั้งหมดเจ็ดระดับ ระดับห้าเป็นขอบเขตของเจ้าของเดิมที่ถูกบิดาผังหยวนจวินเอาชนะในตอนนั้น
วิชาถึงระดับห้าแล้ว แต่แรงยังคงเพิ่มอย่างเชื่องช้า เพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับการปรับปรุงด้วยพลังอาวรณ์ที่มีความรวดเร็วนี้ได้
ตอนนี้ลู่เซิ่งมีพละกำลังของกระทิงสิบตัวแล้ว หนำซ้ำหลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขอบเขตของวิชาของเขาก็ค่อยๆ ยกระดับพละกำลังของกายเนื้อร่างนี้เช่นกัน
นี่เป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของโลกใบนี้ วิชามรรคายุทธ์ของที่นี่มีแต่การเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่านั้น ต่อให้จะไปถึงขอบเขตที่สูงล้ำกว่าเดิม ก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งเป็นเวลานาน ถึงจะได้รับพลังมากกว่าเดิม
เพียงแต่วิชาในขอบเขตสูงสามารถยกระดับพละกำลังได้เร็วกว่าเดิม
ดีที่ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน เพียงแต่หลายวันมานี้ จากการใช้วิชาจิตโน้มนำตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การหายตัวไปของ ถังชิงชิงมารดาของผังซือเฉิงก็เหมือนมีปริศนาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ดูเหมือนการหายตัวไปของถังชิงชิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผังหยวนจวิน ผังหยวนจวินคล้ายจะซ่อนความลับที่ไม่มีใครทราบส่วนหนึ่งไว้
จากการตรวจสอบ ครั้งกระโน้นถังชิงชิงรักผังหยวนจวินมากยิ่งนัก ไม่มีทางที่นางจะจากไปเองเหมือนที่ผังหยวนจวินบอกเล่าแน่นอน
……………………………………….