ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 767 อยู่กันพร้อมหน้า (1)
มู่หรงรู้สึกว่าตนเองใช้ชีวิตมาแปดสิบปีอย่างเสียเปล่า
สิบขวบ…ถ้าหากลู่เซิ่งไม่พูดถึง นางก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กน้อยตรงหน้าเพิ่งมีอายุสิบขวบ
มู่หรงมองศิษย์ในอารามที่ตาแข็งค้างซึ่งอยู่ไกลออกไป ถ้าหากให้ผังซือเฉิงพาตัวถังชิงชิงไปได้จริงๆ นางจะทำให้ชื่อเสียงของวิถีเอกะป่นปี้ย่อยยับ
แต่ถ้าขัดขวางอีกฝ่ายเข้า พลังของอีกฝ่ายถึงกับไม่ด้อยไปกว่านาง แทบจะเป็นในระดับเจ้าวรยุทธ์ เดี๋ยวสิ! เจ้าวรยุทธ์หรือ!
สายตาของมู่หรงแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมในตอนที่มองลู่เซิ่งอีกครั้ง
เจ้าวรยุทธ์วัยสิบขวบหรือ นี่มันไร้สาระทั้งเพ!
แม้ในประวัติศาสตร์จะมีอัจฉริยะระดับสุดยอดมากพรสวรรค์ซึ่งมีพลังช้างสารโดยกำเนิด แต่ก็ไม่ถึงกับอลังการขนาดนี้
ตอนที่นางกำลังคับข้องใจ ลู่เซิ่งก็กระทืบเท้า กรวดหินดินทรายกลุ่มใหญ่ระเบิดออกมาจากบนพื้นอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น อิฐสีขาวถูกเขาเหยียบแหลกลาญ เศษหินจำนวนมากฟุ้งออกไปรอบๆ
ลู่เซิ่งอาศัยแรงสะท้อนกลับพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็พุ่งผ่านด้านข้างมู่หรงไป
มู่หรงคิดจะยื่นมือไปสกัด แต่พอนึกถึงผังจวินหยวน สุดท้ายจิตใจก็ขลาดกลัว ไม่อาจลงมือได้
แค่ผังหยวนจวินก็น่ากลัวมากพอแล้ว ตอนนี้มีผังซือเฉิงผู้เป็นลูกชายที่มีพลังช้างสารโดยกำเนิดเพิ่มมาอีกคน...
ปัจจุบันแท่นน้ำค้างครามเหมือนอาทิตย์กลางหาว สุดที่สิบหกสำนักที่เหลือจะเทียบเคียงได้
พอลังเลไปแวบหนึ่ง ลู่เซิ่งก็ได้จังหวะ ใช้เวลาพริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงที่ไกล แบกถังชิงชิงหายไปจากป่าเขาอย่างรวดเร็วราวกับนกเผิงยักษ์สยายปีก
คนของสำนักน้ำพุเงียบงันเป็นเป่าสาก
เซียวหงเหลยอ้าปากค้าง ในฐานะศิษย์พี่ในนาม และคนที่มีพลังฝึกปรือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกศิษย์ นางพอจะเข้าใจความลังเลของเจ้าอารามอยู่บ้าง
“เพียงแต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ หน้าตาของสำนักน้ำพุจะเป็นอย่างไรเล่า…บางทีเจ้าอารามท่านอาจจะคำนวณผิดพลาดแล้ว…” นางกล่าวอย่างจนปัญญา
ยืนนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มียอดฝีมือของสำนักน้ำพุอีกหลายคนทิ้งตัวลงมา มู่หรงค่อยได้สติ
“แยกย้ายเถิด เรื่องในวันนี้เป็นบ่วงกรรมของถังชิงชิง ต่อให้ปล่อยผังซือเฉิงจากไปแล้วเป็นอย่างไร ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องรู้สึกขายหน้า”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดยังคงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว อย่างไรนี่ก็เป็นการชิงคนต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังเป็นการชิงตัวยอดฝีมือขอบเขตราชาวรยุทธ์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับสองในอารามเสียด้วย!
ทุกคนอดกระซิบกระซาบกันไม่ได้ ราชาวรยุทธ์หลายคนที่เพิ่งมาถึงทำหน้าฉงน มู่หรงกลับถอนใจเบาๆ นางไม่เสียใจที่ปล่อยผังซือเฉิงจากไป ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจตนารมณ์ของผังหยวนจวินหรือไม่ การรั้งถังชิงชิงไว้ที่นี่ก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น
…
ลู่เซิ่งอุ้มคนทะยานไปกลางป่าอย่างต่อเนื่อง เท้าเหยียบกลางต้นไม้ เพียงเพิ่มแรงเบาๆ ร่างกายก็พุ่งฉิวออกไปดุจจรวด ข้ามผ่านระยะทางสิบกว่าหมี่ในพริบตา
การลงเขาเป็นไปอย่างราบรื่น เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วนัก คนไม่น้อยเห็นเพียงเงากลุ่มหนึ่งแวบผ่านเท่านั้น ไม่ได้เห็นอะไรอีก
พอไปถึงตีนเขา รถม้าที่ลู่เซิ่งเตรียมไว้ก็คอยท่ารออยู่แล้ว
เขาอุ้มคนพุ่งเข้าตัวรถ พลิกมือปิดประตู ก่อนจะโยนแท่งเงินแท่งหนึ่งให้สารถี
“ไปเมืองน้ำค้างคราม ยิ่งเร็วยิ่งดี!”
“ขอรับ!” ตอนแรกสารถีกำลังงีบอยู่ พลันรู้สึกรถสั่นไหวและจมลง รอเขาได้สติกลับมา ก็มีแท่งเงินแท่งหนึ่งมาอยู่บนที่รองแขนไม้ด้านหน้าตนเองแล้ว
เขาสะดุ้งโหยง ไม่พูดมากความ พอรับคำเสร็จก็ยกแส้ขึ้นฟาดม้าอย่างแรงทันที
เพียะ!
ม้ากำยำสองตัวแผดเสียงร้อง แล้วลากรถไปด้านหน้า
ด้านในรถโคลงเคลงเล็กน้อย ลู่เซิ่งวางถังชิงชิงลงบนผ้าห่มบนเตียงที่เตรียมไว้แล้วอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็หยิบโซ่ตรวนหนาเท่าแขนออกมาจากหีบด้านข้าง แล้วพลิกมือมัดแขนของถังชิงชิงไว้
ทั้งยังใช้เชือกหนาเท่านิ้วที่ผ่านการชุบน้ำมันมัดสองขาหลายๆ รอบ
“อือ…” อย่างไรถังชิงชิงก็เป็นผู้เข้มแข็งระดับราชาวรยุทธ์ พลังฝึกปรือถือเป็นผู้โดดเด่นในยุทธจักร ระยะสิบหมื่นลี้จะมีสักคน ต้นไม้ต้นใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้เพียงแค่กระแทกใส่ตอนที่นางรับมือไม่ทันเท่านั้น ทำให้คำนวณแรงพลาดไป แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้นางมากเท่าไหร่
ตอนนี้ผ่านไปอีกสองนาทีค่อยฟื้นสติกลับมา
“ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านไหวหรือไม่” ชั่วขณะที่เลือนราง ถังชิงชิงมองเห็นด้านหน้ามีคนโยกเยกไปมาด้วยสายตาขมุกขมัว
หลังเพ่งสมาธิ นางพลันจดจำได้ว่าคนผู้นี้ก็คือผังซือเฉิงหรือลูกของตนนั่นเอง
“เจ้า…” นางรู้สึกลำคอแห้งผากอยู่บ้าง เสียงจึงแหบเล็กน้อย
“พวกเรากำลังจะกลับบ้าน” ลู่เซิ่งตรวจสอบเชือก น่าจะไม่มีปัญหาอันใด เขาได้เพิ่มท่าหัตถ์ซึ่งคล้ายๆ กับการสะกดจุดเข้าไปด้วย จึงสะกดการออกแรงของถังชิงชิงได้อย่างทรงประสิทธิภาพ
ถังชิงชิงนิ่งไป
ในตัวรถไม่มีใครพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ ถังชิงชิงรู้สึกสับสน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
ลู่เซิ่งไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว เขาลงมือเพราะต้องการสะสางผลกรรมความปรารถนา
แม้ตัวถังชิงชิงจะไม่อยากกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แต่พาคนกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หากอยู่กันนานเข้าย่อมเกิดความผูกพันได้เอง
ล้อรถม้าหมุนดังครึ่กๆ ม้าด้านหน้าส่งเสียงพ่นลมตลอดเวลา เสียงกีบเท้าม้าที่มีจังหวะจะโคนลอยมาอย่างต่อเนื่อง
เนิ่นนานให้หลัง สาตาของถังชิงชิงค่อยกลับเป็นปกติ นางมองไปยังลู่เซิ่ง
“ผังหยวนจวินให้คนเจ้ามากี่คนเพื่อชิงตัวข้า”
ลู่เซิ่งซึ่งกำลังนั่งงีบอยู่ด้านข้างได้ยินเสียงอย่างกะทันหัน จึงตื่นขึ้นมา
“คนหรือ คนอะไรกัน ข้าออกจากบ้านมาคนเดียว แอบหนีออกมาเองขอรับ” ลู่เซิ่งตอบ
“แอบหนีออกมาหรือ” ถังชิงชิงไม่เข้าใจ
สำหรับนางแล้ว พลังที่แฝงอยู่ในต้นไม้ต้นนั้นเทียบได้กับระดับเจ้าวรยุทธ์ อย่างน้อยก็มีพลังเท่าช้างร้อยตัว ดังนั้นนางจึงถูกกระแทกจนสลบ
ถ้าหากพลังระดับนั้นไม่มียอดฝีมือสนับสนุนอยู่ด้านข้าง นางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“เป็นเซียวจินย่วนกระมัง คนที่ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังมากที่สุดในสี่เจ้าวรยุทธ์ของแท่นน้ำค้างครามมีแต่เขาแล้ว”
“ท่านหมายถึงอาเซียวหรือ เขายังไปสนับสนุนท่านพ่อปราบคฤหาสน์ตระกูลเฟิงหรือราชาดาบอุดรอยู่” ลู่เซิ่งว่า
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ตัวเองคาดไว้ ถังชิงชิงก็รู้ว่าลู่เซิ่งไม่มีทางตอบตัวเอง จึงนอนหงายมองเพดานรถอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลู่เซิ่งก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน สองคนจึงเดินทางไปเงียบๆ เช่นนี้
จนกระทั่งถึงตอนกลางคืน
รถม้าหยุดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ลู่เซิ่งที่ขึ้นรถไม่ยอมลง กินดื่มในตัวรถ จากนั้นก็เรียกเด็กสาวรับใช้ในโรงเตี๊ยมมาดูแลเรื่องการกินดื่มขับถ่ายของถังชิงชิง
เช้าตรู่วันที่สอง รถม้าก็เริ่มเดินทางใหม่
พอถึงยามเที่ยง ในที่สุดก็ไปถึงเมืองน้ำค้างครามอันเป็นที่อยู่ของแท่นบูชาย่อย
พอกลับถึงแท่นบูชายย่อย เหล่ายอดฝีมือซึ่งเป็นสมาชิกของแท่นบูชาค้นหาคนจนแทบเสียสติแล้ว พอเห็นลู่เซิ่งกลับมา แม้จะพบว่าเขาผอมลงไม่น้อย ไม่ได้อ้วนเหมือนเก่า แต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจมากกว่าก็คือ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดเลย
และสิ่งที่ทำให้คนนึกไม่ถึงก็คือ ลู่เซิ่งไม่เพียงแต่ไม่บาดเจ็บเท่านั้น ยังพาคนมาด้วยคนหนึ่ง ถังชิงชิง คนสำคัญที่ประมุขแท่นบูชาแห่งแท่นบูชาย่อยเคยเจอมาหลายครั้ง
ว่ากันว่าถังชิงชิงหรือฮูหยินของประมุขแท่นบูชาหลักหนีไปนานแล้ว คนภายนอกคิดว่าเสียชีวิต แต่ความจริงนางไปเร้นกายฝึกฝน
ตอนที่ลู่เซิ่งมอบคนให้แก่เด็กหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ดูแล คนเก่าคนแก่ของแท่นบูชาย่อยก็จำถังชิงชิงได้ทันที ทุกคนตกใจจนมีสภาพลิงโลกราวกับไก่บินสุนัขกระโดด
ส่วนลู่เซิ่งกลับลงรถไปอาบน้ำและทานข้าวอย่างสบายใจ
เขาเดินทางไปหลายวัน ในที่สุดวิชาคางคกดาราเคลื่อนบนตัวก็บรรลุถึงระดับสูงสุดซึ่งก็คือระดับเจ็ด ใช้พลังอาวรณ์ไปทั้งหมดเพียงสองพันกว่าหน่วยเท่านั้น
พละกำลังของเขาเทียบได้กับพละกำลังของช้างสารสองร้อยตัว นี่ถือว่าอยู่ในช่วงกลางของเจ้าวรยุทธ์ ขณะเดียวกันก็เป็นจุดสูงสุดของการเพิ่มความแข็งแกร่งที่วิชาคางคกดาราเคลื่อนทำได้ด้วย
หลังจากมาถึงระดับนี้ ก็หมายความว่าวิชาการฝึกฝนในระดับเจ้าวรยุทธ์วิชานี้ไม่มีผลต่อลู่เซิ่งอีกต่อไป
พอกลับถึงลานเรือนที่ตัวเองอยู่ ลู่เซิ่งก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อ แล้วเดินออกจากห้องอาบน้ำ
กลางคืนดวงจันทร์ส่องสว่าง ลมหนาวเย็นเฉียบ เงากิ่งก้านสาขาของต้นไม้บนผนังถูกพัดจนโยกไหวไปมาเหมือนภูตผี
‘วิธีการฝึกฝนพลังที่หยาบกระด้างแบบนี้เกรี้ยวกราดว่องไว แต่ไม่มีส่วนช่วยใดๆ ต่อการเติบโต มิน่าแม้ค่าพลังยุทธ์ของโลกใบนี้จะสูง แต่ไม่มีใครอยู่ได้เกินสองร้อยปี’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
เขาปรบมือเบาๆ
เงาคนสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างเขาเหมือนสายฟ้าแลบ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“นายท่านมีคำสั่งใด”
“ขังมารดาข้าไว้แล้วหรือยัง”
“เอ่อ…คุ้มครองไว้แล้วเจ้าค่ะ…” บริวารตอบอย่างจนปัญญาเล็กน้อย นั่นคือฮูหยินของประมุขแท่นบูชาหลัก ถ้าหากทำให้บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ เกรงว่าคนมากมายจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
“ต้องใช้เครื่องหอมกระดูกอ่อนเป็นปริมาณสิบเท่า ถ้าไม่พอให้ใช้เครื่องหอมทำลายชีวิตสะบั้นวิญญาณแทน ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่อง มารดาข้ามีร่างกายแข็งแกร่ง หากพันธนาการพลังฝึกปรือไม่ได้ ที่นี่ก็ไม่มีใครเอานางอยู่” ลู่เซิ่งกล่าวเน้น
“นอกจากนี้ของกินของใช้ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“…เครื่องหอมกระดูกศพสะบั้นวิญญาณนี้…”
“ไม่เป็นไร ใช้ปริมาณครึ่งเดียวไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก! นอกจากนี้ ผ่านไปอีกสักพักข้าจะออกไปด้านนอก พวกเจ้าอยู่คุ้มครองบ้านให้ดี” ลู่เซิ่งใคร่ครวญว่าจะฝึกฝนวิชาระดับเจ้าวรยุทธ์อีกสองวิชา หากปรับตัวสักสองสามวัน ก็น่าจะวิเคราะห์กฎพื้นฐานส่วนหนึ่งออก อย่างน้อยสามารถนำด้ายกระตุ้นวิญญาณมาใช้หล่อเลี้ยงได้แล้ว
“เอาเถิด ไปได้แล้ว ถ้าท่านอาท่านลุงมาถึง ให้แจ้งข้าทันที” ลู่เซิ่งว่าพลางโบกมือ
“เจ้าค่ะ” บริวารหายไปจากม่านราตรีในพริบตา
ลู่เซิ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมจนแห้ง ก่อนจะหมุนตัวเข้าห้องนอน หญิงรับใช้วัยเยาว์หน้าตางดงามสองคนกำลังรออยู่ด้านในห้องด้วยร่างสั่นงันงก
“คำนับคุณชาย” หญิงสาวสองคนรีบส่งเสียงทักทาย
“ออกไปให้หมด” ลู่เซิ่งจำได้ว่าผังซือเฉิงชอบให้หญิงบริสุทธิ์อุ่นเตียง จากนั้นค่อยขึ้นไปหลับพักผ่อน แต่เขาในตอนนี้ไม่มีนิสัยเช่นนั้น
สตรีสองนางกุลีกุจออุ้มเสื้อผ้าวิ่งออกไปโดยที่สวมเพียงเสื้อตัวในเท่านั้น
ลู่เซิ่งปิดประตู แล้วนั่งลงเพื่อศึกษาระบบมรรคายุทธ์ของโลกใบนี้อย่างละเอียด
“ในวิชาคางคกดาราเคลื่อนพูดถึงนิยามหนึ่งชื่อดารากายมนุษย์”
แม้เขาจะยกระดับถึงขอบเขตเจ้าวรยุทธ์ ระบบมรรคายุทธ์ของที่นี่ก็ไม่ได้ลงลึกนัก
“ดารากายมนุษย์เป็นแกนหลักที่วนเวียนรอบวิชาทุกวิชา ยิ่งมีดวงดาวที่บุกเบิกมากเท่าไร ขอบเขตวรยุทธ์ที่บรรลุถึงก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น อานุภาพที่ร่างกายระเบิดออกมาได้ก็จะสูงตามไปด้วย จอมพลังทั่วไปยังอยู่ในระดับ ขัดเกลากายเนื้อ แต่หลังจากกายเนื้อบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว เกิดว่าทะลวงขีดจำกัดได้ ก็จะมีคุณสมบัติบุกเบิกดวงดาวดวงที่หนึ่งหรือเป็นดวงสรรพดารา”
ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงบันทึกในวิชาคางคกดาราเคลื่อนอย่างละเอียด
……………………………………….