ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 769 อยู่กันพร้อมหน้า (3)
ลู่เซิ่งวิ่งเต็มฝีเท้าไปตามป่าเขาดุจแสงกะพริบโดยที่แบกผังหยวนจวินไปด้วย
เนื่องจากเขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป บวกกับมีสถานะพิเศษ จึงทำให้ไม่มีใครตอบสนองทัน พอทุบผังหยวนจวินจนสลบเสร็จก็พาตัวมาทันที
รอคนอื่นๆ รู้สึกตัว ราชาดาบอุดรก็ลงมือสุดกำลัง คิดฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมเพื่อพลิกสถานการณ์ เจ้าวรยุทธ์อีกสองคนได้แต่ถ่วงเวลาเขาไว้สุดกำลัง เพื่อไม่ให้สถานการณ์รบพังทลาย
หลังจากลู่เซิ่งวิ่งตะบึงเป็นเวลาสิบกว่านาที เขาก็กระโดดไปบนกิ่งไม้ แล้วโฉบลงด้านล่างไปถึงริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง
“ผู้ใด” สายตาเขาพลันสาดความเย็นชา ก่อนจะกวาดตามองรอบตัว
รอบๆ คือทะเลป่ารกครึ้ม เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่าคล้ายมีใครลอบมองเขาอยู่ในที่ลับ
ความรู้สึกนั้นเย็นเยียบเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งวางตัวผังหยวนจวินลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะขยับคอดังกร๊อบแกร๊บ สายตามองดูรอบๆ จากนั้นก็หยุดลงที่ทะเลสาบด้านหน้า
ตุบ
เขาเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย เหยียบใบไม้แห้งกลุ่มหนึ่งจนแหลก
ซ่า!
คลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าหมี่ผืนหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า จระเข้ปากสั้นขนาดใหญ่สีดำสนิทตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากทะเลสาบ!
จระเข้ยักษ์ใช้ฟันที่เหมือนกับกรรไกรงับใส่ลู่เซิ่งดุจสายฟ้าแลบ
“หือ” ลู่เซิ่งเคลื่อนย้ายไปทางขวาเป็นระยะทางหนึ่งเหมือนกับสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ตะปบมือขวาใส่อย่างสุดกำลัง
เปรี้ยง!
จระเข้ยักษ์ที่ยาวเจ็ดแปดหมี่ถูกเขาคว้าศีรษะเอาไว้ ห้านิ้วดุจมีดเจาะลึกเข้าไปอย่างง่ายดายราวกับแทงเต้าหู้
กรรซ์!
จระเข้ยักษ์คำราม เกล็ดทั่วร่างกลายเป็นสีแดง พลิกกลิ้งร่างกายรอบหนึ่ง ก่อนจะฟาดหางใหญ่ราวกับแส้ใส่ลู่เซิ่ง
‘ไอ้ตัวนี้มีพลังไม่ธรรมดา! ส่วนหัวไม่ใช่จุดอ่อนหรอกหรือ’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจระเข้ตัวนี้รุกถอยอย่างมีแบบแผนไม่เหมือนกับสัตว์ หนำซ้ำยังมีพลังเหนือกว่าจระเข้ทั่วไป ระดับไม่ต่ำกว่าเจ้าวรยุทธ์
เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นป้องกันหาง เกิดเสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง
ลู่เซิ่งถอยหลังไปติดต่อกันสิบกว่าก้าวถึงค่อยฝืนตั้งหลักได้
“มาไม่เสียเวลาจริงๆ ตอนแรกนึกว่าต้องรอโอกาสเสียอีก” บุรุษประหลาดสองคนหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยเดินออกมาจากทางซ้ายทางขวา
สองคนนี้หน้าตาเหมือนกัน บนหน้าผากมีตุ่มเนื้อสองก้อนขนาดใหญ่ นอกจากความสูงแล้ว หากมองเผินๆ เหมือนคนคนเดียวกันเปลี่ยนเสื้อปลอมตัว
“ผังหยวนจวินผู้ยิ่งใหญ่เสียท่าเจ้าอ้วนคนนี้หรือนี่ น่าทุเรศจริงๆ”
“พูดอะไรไร้สาระ ลงมือเถอะ เดี๋ยวจะเกิดเหตุแทรกซ้อนเอา” คนตัวเตี้ยอีกคนเอ่ยเสียงเย็น
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าจระเข้ยักษ์ตัวนั้นกับคนสองคนนี้ล้อมตนเองเป็นแนวสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นว่าเป็นไปได้ที่สุดที่พวกเขาสองคนจะซ่อนจระเข้ยักษ์ตัวนี้ไว้ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว
“จระเข้ระดับเจ้าวรยุทธ์ น่าสนใจนี่!” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก
เพิ่งจะต่อสู้กับผังหยวนจวินไป ทั้งยังเป็นการเข้าปะทะตอนไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้พอต้องสู้กับระดับเจ้าวรยุทธ์สามคนจริงๆ เขากลับคิดจะลองดูว่าร่างกายร่างนี้มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับไหน
“สังหารผังหยวนจวิน!”
หลังจากเสียงตวาดดังขึ้น สองคนหนึ่งจระเข้ก็ลงมือพร้อมกัน พุ่งใส่ลู่เซิ่งจากสามทิศทาง
พวกเขาไม่สนใจผังหยวนจวินที่นอนอยู่ด้านข้าง หากเล็งเป้าไปที่ลู่เซิ่งก่อน พวกเขาเข้าใจดีว่า ถ้าหากไม่จัดการลู่เซิ่ง ก็ไม่มีทางสังหารผังหยวนจวินได้
เสียงแหวกอากาศที่เกิดจากเงาสามสายดังลั่นส่งเสียงระเบิดเสียดหูเหมือนกับจรวดพุ่งสู่ท้องฟ้า กระแทกเข้าใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรงจากสามทิศทาง
ลู่เซิ่งเพิ่งจะพัฒนาวิชาคางคกดาราเคลื่อนถึงระดับสิบ การที่วิชาคางคกดาราเคลื่อนที่เดิมทีมีแค่เจ็ดระดับบรรลุถึงระดับสิบได้ ก็ถือเป็นขีดจำกัดทางโครงสร้างทฤษฎีของวิชาชุดนี้แล้ว ไม่อาจพัฒนาได้อีกต่อไป
หลังจากไปถึงระดับที่สิบ การยกระดับที่ได้รับก็สุดที่เจ็ดระดับก่อนหน้านี้จะเทียบเคียงได้ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าผิวของตนเริ่มมีผิวหนังโปร่งแสงบางๆ ที่ทนทานงอกออกมาชั้นหนึ่ง พลังป้องกันของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง
“น้ำค้างแสงอรุณ!”
“น้ำค้างอัสดง!”
คนทั้งสองคนที่หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยวาดมีดสั้นในมือเหมือนกับรุ้งกินน้ำสองสาย แทงใส่ใต้รักแร้สองข้างของลู่เซิ่งด้วยจังหวะประหลาดที่เหมือนรวดเร็วแต่ความเป็นจริงนั้นกลับเชื่องช้าจนยากจะเลียนแบบ
จระเข้ยักษ์พุ่งมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง แล้วโจมตีด้วยกรงเล็บแหลมคมกับปากที่กว้างใหญ่ ได้กลิ่นเหม็นร้ายกาจฉุนจมูกทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างนับหลายหมี่
“ทำลายล้างพริบตา หมุนวนนับพันครั้ง!!” ลู่เซิ่งเปลี่ยนสองฝ่ามือเป็นดาบพร้อมกับปะทะใส่การโจมตีจากสองด้าน
จากนั้นเขาก็เอียงตัว แล้วยกขาขวาขึ้นฟาดลงพร้อมกับเสียงแหวกอากาศอันน่ากลัวดุจขวานใส่ด้านข้างปากของจระเข้ยักษ์อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
เงาคนสองสายกับจระเข้ยักษ์ถูกกระแทกให้โซเซถอยหลังไป
เลือดกระจายเวียนว่อนกลางอากาศ ลู่เซิ่งโยนแขนที่ถือไว้ข้างละท่อนทิ้ง ก่อนจะพุ่งไปด้านหน้า แรงสะท้อนกลับระเบิดอย่างรุนแรงที่ใต้เท้า ปรากฏหลุมใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่
เขาอาศัยแรงสะท้อนไปโผล่ขึ้นด้านหน้าจระเข้ยักษ์เหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา แล้วประกบมือแทงไปด้านหน้า!
สวบ!
สองฝ่ามือของเขาแทงหายเข้าไปในท้องของจระเข้ยักษ์มากกว่าครึ่ง
กรรซ์!
ขณะลู่เซิ่งกำลังจะลงมือปลิดชีพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แรงลมสองสายก็พุ่งมาจากทั้งสองด้านอีกรอบ
เขาเยือกเย็นไม่หวั่นไหว รีบถอยร่างไปด้านหลัง เพื่อสู้กับศัตรูทั้งสามนี้อีกครั้ง
แม้จะเป็นเจ้าวรยุทธ์ แต่ระดับของสองคนนี้คือเจ้าวรยุทธ์ช่วงกลางระดับหนึ่งและเจ้าวรยุทธ์ช่วงแรกระดับสอง ถ้าหากไม่เห็นว่าผังหยวนจวินสลบอยู่ พวกเขาคงไม่กล้าลงมือซุ่มโจมตี
พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็หันไปมองด้านหลัง
จริงสิ ผังหยวนจวินเล่า
เขาพลันงุนงง ด้านหลังว่างเปล่า ไม่มีเงาใครสักคน ผังหยวนจวินที่เมื่อครู่นอนสลบอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไม่ทราบไปไหนแล้ว
“สังหาร!”
คนสองคนและหนึ่งจระเข้ที่ลงมืออยู่ ค้นพบปัญหานี้เช่นกัน ทว่าตอนนี้ถูกลู่เซิ่งหักแขนไปคนละข้าง พวกเขาจึงเลือดขึ้นหน้า ต้องการสังหารลู่เซิ่งก่อนค่อยว่ากันอีกที
ทั้งสามโถมตัวเข้าใส่ลู่เซิ่งอีกครั้ง
สิบกว่าอึดใจต่อมา
รอบๆ ลู่เซิ่งเหลือแค่เศษเนื้อและเกล็ดจระเข้ที่แหลกเละส่วนหนึ่ง
เขายืนอยู่กลางกองเลือดเนื้อกองหนึ่ง ผุดสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่พลังฝึกปรือของร่างกายร่างนี้ยังไม่ยกระดับถึงขีดจำกัด เขาย่อมสัมผัสที่อยู่ของผังหยวนจวินที่แอบหนีไปได้
‘บอกแล้วว่าจะให้กลับไปอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ท่านพ่อเห็นคำพูดของข้าเป็นลมผ่านหูหรือ’
เขาเหลียวมองรอบๆ พลันพบจุดสีขาวจุดหนึ่งบนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ดูเหมือนว่าจะเป็นรอยเท้า
ลู่เซิ่งแค่นเสียง ก่อนจะทะยานร่างตามไปยังด้านนั้น
…
ผังหยวนจวินกระโดดไปมาท่ามกลางป่าอย่างสับสน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าตนถูกทุบสลบและถูกลากมาได้อย่างไร รอฟื้นสติขึ้นมา ก็พบว่าใกล้ๆ มีคนต่อสู้กันอยู่
คนที่ต่อสู้กันอยู่คือสองผู้เฒ่าเป่ยจวี้ คู่แค้นเก่าของเขา และจระเข้ยักษ์บึงสวรรค์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ เขารู้แต่แรกแล้วว่าสองคนนี้ซุ่มอยู่นี่ ตอนแรกคิดจะจัดการทีหลัง นึกไม่ถึงว่าการกระทำนี้กลับช่วยชีวิตเขาไว้
คนที่สู้กับพวกเขาคือคนหนุ่มที่คล้ายคลึงกับผังซือเฉิงลูกชายของตน
เขาอาศัยจังหวะที่คนสามคนกับหนึ่งจระเข้สู้กันอยู่ รีบหนีออกจากวงต่อสู้อย่างเงียบๆ ก่อนจะเร่งรุดไปยังฐานทัพลับของแท่นบูชาน้ำค้างครามที่อยู่ไม่ไกลนัก
กองทัพใหญ่ถูกราชาดาบอุดรพัวพันไว้ ไม่อาจคุ้มครองเขาได้อีกแล้ว ทว่านอกจากกองทัพหลัก ยังมีฐานที่มั่นแห่งอื่นที่เขาดูแลมานานเช่นกัน จะต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เขาได้แน่
เพียงแต่เดิมทีฐานที่มั่นนี้เป็นสิ่งที่เขาแอบสร้างขึ้นไว้เป็นทางหนีหากล้มเหลวในการเข้าครองยุทธจักร น่าเสียดายที่ครั้งนี้กลับต้องใช้มารับมือกับคนลึกลับน่ารังเกียจนั่นแทน
ผังหยวนจวินวิ่งตะบึงอยู่กลางป่าด้วยความอึดอัดคับข้องใจ
แต่พอนึกย้อนถึงพละกำลังของคนผู้นั้นอย่างละเอียด เขาก็สำนึกตัวว่าต่อให้ตนจะป้องกันอย่างสุดกำลัง ก็ยากที่จะไม่พ่ายแพ้ต่อการโจมตีจากพละกำลังนั้น เขาสงสัยถึงขีดสุดว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่คนผู้นั้นจะเป็นยอดฝีมือระดับเจ้า วรยุทธ์สักคนปลอมตัวมา
หลังจากกระโดดไปมาเป็นเวลาราวสิบกว่านาที ผังหยวนจวินก็ทิ้งตัวลงด้านหน้ากลุ่มสิ่งก่อสร้างสีขาวที่สร้างจากก้อนหินอย่างแผ่วเบา
ด้านนอกกลุ่มสิ่งก่อสร้างมีเหล่าชายฉกรรจ์สวมชุดสีเขียวคอยลาดตระเวณ พอเห็นเขาปรากฏร่างขึ้น ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ก็พลันเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วก่อนจะคุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อม
“คำนับประมุขแท่นบูชาหลัก!”
“พวกผู้เฒ่าสวี่เล่า” ผังหยวนจวินรีบถามพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปในกลุ่มสิ่งก่อสร้างหินสีขาว
พวกเขารีบลุกขึ้นตอบว่า “ผู้เฒ่าสวี่เพิ่งจะพาคนมาขอรับ ยังมีเฒ่าซูราชาหมีแห่งซูเป่ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน”
“ราชาทะเลทรายมาถึงหรือยัง” ผังหยวนจวินรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ก่อนจะถามเสียงทุ้ม
“อีกประเดี๋ยวน่าจะมาถึงแล้วขอรับ” ชายฉกรรจ์ผู้นี้เพิ่งจะเอ่ยปาก พลันก็มีเสียงบุรุษที่แหลมสูงและแหบพร่าลอยมาจากป่าไกลๆ
“ข้ามาถึงแล้ว เพียงแต่รอประมุขแท่นบูชาหลักอยู่ด้านนอกมาโดยตลอดเท่านั้น ได้ยินมาว่าสหายผังกำลังล้อมโจมตีราชาดาบอุดร เหตุใดจึงเสร็จสิ้นเร็วถึงเพียงนี้ มารอกับข้าก่อนดีหรือไม่เล่า” บุรุษผู้นี้คือผู้ปกครองแห่งทะเลทรายตะวันตก ราชาทะเลทรายหงเฉวียนกั๋ว
“เพียงเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเท่านั้น เลยมาก่อนเวลา สหายหงไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นหรอก” ผังหยวนจวินกล่าว อย่างเย็นชา
ความจริงเขาเป็นสมาชิกองค์กรลับที่มีชื่อว่ากึ่งมาร
องค์กรนี้จะจัดงานประชุมที่เรียบง่ายในสถานที่ต่างๆ ทุกปี ปีนี้ก็แค่มาจัดในเขตของเขาพอดีเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดจะมาร่วมประชุม เลยถือโอกาสพาคนไปจัดการราชาดาบอุดร เพียงนึกไม่ถึงว่าตอนใกล้จะประสบผลสำเร็จ กลับเกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้น
“เห็นสหายผังเคลื่อนไหวด้วยท่าท่างรีบเร่ง การก้าวเท้าทุลักทุเล หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุใดขึ้น ถูกราชาดาบอุดรพลิกจากแพ้เป็นชนะหรือ” ราชาทะเลทรายยิ้มพลางสัพยอก
พอพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของผังหยวนจวินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นึกถึงคนเมื่อครู่
เขาไม่ตอบกลับหากสลับท่าเท้า กระโดดเข้าไปในกลุ่มสิ่งก่อสร้างป่าหิน แล้วเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ไม่นานก็ไปถึงหน้าตึกหินเล็กที่ก่อขึ้นอย่างง่ายๆ แห่งหนึ่ง
ตึกหินมีทั้งหมดสามชั้น เห็นคนกำลังนั่งดื่มสุราฟังเพลงอยู่บนชั้นสามได้รางๆ
“เหตุใดสหายผังรีบร้อนเช่นนี้” เสียงสตรีชราลอยมาจากชั้นสาม
ผังหยวนจวินถอนใจยาว สงบสติอารมณ์ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้นสามของอาคารหินเหมือนกับจรวด
“ข้ามีเรื่องสำคัญเลยมาสายไปเสียหน่อย ขออภัยทั้งสองท่านด้วย ครั้งนี้เกรงว่าจะมีเรื่องรบกวนให้ทั้งสองท่านลงมือช่วยเหลือจริงๆ แล้ว” เขายืนอยู่บนดาดฟ้า ประสานมือโค้งตัวคำนับอย่างจริงจัง
ชายชราผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งกับหญิงชราอีกคนนั่งอยู่ในโถงรับแขกของชั้นสาม ทั้งสองกำลังดื่มสุรากินข้าวขณะฟังนักร้องและนักเต้นสาวขับขานบทเพลงและร่ายรำ
จู่ๆ ได้ยินว่าผังหยวนจวินที่ตอนแรกบอกว่าจะมาสายกลับมาถึงก่อนเวลา พอพบหน้าก็ขอให้พวกตนลงมือช่วยเหลือทันที นี่กลับทำให้ยอดฝีมือทั้งสองเกิดความสงสัย
“สหายผังท่านเหมือนอาทิตย์กลางหาว ไม่เพียงพลังฝึกปรือบรรลุระดับสูงสุด มีศัตรูไม่กี่คนในยุทธจักร ต่อให้พวกเราลงมือ ก็เพียงสูสีก้ำกึ่งกับท่านเท่านั้น” หญิงชราคนนั้นเอ่ยเสียงอ่อนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่ทราบเป็นเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านต้องขอให้พวกเราลงมือด้วยความเกรงอกเกรงใจเยี่ยงนี้”
……………………………………….