ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 770 อยู่กันพร้อมหน้า (4)
“ตามข้อตกลงในองค์กร คุณงามความดีของท่านมากพอให้พวกเราร่วมมือกันเพื่อท่านได้ครั้งหนึ่ง” ชายชราที่อยู่อีกด้านเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ พยักหน้าน้อยๆ “แต่ว่าเพราะเหตุใดกันแน่ โปรดชี้แจงให้ถี่ถ้วนด้วย”
ผังหยวนจวินได้ยินก็ผุดสีหน้าจนปัญญา
“จะว่าไปก็ประหลาด เดิมทีข้ากำลังล้อมโจมตีคฤหาสน์ตระกูลเฟิงอยู่ ตอนที่กำลังจะกำชัยแล้ว อยู่ๆ ก็มีคนหนุ่มคนหนึ่งโผล่มาขวางข้าและพูดเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ เป็นเพราะคนหนุ่มผู้นี้คล้ายคลึงกับผังซือเฉิงลูกชายข้า ข้าจึงคิดจะไล่เขาไปพ้นๆ เท่านั้น นึกไม่ถึง หลังจากสู้กันค่อยพบว่าอีกฝ่ายมีพลังน่าตกตะลึง ไม่เป็นรองสามประมุขพรรคใหญ่เลย!”
“เป็นไปได้อย่างไร สามพรรคใหญ่มีพลังแข็งแกร่ง เป็นสุดยอดปรมาจารย์ของยุทธจักร ใครกันพอโผล่มาก็เทียบเคียงกับพวกเขาได้” ชายชราได้ยินพลันผุดสีหน้าไม่พอใจ
“ผู้แซ่ผังไม่กล้ากล่าวเหลวไหล แต่คนผู้นั้นแข็งแกร่งกว่าข้านั้น นี่เป็นความจริง” เขากล่าวอย่างแน่วแน่
“ความตั้งใจของท่านคืออย่างไร” ชายชราเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอให้ทุกท่านลงมือรุมสังหารคนผู้นี้พร้อมกัน แน่นอนว่าถ้าจับเป็นได้จะดีที่สุด! พวกเราจะต้องถามให้กระจ่างว่าคนผู้นี้เป็นใครและมีเป้าหมายอะไรกันแน่” ผังหยวนจวินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เบื้องหลังขององค์กรกึ่งมารนี้เป็นไพ่ตายของเขา แต่มาถึงตอนนี้เขาจะต้องใช้ไพ่ตายสุดท้ายนี้แล้ว
ไม่อย่างนั้นคงถูกคนผู้นั้นฆ่าทิ้งจริงๆ
“ลงมือนั้นย่อมได้ เพียงแต่จะต้องสะสางเสียก่อนว่าคนผู้นี้มีความเกี่ยวพันอะไรกับพวกเราหรือไม่ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับเส้นสายตระกูลขุนนางในยุทธจักรของพวกเรา หากตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” หญิงชราเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เฒ่าซูพูดถูกแล้ว”
ซูหาน สวี่ซุนจิ้ง สองคนนี้ได้รับการเรียกขานร่วมกันว่าสองเฒ่าจิ้งหาน เป็นยอดฝีมือระดับเจ้าวรยุทธ์อันดับแรกๆ ของใต้หล้า ซึ่งคล้ายกับผังหยวนจวิน เป็นรองเพียงสามประมุขพรรคใหญ่เท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธจักรในปัจจุบัน
หากต่อสู้กับผังหยวนจวินเดี่ยวๆ อย่างมากสุดก็อ่อนแอกว่าผังหยวนจวินขั้นหนึ่งเพราะเลือดลมไม่พอเท่านั้น ทว่าหากสองคนผนึกกำลังกัน จะต้องต่อสู้กับผู้เข้มแข็งระดับเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุดได้แน่ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ผังหยวนจวินพยายามดึงสองคนนี้มาเป็นพวก
พอได้รับคำสัญญาจากยอดฝีมือระดับเดียวกับตัวเองถึงสองคน ในที่สุดผังหยวนจวินก็ระบายลมหายใจอย่างแรง
ในตอนที่เขากำลังจะเตรียมเข้าไปนั่งพักผ่อนในโถงเล็กนั่นเอง
ตูม!
มีเสียงดังอึงอลดังมาจากป่าหินด้านนอก
ทั้งสามคนตกใจ พากันลุกขึ้นและก้มมองลงไป
ฝุ่นฟุ้งตลบด้านนอกป่าหินจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง
ในตอนนั้นเอง กลางอากาศก็มีเสียงที่ชั่วร้ายดังมา
“ท่านพ่อ ข้าลำบากตามหาท่าน…เผลอเพียงเล็กน้อย ท่านกลับหนีมาไกลขนาดนี้ หรือว่าการตามข้ากลับไปมันทรมานขนาดนั้นเชียวหรือ”
ผังหยวนจวินสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบมองไปรอบๆ เหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ กลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าเสียงดังมาจากทางไหน
สองเฒ่าจิ้งหานรู้สึกเคร่งเครียดเช่นกัน แม้แต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงดังมาจากไหน
“ชนชั้นมุสิกจากที่ใด! กล้ามาทำตัวสามหาวต่อหน้าข้า!” ซูหานยกไม้เท้าในมือขึ้นกระทุ้งอย่างแรง อาคารสามชั้นพลันสั่นสะเทือน
พื้นที่ไม้เท้าอยู่ไม่มีร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย แต่อาคารสามชั้นกลับถูกกระแทกจนโคลงเคลง ดูเหมือนพร้อมจะถล่มได้ทุกเวลา แสดงให้เห็นถึงระดับการควบคุมพลังเบื้องหลังมัน
ตูม!
ทันใดนั้นประตูหินบานหนึ่งด้านล่างอาคารก็ระเบิดเป็นส่วนๆ
องครักษ์ลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งรีบพุ่งเข้าไปขัดขวาง กลับถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกกระเด็น ชนใส่กำแพงหินและเสาหินที่อยู่รอบๆ เกิดเสียงร้องโหยหวนขึ้นชั่วขณะ
“ใคร!”
ยอดฝีมือระดับราชาวรยุทธ์สิบกว่าคนถืออาวุธหลากหลายชนิด ห้อมล้อมประตูหินอันเป็นทางเข้าออกเอาไว้ดุจเผชิญศัตรูร้ายกาจ
พึงทราบว่าในกลุ่มองครักษ์ที่เพิ่งเข้าไปขวางเมื่อครู่มีราชาวรยุทธ์อยู่หลายคน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ กลับไม่ใช่คู่ต่อกรของผู้มา
“กล้าบุกผืนป่าศิลา ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นที่ใด!” บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำตวาดเสียงทุ้ม
ลู่เซิ่งเปลือยท่อนบน คลุมเพียงแค่ผ้าคลุมสีดำอำพรางตำแหน่งตั้งแต่คอลงไป มือข้างหนึ่งยกดาบโค้งที่เพิ่งเก็บขึ้นมา และเดินเข้าไปในผืนป่าศิลาด้วยสีหน้าเย็นชา
“กลับบ้านกันเถิดท่านพ่อ อย่าหนีอีกเลย กลับไปอยู่กันพร้อมหน้า กลับไปใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ ข้าเป็นลูกชายท่านนะ ลูกชายที่ท่านเลี้ยงดูมาหลายปี ตอนนี้ข้าโตแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะตอบแทนพวกท่านสักที” ลู่เซิ่งพูดอย่างซาบซึ้งตรึงใจ แต่หนังหน้าไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นถึงขีดสุด
“ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเรา เหตุใดท่านต้องดึงคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” เขากวาดตามองรอบๆ ก่อนกล่าวเสริมอีกประโยค
ผังหยวนจวินที่อยู่ในตัวอาคารมองสายตาประหลาดของสองเฒ่าจิ้งหาน พลันเห็นท่าไม่ดี
“อย่าไปฟังมันพูดจาเหลวไหล ปีนี้ผังซือเฉิงลูกชายของข้าเพิ่งอายุได้สิบขวบ จะเอามรรคายุทธ์ที่สูงล้ำแบบนี้มาจากที่ใดกัน! ต่อให้ข้าเชื่อ พวกท่านก็ทราบสถานการณ์ของข้าดี มีเครือข่ายข่าวสารของตัวเอง พวกท่านเชื่อหรือ” เขาอธิบายด้วยเสียงเร่งร้อน
“ท่านอยู่ไหนกัน รีบออกมาเถิดท่านพ่อ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำร้ายท่านแล้ว ครั้งก่อนเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านสลบหรอก จริงๆ นะ ท่านวางใจเถิด ข้ารับประกัน”
ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณค้นหาไม่ได้ ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังไปไม่ถึงขีดจำกัด ที่นี่มีป่าหินกระจายอยู่ทั่ว ทั้งยังมีคนมากมาย เขาจึงหาตำแหน่งผังหยวนจวินไม่เจออยู่ชั่วขณะ
ผังหยวนจวินมองสายตาที่ประหลาดกว่าเดิมของคนทั้งสองด้วยความคับข้องใจสุดขีด
ประมุขแท่นบูชาหลักแห่งแท่นน้ำค้างครามที่ยิ่งใหญ่อย่างเขา มีศิษย์ในสังกัดมากกว่าหมื่น แต่ละคนต่างก็ล้วนเป็นยอดฝีมือ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าคนเป็นโรคประสาทนี้เล่นงาน
“ข้ารับประกันว่ามันไม่ใช่ลูกข้าจริงๆ! ตอนนี้ซือเฉิงลูกข้ายังอยู่ที่เมืองน้ำค้างคราม เขาอ้วนเกินไปจนขยับไปไหนไม่ได้! ดังนั้นคนผู้นี้จะต้องเป็นคนโรคจิตที่ยืมชื่อลูกชายของข้ามาหาเรื่องข้าแน่นอน!” ผังหยวนจวินอธิบายด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“…” เจ้าวรยุทธ์ผู้มีศักดิ์อาวุโสสองคนมองกันไปมองกันมา ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรอยู่ชั่วขณะ
ตูม!
แค่ลังเลอยู่ชั่วครู่สั้นๆ ในป่าหินด้านนอกก็มีคนอีกกลุ่มโดนลู่เซิ่งซัดกระเด็นไปกองกับพื้น ถ้าไม่ใช่บาดเจ็บหนักก็หมดสติไป
อย่างไรลู่เซิ่งก็รู้จักหนักเบา ไม่ได้ฆ่าคนมั่วซั่ว
“ลูกตามหาผู้เป็นพ่อ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นี่เป็นสัจธรรมฟ้าดิน พวกท่านถึงกับกล้าขวางหลักธรรมชาติ! ขวางไม่ให้ข้าแสดงความกตัญญูต่อผู้เป็นพ่อเป็นแม่! ข้าขอแสดงให้พวกท่านเห็นแทนฟากฟ้าเองว่าอะไรคือความกตัญญู!”
ลู่เซิ่งตวาดและคว้าฝ่ามือไปจับค้อนเหล็กที่ฟาดมาจากด้านข้าง ก่อนจะถองศอกใส่
ความเร็วและพละกำลังที่น่ากลัวกระแทกใส่หน้าอกราชาวรยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ อย่างแรงพร้อมเสียงระเบิดดังกึกก้อง
เสียงกร๊อบดังขึ้นไปทั่ว ชายฉกรรจ์ผู้นี้บาดเจ็บจนสลบไสล พร้อมกับกระเด็นออกไปไกล ก่อนจะนอนแน่นิ่งแผ่กับพื้น เสียชีวิตไปแล้ว
นี่เป็นคนคนแรกที่ลู่เซิ่งลงมืออย่างหนักเพื่อสังหาร บนตัวคนผู้นี้มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น แสดงให้เห็นว่าฆ่าคนมามาก หนำซ้ำยังลอบโจมตีตอนเขาพูดอยู่อีก ดังนั้นเขาเลยจัดหนักเสียหน่อย
“ออกมาเสียดีๆ เถิดท่านพ่อ อย่าบังคังให้ข้าสังหารคนที่นี่จนหมดสิ้นเลย ถึงตอนนั้น เราสองคนมองหน้ากันไม่ติดแน่” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปากและเช็ดเลือดที่กระเซ็นใส่ใบหน้าออก
ขณะฟังเสียงที่อยู่ไกลออกไป ผังหยวนจวินรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมในน้ำเสียง ระฆังเตือนภัยดังขึ้นในใจ ร่างกายเกร็งถึงขีดสุด พร้อมจะลงมือป้องกันวิกฤติการณ์ถึงตายที่อาจมาถึงสุดกำลังตลอดเวลา
“สังหารหมดสิ้นหรือ กล่าววาจาโอหังนัก!” ราชาทะเลทรายที่ตอนแรกเพียงคิดชมดูเรื่องสนุกอยู่ด้านนอกป่าหินกลับโมโหเข้าจริงๆ แล้ว
เขาเป็นเจ้าวรยุทธ์ช่วงกลาง จึงไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของสมาชิกทั่วไป แต่ว่าตอนที่คำพูดดูถูกนี้ถูกพูดออกมา ถ้าหากยังไม่ทำอะไรอีก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเต่าหัวหดจริงๆ แล้ว
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ตอนนี้สีหน้าของสองเฒ่าจิ้งหานก็เยือกเย็นลงเช่นกัน
“ไปเถิด ลองสู้กับสหายท่านนี้ดูว่าเขามีความมั่นใจอันใดจึงกล้ากล่าววาจาเช่นนี้”
ซูหานแค่นเสียง ก่อนจะกระทุ้งไม้เท้า ร่างกลายเป็นเงาดำพุ่งออกจากโถงเล็ก สหายชราที่อยู่ด้านหลังตามติดมาด้วยเช่นกัน
ผังหยวนจวินโล่งใจ ผู้เข้มแข็งระดับเดียวกับตนสามคนผนึกกำลังกัน ต่อให้จะเป็นเจ้าวรยุทธ์ระดับสุดยอดซึ่งเป็นหนึ่งในสามประมุขพรรคใหญ่ลงมือก็ไม่เกรงกลัว เขาไม่เชื่อว่าคนผู้นั้นจะทำตัวเหิมเกริมได้อีก!
หลังจากสงบจิตใจแล้ว เขาก็กระโดดตามลงไปยังที่ที่ลู่เซิ่งอยู่
พริบตาเดียวเจ้าวรยุทธ์สี่คนก็ไปถึงประตูทางเข้าผืนป่าศิลาพร้อมกัน มองเห็นลู่เซิ่งที่กำลังเดินอยู่บนซากปรักหักพังที่โดนถล่มลงจนกลายเป็นพื้นราบแห่งหนึ่ง
โดยเฉพาะตอนที่เห็นใบหน้าที่เห็นได้ชัดว่าเหมือนผังหยวนจวินของลู่เซิ่ง ทุกคนก็งุนงงเล็กน้อย
ทั้งสี่ล้อมลู่เซิ่งเอาไว้ตรงกลางจากสี่มุม
“บอกมาซะว่าเจ้าเป็นใคร! เหตุใดจึงปลอมตัวเป็นซือเฉิงลูกของข้า!” ใบหน้าของผังหยวนจวินอึมครึมถึงขีดสุดขณะจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉย
“ข้าคือซือเฉิงลูกชายของท่าน เพียงแต่สิบปีก่อนข้าฝึกฝนอย่างหนัก และซ่อนเร้นพลังเอาไว้ จนกระทั่งไม่นานมานี้ หลังจากได้ลิ้มรสความสุขทุกอย่างในชีวิตแล้ว ข้าพลันตื่นรู้ว่า ความรักจากพ่อแม่ต่างหากจึงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจทำให้ครอบครัวเรากลับมาคืนดีกันให้ได้ ข้าได้รับท่านแม่มาจากสำนักน้ำพุแล้ว ตอนนี้ขาดเพียงท่านเท่านั้น”
“…” ผังหยวนจวินกับพวกอีกสามคนมองหน้ากัน
ราชาทะเลทรายเป็นบุรุษร่างกำยำที่ใส่ชุมคลุมสีเหลืองและคลุมผ้าปิดหน้าไว้ พอได้ยินดังนั้น สายตาที่มองลู่เซิ่งก็อดอ่อนโยนลงไม่ได้
“หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง อย่างนั้นก็นับว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ครอบครัวต้องสมบูรณ์ถึงจะมีความสุข คนเราอยู่มาทั้งชีวิต ถ้าอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวไม่ได้ ต่อให้จะทำเรื่องใดๆ ก็ไม่มีความหมาย! ยามร่ำรวยมีอำนาจไม่มีใครร่วมแบ่งปัน ยามยากจนทุกข์ทนไม่มีใครคอยให้กำลังใจ”
“ผู้อาวุโสท่านนี้กล่าวมีเหตุผล” ลู่เซิ่งพลันพยักหน้า “น่าเสียดายที่ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ไม่เข้าใจเหตุผลนี้ ตอนแรกมีคนเตือนข้าว่าให้รอ เวลายังเหลืออีกมาก เมื่อโชคชะตามาถึงย่อมได้พบเจอเอง แต่ข้ากลับเห็นไม่เหมือนกัน คนเราใช้ชีวิตอยู่บนโลก ต้องรีบใช้เวลาให้คุ้ม” เขาเว้นไปเล็กน้อย ดวงตาที่มองไปยังผังหยวนจวินอ่อนโยนลง
“ความจริงท่านพ่อของข้าเป็นคนปากร้ายใจดี ยิ่งเขาพูดจาเจ็บแสบเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งอ่อนโยนเท่านั้น” เขาเพียงละวางศักดิ์ศรีไม่ได้ เปลือกนอกไม่ยอม แต่ความจริงในใจยอมรับไปนานแล้ว”
“เหลวไหล!” ผังหยวนจวินจุกอกจนแทบกระอักเลือด “แกเป็นปีศาจผุดมาจากไหน! ที่ทำลายแผนการใหญ่ของข้าและที่กล่าววาจาไร้สาระก็เพื่อจะสังหารข้าตอนไม่ทันตั้งตัวสินะ!”
“ดูสิ ท่านก็เป็นอย่างนี้ ท่านแม่ก็เป็นอยางนี้ ไอ้ลืมรักสูงส่งอะไรนั่นหมายถึงเปลือกนอกเย็นชาในใจร้อนระอุไม่ใช่หรือ ข้ามองออกโดยสิ้นเชิงแล้ว” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหาผังหยวนจวิน
“มาเถอะ เลิกปากไม่ตรงกับใจได้แล้ว ตามข้ากลับบ้านเถอะ” เขาค่อยๆ ยื่นมือเข้าหาผังหยวนจวินด้วยสายตาอ่อนโยน
“ให้ข้ากะเทาะเปลือกที่ดูเหมือนแข็งแกร่งให้พวกท่านเห็นเถิด!”
……………………………………….