ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 772 ไล่ล่า (2)
ชายชราคนที่ถูกผังหยวนจวินฆ่าตายฝึกฝนวิชาคางคกดาราเคลื่อนอันเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นกัน แต่ว่าตอนนั้นเขาเพิ่งอยู่ในระดับที่ห้า ก็ได้บรรลุคุณสมบัติร่างกายระดับเจ้าวรยุทธ์แล้ว
ตอนนี้ลู่เซิ่งบรรลุถึงระดับสิบแล้ว!
คุณสมบัติร่างกายของเขายกระดับอย่างบ้าคลั่งแทบทุกวินาที เพียงแค่ไล่ล่าผังหยวนจวินเป็นเวลาสั้นๆ พลังของเขาก็มีพลังของกระทิงหนึ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างเงียบงันแล้ว
ตอนนี้ถูกหมีดำขวางทาง ในใจลู่เซิ่งก็เกิดโมโหขึ้นมา
เขากระจายปราณปฐพีในร่างกายที่โคจรได้ในขั้นต้นแล้วออกมาสายหนึ่ง เพื่อหล่อเลี้ยงกายเนื้อร่างนี้ด้วยความเร็วสูง
เดิมทีปราณปฐพีถูกสกัดออกมาจากวิชาในขอบเขตมายาพิศวง อีกทั้งยังเกิดจากวิชามายาพิศวงที่เน้นการหล่อเลี้ยงและวิวัฒนาการ ความแข็งแกร่งของการหล่อเลี้ยงจึงได้ก้าวข้ามแก่นหยางที่ลู่เซิ่งเคยพัฒนาขึ้นไปแล้ว
เพิ่งจะกระจายออกมากลุ่มเดียว ทั่วร่างของเขาก็เหมือนแช่ในน้ำร้อน ผิว กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และกระดูกเกิดความปวดแสบปวดร้อนจากความร้อนมหาศาล
สิ่งที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดคือกล้ามเนื้อสีแดงที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ผิวของลู่เซิ่งซึ่งเดิมทีมีปุ่มเนื้อโปร่งแสงอ่อนๆ คลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เวลานี้แข็งแรงและทนทานขึ้น
กล้ามเนื้อส่วนปอดของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม โครงสร้างในถุงปอดเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูงตามแบบแผนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงนี้ลึกลับพิศวงยิ่ง กลับสอดประสานกับกฎธรรมชาติของโลกใบนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีสั้นๆ สิ่งที่หล่อเลี้ยงจากปราณปฐพีนำพาคือการขยายใหญ่ที่เหมือนกับร่างกายถูกเป่าลม
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลบกระบวนท่าที่หมียักษ์ฟาดมือใหญ่ลงมา ก่อนจะหายใจเข้าอย่างแรง
ซู้ด!
การสูดหายใจนี้รุนแรงสุดเปรียบปาน ถ้ำทั้งถ้ำเหมือนกับถูกเขาสูบอากาศเข้าไปหมดสิ้น
ร่างท่อนบนของลู่เซิ่งขยายใหญ่ขึ้นเท่าหนึ่งเหมือนกับลูกโป่ง ร่างท่อนล่างกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มองดูแปลกประหลาดเหลือแสน
“รับกระบวนท่าข้าซะ! มังกรหยกโลหิต…ดาราเคลื่อน!”
ลู่เซิ่งอ้าปากพ่นอากาศออกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกับปืนใหญ่อัดอากาศ กระแสอากาศอันมหาศาลรวมตัวกลายเป็นเสาอนิลสีขาวอมเทาสายหนึ่งด้านหน้าเขา เสาอนิลนี้ระเบิดตูมใส่ท้องของหมีดำพร้อมกับการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงอันยิ่งใหญ่
ตูม!
หินทรายกระจายทั่วถ้ำ พายุพัดตลบ ก้อนหินขนาดเท่าหัวคนถูกพัดจนกระแทกกระทั้นไปทั่ว
เสาอนิลนี้ระเบิดอย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งนัก หมีดำถูกการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงกระแทกจนร่างชาดิก ใช้พลังได้เพียงห้าส่วนจากสิบส่วนนั้น ก็ถูกเสาอนิลพุ่งชนใส่ทรวงอก
มันไม่ทันตั้งท่าโต้ตอบ ได้แต่อาศัยหนังที่แข็งและเนื้อที่หนาป้องกันเท่านั้น
ทว่ากระบวนท่านี้เป็นท่าไม้ตายอันน่ากลัวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสองของวิชาคางคกดาราเคลื่อน เดิมทีใช้โจมตีระยะไกล ตอนนี้ถูกถ้ำแคบๆ จำกัดเอาไว้ คลื่นเสียงทั้งหมดจึงรวมกันเป็นจุดเดียว แม้แต่หูของลู่เซิ่งก็ถูกกระแทกจนมีเลือดไหลออกมาเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหมีดำที่อยู่ตรงหน้าเลย
เสาอนิลสีขาวอมเทากระแทกใส่ร่างหมีดำ เหวี่ยงมันไปฝังตัวเข้ากับผนังของทางโค้งในถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปเหมือนกับกระสุนระเบิด
เลือดกองใหญ่ถูกกระแสอากาศที่เหมือนพายุพัดจนกระจายไปทั่วถ้ำ ดูเหมือนกับภาพของเครื่องบดเนื้อ
ฟู่…
ลู่เซิ่งค่อยพ่นลมหายใจอย่างช้าๆ ลำคอฟื้นฟูอย่างรวดเร็วด้วยการหล่อเลี้ยงจากปราณปฐพี เยื่อหูที่เสียหายฟื้นฟูด้วยตัวเองในไม่กี่วินาที
แม้ร่างกายร่างนี้จะไม่ใช่ร่างหลักของเขา และแม้ปราณปฐพีจะแสดงผลในจักรวาลนี้ได้ไม่มากนัก แต่ความสามารถหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูที่เหลืออยู่ก็ทำให้เขาฟื้นกลับสู่สภาพสมบูรณ์ได้ในไม่กี่สิบอึดใจ
“จบสิ้นแล้ว” ลู่เซิ่งแค่นเสียงแล้วเดินไปด้านหน้า หลังปรับตัวเข้ากับความมืดเสร็จ สองตาเขาก็เห็นสภาพอนาถของหมีดำด้านหน้าได้อย่างชัดเจน
หมีดำในเวลานี้ถูกกระแทกจนเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร ลูกตาทั้งสองข้างระเบิดออก ของเหลวเหนียวๆ สีเหลืองอมแดงไหลออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้า เนื้อบนตัวอ่อนยุ่ย เหมือนไม่มีกระดูกเหลืออยู่แล้ว
ร่างยักษ์ขนาดสามหมี่กว่าๆ ฝังอยู่บนผนังถ้ำโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่หลงเหลือลมหายใจอีกต่อไป
พอตรวจสอบร่างของหมีดำตัวนี้เสร็จ ลู่เซิ่งก็หมุนตัวไล่ตามไปยังด้านในถ้ำต่อ
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ สามารถเห็นภาพผนังที่กระดำกระด่างบนผนังสองฟากข้างในถ้ำได้เป็นระยะ
ลู่เซิ่งกวาดตามองภาพวาดบนผนังเหล่านี้ผ่านๆ พอจะมองออกว่า สิ่งที่วาดไว้คือ มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ถือหอกยาวติดไฟกำลังรุมล่าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ตัวแล้วตัวเล่า
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้บ้างก็เหมือนสิงโต แต่ว่าใหญ่กว่าสิงโตทั่วไปหลายเท่า บ้างก็เหมือนกับกระทิงป่า แต่มีกีบเท้าหกข้างซึ่งกระทิงป่าไม่มี
บ้างก็เหมือนไดโนเสาร์ที่เหมือนไทรเซอราทอปส์ สัตว์ประหลาดตัวนี้ดุร้ายที่สุด ร่างกายเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ
ภาพวาดผนังช่วงหลังๆ ที่วาดไว้ว่าสังหารสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างไรเลือนรางแล้ว ลู่เซิ่งจึงมองไม่ออก แต่เขาเจอรอยเท้าจางๆ ที่ผังหยวนจวินทิ้งไว้ด้านหน้าเช่นกัน
ในถ้ำมีกลิ่นอายกับฝุ่นผงผสมปนเป ดังนั้นจึงไล่ตามกลิ่นไปไม่ได้ ทว่ารอยเท้าบนพื้นยังใหม่มาก แสดงให้เห็นว่าเพิ่งเหยียบลงไปไม่นานนัก
“หนีไม่รอดหรอก!”
ลู่เซิ่งวูบไหวร่างพุ่งเข้าไปในถ้ำ พริบตาเดียวก็หายไปในความมืด
…
ส่วนลึกสุดของถ้ำ
ผังหยวนจวินวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เขาสวมเสื้อผ้าที่ประหลาดมากไว้ตัวหนึ่ง เหมือนเป็นเสื้อผ้าที่เย็บจากขนปีกนกยูงที่มีสีสันนานา ขนบนเสื้อผ้ากระพือเล็กน้อยตามกระแสลมที่เกิดจากการวิ่งตะบึง
มองไกลๆ เหมือนกับนกสีรุ้งตัวใหญ่กำลังวิ่งสุดฝีเท้า
แต่เขาอาศัยเสื้อชิ้นนี้ถึงหลบเลี่ยงการโจมตีจากหมีดำที่น่ากลัวตัวนั้นในตอนที่เข้าถ้ำได้ เนื่องจากถูกมองเป็นพวกเดียวกัน เลยเข้าถ้ำได้อย่างปลอดภัย
ถ้ำเก่าแก่แห่งนี้เป็นซากโบราณสถานที่เขาค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ และความจริงเป้าหมายหลักๆ ที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อเปิดประชุมแถวๆ นี้ก็เป็นเพราะซากโบราณสถานลึกลับแห่งนี้นั่นเอง
ไม่อย่างนั้นในฐานะเจ้าวรยุทธ์ มีขุมกำลังใต้อาณัติมากมาย ไหนเลยจะมารวมตัวกันครั้งหนึ่งได้ทุกปี ทั้งๆ ที่มีเวลาเดินทางไปยังที่อื่นมากมายนัก
หลังจากวิ่งเป็นระยะทางหนึ่ง และสัมผัสได้ว่าด้านหลังห่างออกไปค่อนข้างไกลไม่มีเสียงแล้ว ผังหยวนจวิน ค่อยลดความเร็วลงด้วยความโล่งอก แล้วพิงหลังกับผนังถ้ำพลางหอบหายใจ
เมื่อครู่เขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บภายใน ตอนนี้ยังต้องวิ่งเต็มฝีเท้าโดยไม่หยุดพัก ยิ่งซ้ำอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน ถ้าหากไม่รีบรักษาให้เร็วที่สุด เกรงว่าจะกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บในภายหลัง
ผังหยวนจวินหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาจากทรวงอก จากนั้นก็เทยาเม็ดสีแดงที่ขนาดเท่าลำใยออกมาอมไว้ในปาก
“สหายผัง ท่านมาถึงแล้วหรือ” เสียงของราชาทะเลทรายดังมาจากในความมืด
“…ฟู่…พวกท่านก็มาถึงแล้วเหมือนกันหรือ” ผังหยวนจวินถอนใจก่อนจะถามเสียงแผ่วต่ำ
“รอท่านมาได้สักพักแล้ว ตั้งแต่ท่านส่งสัญญาณลับ พวกเราก็เข้ามาในเส้นทางลับอีกเส้นก่อนแล้ว” เสียงของ ซูหานหนึ่งในสองเฒ่าจิ้งหานดังมาช้าๆ
“ครั้งนี้ไม่ทันหยิบอุปกรณ์เตรียมตัวก่อนเข้าถ้ำมาสักชิ้น พวกท่านเอามาหรือเปล่า” ผังหยวนจวินรีบถาม
“เอามาแล้ว เพียงพอสำหรับพวกเราสี่คน” ราชาทะเลทรายตอบ “แต่สหายผังท่านไปหาเจ้าคนดุร้ายระดับนั้นมาจากที่ใด พลังแบบนั้นหากไม่ใช่ระดับเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุด พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ พวกเราสี่คนร่วมมือกัน กลับได้แต่หลบหนี น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“ข้าเองก็ไม่รู้ มันโผล่มาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ช่างเถอะ อย่าไปสนใจมันเลย มันไม่เข้ามาก็ดี หากว่าตามเข้ามา ต่อให้จะมีพลังเหี้ยมหาญ ก็ไม่ใช่คู่มือขององครักษ์หมีดำตัวนั้น อย่างไรพวกเราก็เข้ามาแล้ว ถือโอกาสเข้าไปก่อนเวลาเลยก็แล้วกัน” ผังหยวนจวินเสนอ
“ก็ได้” ราชาทะเลทรายยังคิดจะพูดอะไรต่อ อยู่ๆ เขาก็หมอบลงและเอาหูแนบชิดกับพื้นเพื่อตั้งใจฟัง
เสียงครืนเบาๆ ดังเข้ามาใกล้ด้านนี้พร้อมกับแรงสั่นสะเทือน
“แย่แล้ว! มีคนมา!”
“ไป!”
ใบหน้าของผังหยวนจวินเปลี่ยนแปลงในบัดดล เขาพุ่งเข้าไปในถ้ำเป็นคนแรก ส่วนคนที่เหลือตามไปติดๆ
ตอนที่ทั้งสี่คนเคลื่อนไหว ก็ได้ยินเสียงบุรุษที่แผ่วเบาทุ้มต่ำดังไล่หลังมาไกลๆ
“ท่านยังจะหนีอีก ทำไมกัน ทำไมต้องทำถึงขั้นนี้ด้วย พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าไม่ดีหรอกหรือ ชื่อเสียงเกียรติยศสำคัญขนาดนั้นเชียว”
ผังหยวนจวินไม่เปล่งเสียง เพียงก้มหน้าวิ่งเต็มฝีเท้า ซากโบราณสถานแห่งนี้ใหญ่มาก เขาไม่เชื่อว่าเจ้าคนโรคจิตด้านหลังนั่นจะไล่ตามมาได้ตลอดรอดฝั่ง
ทั้งสี่คนวิ่งตะบึงเป็นเวลาราวห้านาที พอหักเลี้ยวด้านหน้า แสงกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่ แสงสีขาวก็ยิ่งขยายใหญ่และส่องสว่างมากเท่านั้น
“ถึงแล้ว! ระวังด้วย!” ราชาทะเลทรายตะโกนเป็นคนแรก ก่อนจะวิ่งแซงคนอีกสามคน หายเข้าไปในแสงสีขาวผืนนั้น
สามคนที่เหลือกระโจนตามเข้าไปติดๆ
ผ่านไปสิบกว่าอึดใจ เงาสายหนึ่งก็หยุดชะงักลงด้านหน้ากลุ่มแสง เป็นลู่เซิ่งที่ไล่ตามมานั่นเอง
เขาในตอนนี้แตกต่างไปจากก่อนหน้าเล็กน้อย คุณสมบัติร่างกายของเขากำลังได้รับการยกระดับด้วยความเร็วสูงจากการหล่อเลี้ยงด้วยปราณปฐพี
ผิวหนังกลายเป็นสีสำริด ลวดลายที่เหมือนกับดวงตาสีขาวบริสุทธ์โผล่ขึ้นมากลางหน้าอก
ลวดลายนี้ยึดครองทรวงอกทั้งแผ่นของเขา ส่วนหนึ่งยาวไปจรดส่วนท้อง ดูแปลกประหลาดเหลือแสน แต่กลับมีกลิ่นอายดึกดำบรรพ์จางๆ
สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ผมสั้นสีดำของเขาปรากฏจุดที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนเป็นกลุ่มๆ
จุดแสงสีฟ้าเหล่านี้ดูชัดเจนเป็นพิเศษในถ้ำอันดำมืด ขับสะท้อนผมสั้นของเขาให้งดงามขึ้นกว่าเดิม
ร่างกายสูงใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ ก้าวย่างที่มั่นคง ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าที่สักลวดลายดึกดำบรรพ์อันเก่าแก่ บวกกับจุดแสงสีฟ้าที่กะพริบราวกับดวงดาราบนผมสั้น
ลู่เซิ่งในตอนนี้แข็งแกร่งและสง่างาม ราวเทพเจ้าโบราณที่เดินออกมาจากเทพนิยายเก่าแก่
เขายืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มแสง หลังปรับตัวเข้ากับแสงสักพัก ค่อยเห็นชัดว่าแสงสีขาวเป็นอะไร
นี่คือปากถ้ำแคบๆ ที่กว้างครึ่งหมี่สูงเท่าคนครึ่ง
ได้ยินเสียงน้ำที่ดังกึกก้องจากนอกถ้ำอย่างเลือนราง
ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้า สัมผัสกับความชื้นที่ส่งมาจากอากาศ
เขาใช้มือข้างหนึ่งจับขอบของปากถ้ำแล้วชะโงกหน้าไปมองดูด้านนอก
ด้านนอกถ้ำคือท้องฟ้าสีคราม ด้านล่างคือหุบเขาลึกที่มีลมหนาวเย็นพัดอยู่
ด้านล่างถ้ำมีกระแสน้ำจำนวนมากไหลออกมาจากถ้ำทรงรังผึ้ง น้ำไหลรวมตัวกันกลายเป็นน้ำตกสีขาว ตกลงไปเป็นระยะทางสามพันฉื่อ ร่วงหล่นไปตามหน้าผา
มองจากความสูงของลู่เซิ่ง เพียงเห็นบึงน้ำที่ก้นหุบเหวมีขนาดเท่าเม็ดงาเท่านั้น ยังเห็นสีน้ำเงินจุดหนึ่งร่วงหล่นเข้าไปในกระแสน้ำได้อย่างเลือนราง
เขาเงยหน้ามอง ไกลออกไปคือที่ราบสีเขียวอมเหลืองอันกว้างใหญ่ ลำธารสีเงินคดเคี้ยวประดับอยู่บนนั้น
“กระโดดลงไปแล้วหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเย็นชา
“ท่านหนีไม่รอดหรอก”
เขากางสองแขนออก ปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นลงไปจากหน้าผาอย่างเป็นอิสระเงียบๆ
ร่างกายสูงใหญ่เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหลอมรวมเป็นหนึ่งกับจุดสีน้ำเงิน
……………………………………….