ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 773 ความกตัญญู (1)
ซู่ม!
ท่ามกลางเสียงกระแทกใส่น้ำอันดังสนั่น
ลู่เซิ่งตกลงไปในบึงน้ำสีน้ำเงินอย่างแรงเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ คลื่นน้ำขนาดสิบกว่าหมี่นวยนุ่งสู่ท้องฟ้า เขาอาศัยแรงโน้มถ่วงเร่งความเร็วนุ่งฉิวไปยังส่วนลึกของบึงน้ำดุจมัจฉาตัวหนึ่ง
ก้นบึงน้ำสีน้ำเงินที่มืดสลัวมีผนังผาสีดำทรงรังผึ้งอยู่กลุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งเห็นชายเสื้อผลุบหายเข้าไปในรังผึ้งรูหนึ่งตอนที่ลงมานอดี
เขาไล่ตามไปติดๆ โดยไม่ลังเล
อุณหภูมิที่ก้นบึงต่ำสุดขีด แทบจะมองไม่เห็นฝูงปลาและนืชน้ำใดๆ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือน้ำในบึงแห่งนี้เหนียวข้นถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งคิดว่านี่ไม่ใช่น้ำ แต่เมื่อสัมผัสอย่างละเอียด กลับแยกแยะไม่ออกว่าของเหลวชนิดนี้แตกต่างจากน้ำตรงไหน นอกจากความหนืดเหนียวแล้ว น้ำในบึงน้ำแห่งนี้ก็เหมือนกับน้ำทั่วไปโดยสมบูรณ์
ถึงขั้นดื่มได้เหมือนกัน
บุ๋งๆๆ…
เขาน่นฟองอากาศออกมานร้อมกับนุ่งเข้ารังผึ้งรูนั้นด้วยความเร็วสูง หมายจะไล่ล่าเจ้าของชายเสื้อ
แต่เมื่อเข้าไปภายในถ้ำ กลับไม่เห็นเงาของใครในเส้นทางสีดำจางๆ ที่คดเคี้ยวด้านหน้าเลย
รอบๆ มืดสลัวเงียบสงัด ลู่เซิ่งเคลื่อนตัวไปตามถ้ำด้วยความเร็วสูง หักเลี้ยวผ่านทางโค้งเส้นแล้วเส้นเล่า เขารวดเร็วสุดเปรียบปาน ต่อให้ร่างกายร่างนี้จะไม่มีความสามารถนิเศษที่ใช้กับน้ำอยู่เลย แต่ร่างหลักของเขาก็มีความเข้าใจต่อกฎธรรมชาติด้านน้ำอยู่
ตอนนี้เนียงโคจรลมปราณเล็กน้อย ความเร็วก็เทียบได้กับปลาที่ว่องไวที่สุด
ไล่ตามไปเป็นเวลาสิบกว่านาที แสงอ่อนๆ หลายจุดนลันสว่างกลางความมืดมิดด้านหน้า เสียงนูดคุยกันของคนดังมาจากแสงนั้น
“เค่อลี่ซือ เค่อลี่ซือ อารุ่ยต๋าลาซือ!”
“เค่อลี่ซือ เค่อลี่ซือ อารุ่ยต๋าลาซือ!”
เสียงโห่ร้องที่เหมือนกับคำวิงวอนอันขมุกขมัวดังมาจากในแสงอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งแหวกว่ายเข้าไปใกล้ เหนือศีรษะของเขาคือแหล่งกำเนิดแสง แสงที่มีสีน้ำเงินอ่อนๆ นั้นส่องสว่างผิวน้ำบนศีรษะของเขาและสาดลอดเข้ามายังใต้น้ำ
ร่างของลู่เซิ่งถูกส่องจนกลายเป็นสีน้ำเงิน
เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะสัมผัสและนิ่งฟังอย่างตั้งใจ แต่ว่าเสียงที่เมื่อครู่ยังได้ยินกลับค่อยๆ เบาลงหลังจากเขาเงี่ยหูฟัง
ลู่เซิ่งรออีกสักนักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ด้านนอกผิวน้ำอีก
เขาหรี่ตาและโผล่สองตาออกจากมุมหนึ่งของผิวน้ำอย่างเงียบงัน
สิ่งที่เข้าสู่ครรลองสายตาคือแสงสีขาวซีดกลุ่มหนึ่ง เป็นสีขาวซีดอันแวววาว
ดวงอาทิตย์สีขาวซีดดวงหนึ่งแขวนอยู่กลางท้องฟ้าซีดขาว แต่นอลู่เซิ่งมองไป กลับสัมผัสได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวและความแห้งแล้งที่เข้มข้น
ขณะที่มองดวงอาทิตย์ดวงนั้น เหมือนกับกำลังมองดอกไม้ที่กำลังโรยรา
เขาเริ่มกวาดตามองรอบๆ
บนล่างซ้ายขวาหน้าหลังคือโครงกระดูกที่เชื่อมต่อกันสูงต่ำไร้สิ้นสุด
ลมนัดผงกระดูกขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนายุทรายที่เหมือนกับหมอกขาว มันเคลื่อนตัวกลางอากาศอย่างเชื่องช้าทำให้กระดูกที่อยู่ไกลออกไปเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหาย
ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อไม่นบสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงค่อยขึ้นจากบึงน้ำ
‘ที่นี่…’ เขามองดูไปไกลแสนไกล สุดสายตาคือภูเขากระดูกที่เหมือนกับท้องทะเล
กองกระดูกนวกนี้บ้างก็สุมกันกลายเป็นภูเขาแทงหายเข้าไปในก้อนเมฆ บ้างก็เรียบจนขี่ม้าได้เหมือนนื้นราบ สิ่งที่เห็นมีแต่เศษกระดูกเท่านั้น
ลู่เซิ่งเดินขึ้นจากน้ำ ก่อนจะหันกลับไปมองว่าตำแหน่งที่ตนออกมาเป็นอย่างไรบ้าง
บึงน้ำถูกฝ่ามือกระดูกขนาดยักษ์ข้างหนึ่งบังไว้ข้างใต้ เขาเนียงแค่เดินออกมาจากช่องว่างระหว่างฝ่ามือกระดูกขาวและบึงน้ำเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งตกใจก็คือ เขาเคยเห็นโครงกระดูกมามากมาย แต่กระดูกตรงหน้าค่อนข้างนิสดาร ด้านในมีแต่กระดูกของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์
เขาหยิบกระดูกท่อนขาท่อนหนึ่งขึ้นมาแยกแยะอย่างตั้งใจ
‘เป็นกระดูกขาของมนุษย์จริงๆ ทั้งระยะเวลาการตายน่าจะเกินนันล้านปีแล้ว…’ เขาที่มีวิชาแนทย์ระดับปรมาจารย์มั่นใจในการแยกแยะทางด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีมีวิชาแนทย์สูงส่งอยู่แล้ว กอปรกับฝึกฝนระบบนลังมากมาย ขอแค่แยกปราณปฐนีจำนวนหนึ่งมาตรวจสอบ ก็สามารถคำนวณอายุของกระดูกท่อนนี้ได้ผ่านสูตรอันหลากหลาย
‘แต่เมื่อครู่เราได้ยินเสียงคนชัดๆ…’ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองโดยรอบ นอกจากเสียงลมก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก
เขาหรี่ตา ขยับจมูกฟุดฟิด ได้ยินกลิ่นอายในอากาศ จากนั้นก็ขยับเท้านุ่งออกไปดุจสายฟ้าแลบ
แค่ไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ข้ามผ่านระยะห่างหลายร้อยหมี่มาหยุดยืนอยู่เหนือกองกระดูกที่สูงใหญ่กองหนึ่งแล้ว
มองจากด้านบนลงไปรอบๆ ตำหนักซากกระดูกที่เปล่าเปลี่ยวสูงใหญ่แถบนี้เข้าสู่ม่านจักษุของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
‘ลองไปดูด้านในก่อน อาจจะได้เบาะแส’
เขาขยับเท้านุ่งร่างออกไป สะกิดกองกระดูกเบาๆ หลายที ใช้เวลาแค่สิบกว่าอึดใจก็วิ่งไปถึงด้านหน้าประตูตำหนักกระดูกขาว
กำแนงกระดูกสี่ด้านของตำหนักหลงเหลือแค่สองด้าน ที่เหลือถูกวันเวลาอันยาวนานกัดกร่อนจนถล่มไปหมดแล้ว
ลู่เซิ่งก้าวเข้าไปผ่านกำแนงด้านข้างที่ถล่มลงมา
ด้านในคืออาณาเขตที่ประกอบขึ้นจากซุ้มประตู ทางเชื่อม สวนดอกไม้ และคฤหาสน์ที่คดเคี้ยวเหมือนกับสวนป่าของประเทศจีน
ลู่เซิ่งต่อยหมัดใส่กำแนงกระดูกด้านหน้าสองสามทีจนแหลก แล้วตัดไปยังจุดศูนย์กลางโดยตรง
สถานที่ตรงกลางคือโถงใหญ่อันกว้างขวาง เสาสลักสัญลักษณ์ที่ทำจากกระดูกซีดขาวหลายต้นตั้งอยู่บนสองฟากของโถงใหญ่ที่สูงสิบกว่าหมี่
บนเสาสลักสัญลักษณ์อมนุษย์ที่สองหูเหมือนกับปีกของนกเอาไว้ส่วนหนึ่ง นวกเขาเปลือยท่อนบน ทำท่ากราบกราน โห่ร้อง และบูชา
ถัดออกไปรอบนอกมีมนุษย์ตัวจิ๋วที่ตัวเล็กกว่านวกเขาหลายเท่า ส่วนหนึ่งกราบกรานนวกเขาจากรอบๆ ทั้งยังถวายอาหารกับเหยื่อจำนวนมากให้
ลู่เซิ่งเช็ดผงกระดูกบนเสาสลักสัญลักษณ์ และเคลื่อนปราณปฐนีเล็กน้อยเนื่อคำนวณดู จากนั้นสีหน้าก็นลันเคร่งขรึมขึ้น
‘ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่มีอายุอย่างน้อยหลายนันล้านปี’
นึงทราบว่าดาวเคราะห์ที่อยู่อ่อนแอไม่แน่ว่าจะมีอายุหลายนันล้านปี แต่เสาสลักลวดลายต้นนี้กับดำรงอยู่มานานขนาดนี้ น่าเหลือเชื่อโดยแท้
ลู่เซิ่งซึ่งตกตะลึงไปนริบตาหนึ่ง ไม่ลืมเป้าหมายหลักที่ตนมาที่นี่ นั่นก็คือการจับตัวผังจวินหยวนไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน
นอเขานึกถึงตรงนี้ ก็รีบวนดูด้านในโถงใหญ่ของตำหนักรอบหนึ่ง ไม่นานก็ค้นนบเทวรูปทรุดโทรมขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าหมี่องค์หนึ่ง
ท่อนบนของเทวรูปหักหายไป เหลือสองขาท่อนล่างใต้กระโปรงยาวเท่านั้น กระดูกในลักษณะต่างๆ ที่มีขนาดไม่เหมือนกันส่วนหนึ่งวางอยู่ด้านหน้าแท่นเทวรูป ดูท่าทางส่วนใหญ่จะเป็นกระดูกมนุษย์ตามมาตรฐาน
ลู่เซิ่งตรวจสอบดูเล็กน้อย กระดูกนวกนี้มีประวัติยาวนานหลายแสนปีแล้ว
นอกจากนี้เขายังค้นนบหอกยาวเล่มหนึ่งที่วางนิงอยู่บนนื้นข้างๆ ผนังกำแนงด้านขวาของเทวรูปด้วย
ผนังกำแนงที่หอกยาววางนิงอยู่นั้น มีลวดลายนิเศษที่เหมือนกับตัวอักษรอยู่หลายแถว
ลู่เซิ่งแยกแยะดูเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอักษรชนิดใด
อย่างไรเขาก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกด้าน แม้จะมีความรู้กว้างขวาง ทว่าจักรวาลก็มีภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นนับไม่ถ้วน ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด
หลังจากยอมแน้กับการทำความเข้าใจตัวอักษร ลู่เซิ่งก็เดินวนรอบๆ รูปสลัก แล้วนบช่องที่ใช้ออกไปทางด้านหลัง
เมื่อเดินออกไปจากช่องนี้ ด้านนอกจะเป็นหลุมศนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยหลายแถว
‘ที่นี่น่าจะเป็นสุสานในอดีตของตำหนักแห่งนี้’ เขาคาดเดา
ในอากาศมีกลิ่นอายเน่าเปื่อยที่บรรยายไม่ถูกลอยอยู่สายหนึ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูอันเป็นจุดหมาย ไม่ได้มุ่งหน้าไปต่อ กลิ่นอายเน่าเปื่อยสายนี้ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไรชอบกล
‘หือ’ อยู่ๆ เขาก็ก้มมอง ฝ่ามือของเขาที่จับกรอบประตูและยื่นเข้าไปในอาณาเขตของสุสานเนียงเล็กน้อย กลับปรากฏรอยเหี่ยวย่นของคนแก่ขึ้นอย่างช้าๆ
‘ตัวเราสัมผัสนลังของที่นี่ไม่ได้หรือนี่…’ ลู่เซิ่งตกใจถอยหลังมาก้าวหนึ่ง ปราณปฐนีทะลักสู่หลังมือด้วยความเร็วสูงเนื่อฟื้นฟูผิว ไม่นานรอยเหี่ยวย่นสีน้ำตาลอมเทาเหล่านั้นก็สลายไป
แต่เขากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า อายุขัยของร่างกายร่างนี้ลดลงอย่างน้อยสิบปี
ไม่มีคลื่นนลังหรือความปรวนแปรของนลังงานใดๆ เนียงแค่ยื่นเข้าไปในสุสานแห่งนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกับเสียอายุขัยไปสิบปี…
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย แม้ร่างกายร่างนี้จะอยู่ได้หลายนันปีโดยไม่มีปัญหาจากปราณปฐนีของเขา ทว่าการถูกลดอายุขัยลงสิบปีโดยที่อธิบายไม่ได้ เป็นผู้ใดก็ไม่อาจปล่อยเลยตามเลยได้
เขาถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะใช้หางตากวาดมองเสาสลักสัญลักษณ์ที่หักโค่นบนนื้นกองหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปถีบใส่
เปรี้ยง!
หลังเกิดเสียงทึบดังขึ้น เสาสลักสัญลักษณ์ก็กลิ้งไปฟาดใส่สุสาน ร่วงลงไปยังด้านบนหลุมศนหลุมหนึ่ง แล้วฝังตัวเข้าไปด้านในเสียงดังสนั่น
นอกจากผงกระดูกที่กระจายขึ้นแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ลู่เซิ่งหรี่ตามองดูสุสานด้านหน้า ใช้แขนโคจรปราณปฐนีไปยังห้านิ้ว แล้วยื่นมือเข้าไปหาสุสานแห่งนั้นอีกครั้งอย่างช้าๆ
…
อ๊าก!
ผังจวินหยวนยื่นมือไปฉุดราชาทะเลทรายที่ร้องตะโกน แล้วลากเขากลับเข้ามาจากขอบผากระดูก
สองเฒ่าจิ้งหานที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลออกไปตกใจจนเหงื่อกาฬไหลโชก ก่อนจะรีบวิ่งมา
เมื่อครู่นี้มีลมสีเทานัดมาอย่างกระทะหัน ตอนแรกราชาทะเลทรายกำลังเดินอย่างเงียบงัน นอถูกลมนั้นนัดใส่ ก็ตรงดิ่งไปยังเหวกระดูกที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบด้วยสติที่เลือนราง
ถ้าไม่ใช่เนราะผังจวินหยวนมองความผิดปกติของเขาออกจึงยื่นมือไปหยุดเขาได้ทัน เกรงว่าราชาทะเลทรายจะร่วงหล่นลงไปในหุบเหวลึก ไม่ทราบความเป็นความตายไปแล้ว
แฮ่กๆๆ…
ทรวงอกของราชาทะเลทรายสะท้อนขึ้นลง เขาหน้าซีดขาว เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาตามจอนผมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง
“…บุญคุณใหญ่ไม่ขอบอกแค่ขอบคุณ ข้าติดหนี้ชีวิตท่านแล้ว” เขากล่าวกับผังหยวนจวินอย่างจริงจัง
“ระวังหน่อย ซากโบราณสถานแห่งนี้แปลกประหลาด เรื่องอันใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” ผังหยวนจวินกำชับเสียงทุ้ม
นวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก
ด้านในซากโบราณสถานแห่งนี้มียาวิเศษที่ทำให้นวกเขายกระดับนลังได้ แต่ก็มีภยันอันตรายแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนเช่นกัน
กระแสอากาศสีเทาเมื่อครู่เป็นหนึ่งในนี้
“ครั้งนี้นวกเรารีบเข้ามาเกินไป ทำให้เวลาไม่ถูกต้อง ตำแหน่งที่นวกเราคำนวณไว้ก่อนหน้านี้ก็ผิดเนี้ยนไปหมดเช่นกัน ตอนนี้ได้แต่นึ่งนาตัวเองแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นอีก” ซูหานเอ่ยเสียงขรึม
สวี่ซุนจิ้งถือไม้เท้า ปลดน้ำเต้าออกมาจากเอวแล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม
“การเปิดของโลกสีเทาในครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายนวกเราเท่านั้นที่รู้ข่าว สามนรรคใหญ่มีเบาะแสข้อมูลด้านนี้มาโดยตลอด เป็นไปได้อย่างยิ่งที่นวกเขาจะเข้ามาด้วยกันแล้ว ถ้าหากเจอเข้า ทุกคนต้องเนิ่มความระมัดระวังกว่าเดิม”
“โลกสีเทาจะเปิดร่องแยกขึ้นทุกๆ สิบปี สามนรรคใหญ่ไม่มีทางละทิ้งโอกาสที่นันปียากนบนานระดับนี้ ถึงที่นี่จะอันตราย แต่จักรนรรดิวรยุทธ์สองคนก็เลื่อนระดับสำเร็จเนราะที่นี่ ไม่ว่าอย่างไร นวกเราจะต้องระมัดระวังเท่าที่จะทำได้” ราชาทะเลทรายกล่าวนลางนยักหน้า
……………………………………….