ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 774 ความกตัญญู (2)
แม้ว่าพวกผังหยวนจวินจะเป็นสมาชิกขององค์กรกึ่งมาร แต่ความจริงคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในองค์กรนี้ก็คือพวกเขา เดิมในกึ่งมารมีผู้นำคนหนึ่ง แต่เขาเจอเหตุเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงครั้งหนึ่ง จึงเหลือเพียงหกจอมมาร
พวกเขาทั้งสี่คนเป็นสี่คนในหกจอมมาร
ปัจจุบันกึ่งมารถูกควบคุมอยู่ในมือของหกจอมมาร พวกเขาห้าคนร่วมมือกัน ส่วนอีกคนอยู่ในระดับสูงสุดของเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุด ลึกลับถึงขีดสุด ปรากฏตัวน้อยครั้ง พวกเขาจึงไม่อาจติดต่อได้
“เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ แผนที่ที่พวกเราชิงมาเมื่อก่อนหน้าก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว…” พอนึกถึงตรงนี้ ผังหยวนจวินก็รู้สึกเกลียดชังคนโรคจิตที่บีบบังคับให้พวกเขาเข้ามาในซากโบราณสถานก่อนกำหนด
“บวกกับพวกเราไม่เคยมาที่นี่มาก่อน จะต้องระวังทุกฝีก้าว” ราชาทะเลทรายเอ่ยเสียงขรึม
ทั้งสี่คนออกห่างจากขอบเหว แล้วเดินตามทะเลกระดูกไร้ขอบเขตไปยังที่ไกลอย่างยากลำบาก
แสงอาทิตย์ขมุกขมัวสาดส่องลงบนร่าง ไม่รู้สึกถึงความร้อนแม้แต่น้อย แต่กลับชวนให้รู้สึกเสียดกระดูกกว่าเดิม
อยู่ๆ ทั้งสี่คนก็เห็นสิ่งก่อสร้างแบบเทวสถานที่ตั้งตระหง่านขึ้นในสถานที่ที่อยู่ห่างออกไป
กำแพงสองด้านรอบเทวสถานถล่มลงแล้ว เหลือกำแพงอีกสองด้านที่ยังคงตั้งอยู่ในสภาพที่มีแต่รูพรุน
“เทวสถานกระดูกขาว…น่าจะมีของดี และอาจจะเจอปัญหาได้เช่นกัน…จะเข้าไปหรือไม่” ซูหานถามเสียงแผ่วต่ำ
“สำรวจดูก่อนว่าด้านในมีอะไรหรือไม่…” ผังหยวนจวินยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นผงกระดูกสายเล็กๆ กระจายขึ้นในเทวสถานที่อยู่ไกลออกไป
เสียงกระแทกทึบหนักดังมา กลับฟังดูว่างโหวงเพราะความกว้างของสภาพแวดล้อมรอบๆ
ถัดจากนั้นเขาก็เห็นบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ซึ่งสักลายดวงตาสีขาวอมเทาไว้บนอก เดินออกจากด้านข้างเทวสถานอย่างช้าๆ
“บัดซบ! เป็นมัน! รีบหนีเร็ว!” ผังหยวนจวินสีหน้าแปรเปลี่ยน หมุนตัวหนีทันที
อีกสามคนที่เหลือเห็นลู่เซิ่งแล้วเช่นกัน ม่านตาพลันหดตัว พากันหมุนตัวพุ่งไปด้านหลังทันที
ลู่เซิ่งที่อยู่ไกลออกไปสัมผัสการเคลื่อนไหวทางด้านนี้ได้แต่แรกแล้ว
มองดูไกลๆ พอเห็นว่าเป็นพวกผังหยวนจวิน เขาก็แสยะยิ้มและไล่ตามไปดุจสายฟ้าฟาด
มองจากด้านบนลงไป สี่คนด้านหน้าช้ากว่าลู่เซิ่งไม่น้อย
ระยะห่างของสองฝ่ายหดสั้นลงด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้
“ไปสถานที่ที่พวกเราเพิ่งเจอมาเมื่อครู่”
ผังหยวนจวินตวาดเสียงเร่งร้อน
อีกสามคนที่เหลือเข้าใจทันที พากันหักเลี้ยวไปยังตำแหน่งที่พวกเขาเจออันตรายมาก่อนหน้านี้
ลู่เซิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลัง เมื่อครู่หลังจากเขาประเมินหลุมศพ และได้รับพลังอาวรณ์มาจากเทวรูปนิดหน่อย ก็สังเกตเห็นแล้วว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่สถานที่แห่งนี้จะมอบประโยชน์ให้ตนเองได้ไม่น้อย ขณะกำลังจะศึกษาอย่างตั้งใจต่อ ก็สัมผัสได้อย่างนึกไม่ถึงว่าด้านนอกจะมีเสียงพูดคุยกัน
รอเขาเดินมาตรวจสอบต้นเสียง ก็พบพวกผังหยวนจวินที่เข้ามาใกล้ทันที
คนสองฝั่งหนึ่งไล่หนึ่งหนีเป็นระยะห่างหลายสิบลี้ในพริบตา รอบๆ เหลือแค่ทะเลกระดูกเท่านั้น
นอกจากนี้ จุดที่แตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือท่ามกลางทะเลกองกระดูกเริ่มปรากฏกระดูกขนาดใหญ่ที่ชี้แทงออกมาบางส่วน
กระดูกพวกนี้ตั้งกระจัดกระจายอยู่ในโลกสีขาวแห่งนี้เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ ทำหน้าที่อะไรสักอย่างหนึ่ง
พวกผังหยวนจวินไปถึงเส้นทางที่เหมือนกับกระดูกซี่โครงและกระดูกทรวงอกในร่างกายคนอย่างรวดเร็ว
กระดูกซี่โครงหลายแท่งโค้งงอจนเกิดเป็นพื้นที่เล็กๆ เหมือนเพดานที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ วัตถุที่เหมือนเยื่อขาวอมเทาจางๆ คลุมอยู่ระหว่างกระดูกซี่โครงทุกท่อน
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือ มีศพแห้งกรังส่วนหนึ่งนอนระเกะระกะอยู่บนพื้น ผิวของศพแห้งกรังเหล่านี้เน่าเปื่อยและแตกระแหง สวมหน้ากากเรียบลื่นเหมือนกับกระเบื้องขาวเอาไว้
หน้ากากเหมือนจะเป็นใบหน้าเด็กที่กำลังยิ้ม ผิวเรียบเนียนไร้ตำหนิ นอกจากรอยจ้ำเล็กน้อย ก็ไม่มีร่องรอยใดๆ อีก
พอพวกผังหยวนจวินเข้าใกล้ที่นี่ ก็เร่งความเร็วพุ่งตัวสุดกำลัง
“เร็วเข้า!” ราชาทะเลทรายวิ่งอยู่ด้านหน้าสุด เฒ่าซูหานที่อยู่หลังสุดจงใจสร้างเสียงฝีเท้าดังตึงตัง
เหล่าศพแห้งกรังที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มขยับตัวท่ามกลางการสั่นสะเทือน
ถัดจากนั้น มอดสีเทาจำนวนมากก็คลานออกมาจากช่องนัยน์ตาของหน้ากากที่แห้งกรังอย่างรวดเร็ว มอดจำนวนมากกว่าพันมากกว่าหมื่นรวมตัวกันจนกลายเป็นเหมือนเมฆสีเทากลุ่มหนึ่ง ขัดขวางลู่เซิ่งที่ตามมาได้พอดิบพอดี
“ตัวบ้าอะไร!” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า สีหน้าอึมครึมลง
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ท้องพองเป็นก้อนกลมและหมุนวนช้าๆ เส้นเลือดและเส้นเอ็นหยาบใหญ่หลายเส้นนูนขึ้นบนก้อนกลมนั้น
อ๊ากซ์!
ลู่เซิ่งร้องคำราม มอดจำนวนมากที่กำลังบินอยู่กลางอากาศถูกกระแทกจนชะงัก แล้วร่วงหล่นลงด้านล่างเหมือนกับห่าฝน จากนั้นผงพิษจำนวนมากก็กระจายออกมา
ลู่เซิ่งดมกลิ่นผงพิษส่วนหนึ่งพลันเวียนศีรษะตาลาย แสดงว่าแม้แต่เขาก็ต้านทานพิษชนิดนี้ไม่ได้
ดีที่พอโคจรปราณปฐพีเล็กน้อย อาการก็ทุเลาลงทันที
ลู่เซิ่งมองมอดสีขาวที่ถูกกระแทกจนตายกลางอากาศ พร้อมกับอุดจมูกโถมตัวเข้าไป ไล่ล่าทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าไม่ยอมลดละ
ร่างกายร่างนี้ของลู่เซิ่งสร้างความต้านทานต่อผงพิษเมื่อครู่ขึ้นด้วยการหล่อเลี้ยงจากปราณปฐพี ในเวลาเพียงสั้นๆ ไม่นานก็สร้างเซลล์ผิวหนังคุ้มกันออกมาได้
ควันพิษผงพิษจำนวนมากพัดผ่านผิวหนังของเขา ไม่นานก็ถูกชั้นเคลือบที่เรียบรื่นและแข็งแกร่งซึ่งเกิดมาใหม่ป้องกันไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ด้านหน้ากลายเป็นปลายทางของถนนกระดูกซี่โครงอย่างรวดเร็ว
ทว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งเห็นทันทีไม่ใช่สี่คนที่กำลังหลบหนี หากแต่เป็นขายาวๆ สีเทามีขนที่สูงใหญ่สี่ข้าง
เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่โถมตัวออกจากถ้ำได้ มอดสีเทาขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าหมี่ตัวหนึ่งกำลังก้มหน้าอ้าปากใหญ่มาทางเขาพอดิบพอดี
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะกระโจนร่างขึ้น หมัดขวาขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วหายไปในพริบตาพร้อมกับระเบิดเสียงที่ดังออกมา
ตูม!
…
หลายวันต่อมา
ณ ส่วนลึกของทะเลกระดูก
ขบวนคนสวมเกราะโลหะงามประณีตขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านกองกระดูกอย่างเชื่องช้ามั่นคง
ขบวนลากรถม้าไปตามเส้นทางกว้างขวางที่คล้ายจะถูกบุกเบิกขึ้นนานแล้วสายหนึ่ง
ผู้ที่เดินนำหน้าสุดคือจอมยุทธ์ร่างสูงใหญ่ซึ่งสวมเสื้อคลุมมังกรดำและเกราะเกล็ดปลาสีทองเข้ม
นอกจากสองคนนี้แล้ว คนที่เหลือล้วนสวมชุดเกราะสีดำและชุดทะมัดทะแมงลายงูหลามดำไว้ด้านใน
ในรถม้าไม่มีคนนั่ง เห็นหีบเก็บสัมภาระหลากหลายรูปแบบที่ปรากฏออกมาตรงมุมหนึ่งได้อย่างเลือนราง
คนกลุ่มนี้คือขบวนพันธมิตรของสองขุมกำลังอันได้แก่พรรคเสมือนมังกร และพรรคทะเลภูผาในสามพรรคใหญ่ของยุทธจักร
พวกเขาสัมผัสกับโลกสีเทามามากกว่ากึ่งมาร ดังนั้นจึงนำขบวนล่วงหน้าเข้ามาในโลกสีเทาก่อนนานแล้ว
ประมุขพรรคเสมือนมังกรเฉินเฉียวโอ่วมั่นใจในการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะครั้งนี้ไม่เพียงร่วมมือกับพรรคทะเลภูผาเท่านั้น ยังมีข้อมูลข่าวสารอันแม่นยำที่พวกเขาได้รับมา เป็นข่าวสารจากของวิเศษเก่าแก่
นอกจากนั้นครั้งนี้พวกเขายังโชคดีเชิญหลิวเฝ่ย จักรพรรดิวรยุทธ์ฉายาห่านป่าทะยานเมฆาในตำนานมาได้อีกด้วย
กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการครั้งไหนก็ไม่มั่นใจเท่าครั้งนี้
เฉินเฉียวโอ่วนึกถึงตรงนี้ก็อดเหลือบมองประมุขพรรคทะเลภูผาเหวินไหวที่อยู่ด้านข้างไม่ได้
เหวินไหวมีสีหน้าสงบนิ่ง โบกพัดเหล็กในมือไปมาเบาๆ ครั้งนี้โชคดีเชิญจักรพรรดิวรยุทธ์มาเข้าร่วมได้ บวกกับพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างพร้อมเสร็จสรรพ มีแผนสำรองนับไม่ถ้วน ความเชื่อมั่นต่อการเดินทางตามหาสมบัติในครั้งนี้ของเขาจึงสูงยิ่งกว่าประมุขพรรคเสมือนมังกรเสียอีก
เมื่อมีจักรพรรดิวรยุทธ์ผู้นั้นอยู่ด้วย อุปสรรคที่จะได้เจอระหว่างทางก็เป็นแค่ของเด็กเล่นเท่านั้น
ขณะคิดอยู่ ไกลออกไปก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากสายลมแผ่วเบา
เหวินไหวยกมือขึ้นหยุดขบวนไว้
ทั้งขบวนเงียบสงัดลง ปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวดกวดขัน
“มีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้! ความเร็วสูงมาก!” เหวินไหวเป็นยอดฝีมือระดับเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุดและประมุขพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า พลังฝึกปรือย่อมไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ ในหมู่พวกเขา นอกจากจักรพรรดิวรยุทธ์ผู้นั้น เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
ต่อให้เป็นเฉินเฉียวโอ่วก็อ่อนแอกว่าเขาขั้นหนึ่ง
พอได้ยินคำพูดของเขา ยอดฝีมือสิบกว่าคนในขบวนก็ผุดสีหน้าเคร่งขรึมทันที
แทบทุกครั้งที่ค้นพบความเคลื่อนไหวในโลกแบบนี้ ล้วนเป็นการคุกคามกับอันตรายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ต่อให้มีจักรพรรดิวรยุทธ์คุ้มครอง ถ้าหากไม่ทันระวัง คนที่ควรตายก็ยังต้องตาย
“แยกแยะจำนวนได้หรือไม่” เฉินเฉียวโอ่วถามเสียงทุ้ม
“สี่ คล้ายจะมีเสียงฝีเท้า อาจเป็นมนุษย์” เหวินไหวขมวดคิ้วขณะกล่าววิเคราะห์อย่างละเอียด
ไม่ให้พวกเขาได้รอนาน ผงกระดูกกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดดังเปรี้ยงจากกองกระดูกทางซ้ายของเส้นทางใหญ่ เงาสี่สายพุ่งออกมา แล้วมุ่งหน้าไปยังทางขวาของเส้นทางใหญ่ด้วยสภาพสะบักสะบอม
แต่เพิ่งจะทิ้งตัวลงพื้น พอผู้มาเห็นขบวนพันธมิตรของสองพรรคใหญ่ก็ส่งเสียงร้องเบาๆ
“มีคน!”
“ผังหยวนจวินแห่งแท่นน้ำค้างคราม!” เหวินไหวจดจำคนหนึ่งในหมู่ผู้มาได้ทันที
“สหายเหวินหรือ!” พอผังหยวนจวินเห็นคนก็พลันยินดี รีบตะโกนว่า “สหายเหวินโปรดช่วยข้าด้วย!”
สามคนที่เหลือพากันหยุดลง พอเห็นว่าเป็นประมุขพรรคจากสองพรรคใหญ่นำขบวน ต่างก็รู้สึกขลาดกลัว
แต่ถัดจากนั้นพวกเขากลับยินดี มียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นี่ จะต้องขัดขวางคนเสียสติที่อยู่ด้านหลังได้แน่!
เหวินไหวหัวเราะเบาๆ “สหายผังสบายดีหรือ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าด้านหลังท่านจะมีสิ่งใด ท่านมาก่อน พวกเราจะคุ้มครองท่านเอง”
เขามีพลังเหนือกว่าพวกผังหยวนจวิน แต่ทัดเทียมกับเฉินเฉียวโอ่ว สองพรรคใหญ่ร่วมมือกันในที่แจ้ง แต่กลับกำลังคุมเชิงกันในที่ลับ
ถ้าหากดึงเจ้าวรยุทธ์สี่คนมาเข้าร่วมได้ จะมีส่วนช่วยต่อขุมกำลังของพรรคเขาอย่างมหาศาล
ที่เหวินไหวมีความมั่นใจนี้ ไม่เพียงแค่เพราะเขามีพลังในระดับเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุดเท่านั้น เป็นเพราะในขบวนมีจักรพรรดิวรยุทธ์ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่ด้วย
เป็นอย่างที่คาด พอเขาพูดแบบนี้ พวกผังหยวนจวินก็รีบเข้าร่วมด้วยความยินดีทันที
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาพวกเขาลำบากไม่น้อย ตั้งแต่มอดยักษ์ในตอนแรก มาถึงผีดิบขนาดใหญ่ ลมดำมีพิษ และรังผึ้งลวงตาในตอนหลัง
พวกเขาใช้วิธีเท่าที่นึกได้ กระตุ้นอุปสรรคมากมายในโลกสีเทาออกมาขัดขวางคนด้านหลังเกือบหมดแล้ว
กระนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือ ช่วงแรกยังขวางคนผู้นั้นไว้ได้ แต่ทว่าภายหลังความเร็วของอีกฝ่ายกลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ เวลาในการขัดขวางก็ยิ่งน้อยลงเช่นกัน
พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมาติดต่อกันหลายวัน อาหารที่พกไว้ก็ใกล้จะหมดแล้ว แถมคนด้านหลังก็บีบคั้นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้เอง พวกเขากลับโชคดีมาพบเหวินไหวเข้า
“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าตั้งใจเชิญผู้อาวุโสหลิวเฝ่ยมาเป็นการเฉพาะ! ถ้าไม่อยู่เหนือความคาดหมาย ผู้อาวุโสน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาออกไปรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการแถวนี้คนเดียว ยังไม่กลับมา” เหวินไหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พอได้ยินฉายาของจักรพรรดิวรยุทธ์หลิวเฝ่ย พวกผังหยวนจวินก็พลันใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
……………………………………….