ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 775 รวมตัว (1)
แม้จะมีเจ้าวรยุทธ์ขั้นสูงสุดสองคนคอยคุ้มกัน แต่พวกเขาก็ยังคงกระสับกระส่ายเล็กน้อยอยู่ดี โดยเฉพาะราชาทะเลทราย ก่อนหน้านี้เขาใช้ทุกความสามารถและทุกวิชาลับกระตุ้นภัยพิบัติสัตว์ประหลาดในโลกสีเทาเพื่อจะกำจัดลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลัง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่า สิ่งที่ตนกระตุ้นนั้นร้ายกาจขนาดไหน
ต่อให้เวลานี้ได้ยินว่ามีจักรพรรดิวรยุทธ์ เขาก็ยังคงใจคอไม่ดีเช่นเดิม
“ข้ารู้สึกว่าพวกเราไม่ควรหยุดอยู่ที่เดิมนานเกินไป” เขาเตือนเบาๆ
“ใต้เท้าราชาทะเลทราย ไม่ทราบคนที่ไล่ล่าพวกท่านเป็นยอดฝีมือระดับใดหรือ มีชื่อเสียงในยุทธภพหรือไม่” เฉินเฉียวโอ่วถามขึ้นด้านข้าง
ท่าทางหวาดผวาของคนทั้งสี่ทำให้เขารู้สึกขบขัน ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของพวกผังหยวนจวินมาก่อน นึกว่าจะเป็นคนรุ่นหลังที่มีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง แต่ดูจากตอนนี้ก็ไม่เท่าไร…
เมื่อมีเจ้าวรยุทธ์อย่างพวกเขาคอยคุ้มกัน กอปรกับผู้อาวุโสหลิ่วเฝ่ยผู้เป็นจักรพรรดิวรยุทธ์ หากบนโลกปัจจุบันยังมีใครเอาชนะขุมกำลังของพวกเขาได้อีก เช่นนั้นก็เป็นเทพนิยายพันหนึ่งราตรีแล้ว
ขนาดมีพลังเช่นนี้อยู่ใกล้ตัวเป็นเครื่องรับประกัน ยังกล้าๆ กลัวๆ เช่นนี้อีก ดูเหมือนจะเป็นพวก บ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอแค่มันกล้ามา เช่นนั้นก็ให้มันมาแล้วจะไม่มีทางกลับไปได้อีก” เหวินไหวสะบัดพัดแผ่วเบาอย่างสบายอารมณ์ขณะยิ้มจาง
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นกองกระดูกทางฝั่งขวามือก็ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น เงาคนสูงใหญ่กำยำสายหนึ่งเดินออกมาจากกลางผงกระดูกสีเทาผืนใหญ่มุ่งหน้าเข้าหาทุกคน
ขบวนทั้งหมดพลันหยุดนิ่ง เข้าสู่สภาวะระวังภัยอย่างรวดเร็ว
เหวินไหวกับเฉินเฉียวโอ่วเพ่งมองผงกระดูกพร้อมกัน สองคนที่อยู่ไกลลิบ เห็นเงาคนสายนั้นหยุดลง สายตาตกลงบนตัวพวกผังหยวนจวินก่อน จากนั้นค่อยสังเกตเห็นด้านนี้ จึงเขยิบเข้ามาใกล้และมองตนเอง
เหวินไหวหัวเราะ ขณะกำลังจะเอ่ยปาก
ฟ้าว…
ลมร้อนสายหนึ่งพัดออกจากด้านข้างคนผู้นั้น เหมือนกับภูตแห่งพายุลอยเวียนวน มีกระแสอากาศที่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งหมุนวนรอบคนผู้นั้น
ซู่…
ลมอ่อนที่ร้อนระอุเล็กน้อยพัดมาจากทางด้านคนผู้นั้นอีกครั้ง พริบตาเดียวก็เป่าผงกระดูกรอบๆ ออกไป มองดูจากที่ไกล อากาศรอบตัวคนผู้นั้นเหมือนกำลังบิดเบี้ยว เหมือนกับอากาศโปร่งแสงที่ถูกบิดเบี้ยวเหนือเปลวเพลิง
ความเยือกเย็นบนใบหน้าเหวินไหวค่อยๆ เลือนหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความเคร่งขรึมและตื่นตระหนก
“นี่…นี่มัน…เตาหลอม…จักรพรรดิวรยุทธ์…!”
“ยังไม่สิ้นหวังอีกหรือ” เสียงของลู่เซิ่งดังมาไกลๆ “ยอมแพ้เสียเถอะ…ไม่ว่าท่านจะหนีไปไหน ก็หนีไม่พ้นความกตัญญูของลูกชายท่านหรอก! หรือจะต้องให้ข้าสังหารสหายท่านจนหมดสิ้นแล้วหักกระดูกท่านทั้งตัว ท่านถึงจะยอมตามข้ากลับบ้านดีๆ” น้ำเสียงเย็นเยียบอำมหิตของลู่เซิ่งทำให้พวกเหวินไหวหวาดกลัวกว่าเดิม
ผงกระดูกกระจัดกระจายตามลม กระแสอากาศร้อนจนเกือบจะลวก แต่ความเย็นเยียบกับเงามืดในใจ ผังหยวนจวินกลับแผ่ขยายอย่างรวดเร็วราวกับหมึกดำหยดลงไปในน้ำใส
เขาพลันเข้าใจความคิดของลู่เซิ่ง
ความจริงอีกฝ่ายไล่ตามเขาทันได้ตั้งแต่แรก เพียงแต่ที่ปล่อยมานานขนาดนี้ก็เพื่อทำให้เขาสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงเท่านั้น
ทำให้เขาต้องคิดหาวิธีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหมดหนทาง ก่อนจะทำได้เพียงละทิ้งทุกสิ่งและกลับบ้านพร้อมกับอีกฝ่าย
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เจ้าหมอนี่ ตอนนี้เขาสมควรอยู่ในงานเลี้ยงฉลองหลังจากทำลายคฤหาสน์ตระกูลเฟิงสำเร็จ ไม่ใช่มาเผ่นหนีไปทั่วเหมือนสุนัขไร้เจ้าของเช่นนี้!
“อ๊าก!” ยิ่งคิดยิ่งแค้น ผังหยวนจวินพลันตะโกน “มีปัญญาก็ฆ่าข้าสิ!”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ผังหยวนจวินกับถังชิงชิง คนหนึ่งมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ทะเยอทะยานจะปกครองยุทธจักร อีกคนฝึกลืมรักสูงส่ง มองโลกเหมือนกับเรื่องไม่จีรัง
หากไม่ใช้วิธีการผิดปกติ ก็ไม่อาจสะสางผลกรรมได้
เขาไล่ล่าอย่างไม่เร็วไม่ช้า ประการหนึ่งเป็นเพราะต้องการเวลาทำให้ร่างกายยกระดับพลังมากกว่าเดิม อีกประการเพื่อทำให้ผังหยวนจวินสิ้นหวังและตามตนกลับไปด้วยจิตใจพังทลายเหมือนกับที่อีกฝ่ายคิด
“สหายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านกับสหายผังมีความเข้าใจผิดอะไรกันแน่ ข้าคือเหวินไหว สหายในยุทธจักรตั้งฉายาให้ว่าหัตถ์เหล็กภูผาขาว ถ้าหากสหายยังไม่ยอมแพ้ เหตุใดไม่เห็นแก่หน้าข้าสักหน่อย ทุกคนนั่งลงคุยกันดีๆ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด ดื่มสุราพลางคุยพลางเป็นเรื่องน่ายินดีจะตายไม่ใช่หรือ” หัวสมองของเหวินไหวทำงานเร็วจี๋ เปลือกนอกค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดอย่างติดขัดเล็กน้อย
ลู่เซิ่งกวาดตามองทั้งขบวน เขาไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว มาเจอคนกลุ่มนี้เข้าพอดี อาจจะหาของกินของดื่มจากพวกเขา ขณะเดียวกันก็ทำความเข้าใจว่าที่นี่คือที่ไหนได้พอดี
เพียงแต่ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ถ้าหากว่าผังหยวนจวินต้องหนี อาจจะไม่มีเวลาทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปยังร่างผังหยวนจวินอย่างเชื่องช้า
“ข้ามีแค่คำขอเดียว ให้ผังหยวนจวินตามข้ากลับไป” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม
เหวินไหวหนังหน้ากระตุก อ้าปากคิดพูดบางอย่าง กลับถูกราชาทะเลทรายด้านข้างตัดบท
“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นลูกของสหายผัง มีหลักฐานหรือไม่! ตามที่ข้ารู้ สหายผังมีลูกชายคนเดียวที่อยู่ในแท่นบูชาย่อยน้ำค้างครามมาโดยตลอด ชื่อว่าผังซือเฉิง”
“ข้าคือผังซือเฉิง!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“แต่ปีนี้ผังซือเฉิงเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ!” ราชาทะเลทรายกล่าวเสียงเฉียบขาด
“ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าข้าสิบเอ็ดขวบ!” ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นชา
คนทั้งกลุ่มงุนงง ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ผังหยวนจวินอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ถ้าเจ้าคือซือเฉิงจริง ยังจำเรื่องที่เกิดกับเจ้าตอนเจ้าเจ็ดขวบได้หรือไม่! เรื่องที่ทำให้เจ้าอ้วนขึ้นเรื่อยๆ นั่นไง!”
ลู่เซิ่งงงงันเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกหาเรื่องราวทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเจ็ดขวบจากในความทรงจำ
ครู่ต่อมา เขาก็ขมวดคิ้ว
“ตอนเจ็ดขวบไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!”
ผังหยวนจวินตั้งใจจะหลอกเขา แต่พอได้ยินเช่นนั้นก็ลนลานกว่าเดิม
นี่คงไม่ใช่เด็กน้อยซือเฉิงจริงๆ หรอกกระมัง
เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เช่นนั้นเจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นในปีก่อนตอนเจ้าออกไปอาบน้ำได้หรือไม่” ผังหยวนจวินถามหยั่งเชิงด้วยความลังเล
ลู่เซิ่งจำได้ทันที
“แน่นอน ตอนนั้นข้าอ้วนมาก กลิ้งตกออกจากถังน้ำตอนอาบน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ขยับตัวไม่ได้อีกเลย ตั้งแต่นั่นมาข้าต้องให้คนช่วยประคองเวลาจะพลิกตัว”
ผังหยวนจวินได้ยินคำตอบนี้ก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่
คนผู้นี้เป็นผังซือเฉิงเจ้าลูกอ้วนที่ไม่เอาอ่าวคนนั้นจริงๆ หรือ
ครั้งนี้ผู้มุงดูคนอื่นเข้าใจแล้ว คนผู้นี้เกรงว่าจะเป็นลูกของผังหยวนจวินจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เดิมทีผังหยวนจวินนึกว่าเป็นคนโรคจิตที่ไหนโผล่มาหาเรื่องตัวเอง แต่ตอนนี้พอพิสูจน์ได้ว่าเป็นลูกชายของเขา ความคิดของเขาก็เริ่มทำงาน
“ถ้าเจ้าเป็นซือเฉิงจริง ข้าดีกับเจ้ามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถ้าเจ้าคิดจะตอบแทนข้า เช่นนั้นหากเจ้าช่วยหาผลประโยชน์จากโลกสีเทานี้ให้ข้าได้ ข้าก็จะไม่เอาเรื่องที่เจ้าไล่ล่าและทำลายแผนการใหญ่ของข้า”
ครั้นผังหยวนจวินยืนยันได้ว่าเป็นลูกชายของตัวเอง ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฆ่าตน จึงโล่งอกอย่างรวดเร็ว กลับเริ่มใคร่ครวญว่าจะใช้พลังยุทธ์สุดแกร่งของ ‘ลูกชาย’ มาหาผลประโยชน์ในโลกสีเทาอย่างไรดี
ลู่เซิ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ผังหยวนจวินผู้นี้กลัวตนเองแทบตาย ตอนนี้กลับผ่อนคลายลง
“ข้าช่วยท่านได้จริงๆ แต่นั่นมีแต่จะทำร้ายท่าน” ลู่เซิ่งถอนใจยาว “ชื่อเสียงเงินทองเป็นของไม่จีรัง ท่านพ่อตามข้ากลับบ้านเถอะ”
“ข้าไม่ไป! มีปัญญาก็ฆ่าข้าสิ!” ผังหยวนจวินแค่นเสียง
“เช่นนั่นท่านก็ไปตายเสียเถิด!” เสียงเพิ่งจะขาดลง ร่างของลู่เซิ่งก็หายไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน กระแสความร้อนอันเกรี้ยวกราดพุ่งตามหลังเขามาด้วยความเร็วสูง
แทบจะเป็นในพริบตาเดียว ผังหยวนจวินรู้สึกว่าตนเองออกจากโลกสีเทาที่เย็นเยียบเสียดกระดูกเข้ามายังทะเลทรายหน้าร้อนที่ร้อนแรงแผดเผา
ผิวหนังเหมือนกับมีทรายที่ร้อนลวกเกาะอยู่ ไม่อาจสลัดออกได้
เขาคิดจะสูดหายใจ แต่อากาศที่สูดเข้าไปร้อนระอุนัก ความรู้สึกแสบร้อนส่งมาจากส่วนปอด
“ช่วย…!” ผังหยวนจวินเพิ่งส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้คำเดียว ก็รู้สึกว่าคอเสื้อถูกเหนี่ยวรั้ง ทรวงอกถูกแรงสายหนึ่งทุบใส่ พลังที่กระตุ้นขึ้นทั่วร่างพลันคลายหลวมทันที
พวกเหวินไหวลงมือพร้อมกัน ระดมกระบวนท่ามากมายที่เหมือนกับอัสนีบาตใส่ลู่เซิ่งจากหลายทิศทาง
ตอนนี้ลู่เซิ่งจับคอเสื้อผังหยวนจวินไว้ และใช้ฝ่ามือทำลายพลังกายที่เขากระตุ้นขึ้นบนร่าง
กระบวนท่าสังหารมากมายโจมตีมาจากรอบๆ เขาไม่หวั่นไหว เพียงแค่นเสียงครั้งหนึ่งแล้วกวาดแขนซ้ายข้าง ที่ว่างออกเป็นวง ก้อนกล้ามเนื้อนูนขึ้นบนแขนท่อนปลาย แยกกันปะทะกระบวนท่ามากมายที่โจมตีมา
เปรี้ยงๆๆ!
ท่ามกลางเสียงกระแทกเร่งร้อน เหวินไหวหน้าแดงและกระอักเลือดเป็นคนแรก ก่อนจะก้าวถอยหลังหลายก้าว ต่อมาจึงเป็นพวกเฉินเฉียวโอ่วกับราชาทะเลทรายที่เลือดกระฉูด ต่างก็ได้รับบาดเจ็บในทันทีที่ปะทะ
ทั้งห้าต่างผุดสีหน้าตกตะลึง ยังไม่ทันพูดอะไร ก็เห็นลู่เซิ่งที่หิ้วคนกระโดดขึ้นสูงเจ็ดแปดหมี่ แล้วพุ่งไปยังที่ไกล
ในเวลานี้เองก็มีเงาสีเทาสายหนึ่งกระโจนขึ้นท้องฟ้าจากที่ไกล แล้วผลักฝ่ามือใส่ข้างลำตัวลู่เซิ่ง
“ฝ่ามือสุญญตาสองลักษณ์!”
กระบวนท่านี้เร็วมากในตอนเริ่มต้น แต่ยิ่งเข้าใกล้ลู่เซิ่งก็ยิ่งช้าลง
ความช้าดูเหมือนช้า ทว่าความจริงมีพละกำลังมหาศาลไร้รูปร่างเหนี่ยวอากาศรอบๆ ไว้ ทำให้ลู่เซิ่งไม่อาจหลบพ้น ถูกแรงฉุดกระชากที่เหมือนกับวังวนลากเข้าไปจนหลบไม่ได้
เขาตั้งฝ่ามือซ้ายขึ้นด้วยความรีบเร่ง แล้วใช้วิชาหมัดทำลายล้างพริบตาออกไป
เปรี้ยง!
ทั้งสองกระเด็นออกไปพร้อมกัน ลู่เซิ่งที่หิ้วคนอยู่แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวโฉบไปยังที่ไกลต่อ
เงาอีกสายหนึ่งทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็ว เป็นชายชราร่างเตี้ยคนหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ชายชรากำลังมองรอยฝ่ามือบนหน้าอกของตนเองด้วยความงุนงงสับสน
“ข้าป้องกันไว้ได้แล้วแท้ๆ…” เขาพึมพำ เลือดสายหนึ่งซึมออกจากปาก ก่อนจะหงายล้มไป
“ผู้อาวุโส!”
“ผู้อาวุโสหลิวเฝ่ย!”
เหวินไหวพลันตกใจ รีบพุ่งเข้าไปประคองชายชรา
ลู่เซิ่งที่หิ้วผังหยวนจวินไว้มุ่งกลับไปยังทิศทางเดิม ผังหยวนจวินที่อยู่ในมือเขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงผุดสีหน้าเหยเกถึงขีดสุด
“ถ้าเจ้าเป็นซือเฉิงจริงๆ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้าขัดต่อหลักฟ้าดิน!” ผ่านไปสักพัก ผังหยวนจวินค่อยกล่าวเสียงเฉียบขาด
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจเขา ในเมื่อจับคนมาได้แล้ว เช่นนั้นก็กลับไปยังเมืองน้ำค้างครามเพื่อให้เขาไปพบกับถังชิงชิงก่อน
……………………………………….