ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 777 เบาะแส (1)
แกนกระดูกผลึก
หลังจากลู่เซิ่งได้รู้จักของประหลาดชิ้นนี้จากปากของผังหยวนจวินผู้เป็นบิดา เขาก็เตรียมการมุ่งหน้าไปยังโลกสีเทาทันที
หากบอกว่าตอนแรกเริ่มเขามีความคิดว่าไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ แต่หลังจากได้รู้จักแกนกระดูกผลึกแล้ว เขาก็สนใจโลกสีเทามากกว่าเดิมไม่น้อย กอรปกับโลกสีเทามีความต่างของเวลา ทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าโลกสีเทาเป็นของโลกใบนี้หรือไม่
ในการจุติสู่โลกต่างๆ ที่ผ่านมา มีแต่โลกที่แตกต่างและมิติเวลาที่แตกต่างเท่านั้นถึงจะปรากฏสถานการณ์ที่ความเร็วของเวลาผิดปกติแบบนี้
เวลาและปริภูมิมักจะดำรงอยู่ร่วมกันในจักรวาลปกติ การเปลี่ยนแปลงของปริภูมิจะทำให้เวลาเกิดการบิดเบี้ยว
หลังจากเตรียมตัวเป็นเวลาสามวันกว่าๆ เพื่อป้องกันการปิดตัวลงของโลกสีเทา ลู่เซิ่งได้เข้าไปในโพรงถ้ำอันเป็นซากโบราณสถานที่องค์กรกึ่งมารบันทึกไว้อีกครั้ง แล้วมุ่งสู่โลกสีเทาเป็นครั้งที่สอง
ฟ้าว!
ลู่เซิ่งกระโดดลงจากปากถ้ำเป็นครั้งที่สองมองไกลออกไปจากกลางอากาศ
ก่อนที่จะเข้าไปในบึงน้ำ รอบข้างมีพื้นราบกว้างขวางผืนใหญ่ พื้นราบเหล่านี้เหมือนจะไม่ใช่ของโลกใบนี้ หากแต่เป็นการข้ามสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลามีจำกัด เขาก็อยากจะไปค้นหาโลกรอบๆ ที่ตั้งอยู่บนผืนราบแห่งนั้นซะก่อน
เปรี้ยง!
พลันร่างตกลงไปในน้ำเย็นเยียบเสียดกระดูก ลู่เซิ่งปล่อยไอร้อนออกมาทั่วร่าง นี่คือพลังความร้อนอันน่ากลัวที่กระจายออกโดยธรรมชาติตามการเต้นของหัวใจที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปรานหลังจากเลื่อนเป็นจักรพรรดิวรยุทธ์
หากตอนนี้เขาไม่จงใจเก็บพลัง ก็จะเป็นสัตว์ประหลาดที่มีความร้อนและเลือดลมอันมหาศาลกระจายออกมา
นี่คือขอบเขตสูงสุดหรือก็คือจักรพรรดิวรยุทธ์บนโลกใบนี้
เขาไม่เพียงแต่กระจายกลิ่นอายน่ากลัวสายนี้ออกมาเท่านั้น ทั้งยังควบคุมกระแสอากาศกับไอร้อนที่กระจายออกมาจากรูขุมขนเหล่านี้ได้ดั่งใจนึกด้วย
ลู่เซิ่งว่ายท่ามกลางฟองอากาศที่เดือดพล่านเข้าไปยังทางเชื่อมที่เหมือนกับรังผึ้งใต้น้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หลังจากแหวกว่ายไปตามเส้นทางได้สองสามนาที เขาก็พลันเร่งความเร็วขึ้น
ไม่นานก็เกิดเสียงน้ำกระจายดังซ่า เขากระโดดออกจากบึงน้ำ แล้วเหยียบย่ำลงบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบาสองสามก้าว ก่อนจะยืมแรงไปหยุดยืนข้างบึงน้ำ
‘สภาพยังเหมือนเดิม…’ ลู่เซิ่งเหลียวมองโดยรอบก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากกระดูกขาวโพลน
ลมเย็นเสียดกระดูกพัดมาจากบริเวณรอบข้างอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น
ความร้อนพลุ่งพล่านบนร่างลู่เซิ่ง ไม่นานก็ระเหยไอน้ำสีขาวกลุ่มใหญ่ออกมาจากเสื้อผ้า
หลังจากระเหยเสื้อผ้าจนแห้ง เขาไม่ได้ไปตามทิศทางเมื่อก่อนหน้า หากแต่วิ่งเต็มฝีเท้าไปยังอีกทางหนึ่ง
เสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังตึง ตัง กระทืบหลุมลึกน่ากลัวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางอลังการขึ้นมาบนพื้นหลายหลุม
ลู่เซิ่งสวมเสื้อคลุมเนื้อแข็งตัวใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับครั้งนี้โดยเฉพาะ หลังจากกระโดดขึ้น เขาก็จับชายเสื้อคลุม แล้วร่อนไปด้านหน้าเหมือนกับเครื่องร่อนเป็นระยะทางหนึ่ง
นี่เป็นอุปกรณ์อย่างง่ายที่ลู่เซ่งประดิษฐ์ขึ้นตามหลักการของเครื่องร่อนบนโลกใบเดิม
มันช่วยประหยัดแรงให้เขาไปไม่น้อย
เดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเป็นระยะทางราวสองสามร้อยกงหลี่ กระทั่งไปถึงทะเลกระดูกที่แห้งกรัง ในที่สุดก็ เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น
พายุสีเทากลุ่มใหญ่มากมายโผล่ขึ้นกลางอากาศโดยรอบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
พอลู่เซิ่งเข้าไปในพายุกลุ่มนี้ ก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีผงพิษที่ทำให้คนเห็นภาพหลอนและสลบไสลแทรกตัวอยู่ด้านใน
“พายุพิษหรือ” เขาอดเร่งความเร็วขึ้นไม่ได้ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จคงตัดผ่านกระแสอากาศสีเทากลุ่มนี้ไปได้
เดินทางอย่างเบื่อหน่ายอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า ลู่เซิ่งวางแผนว่าหากไม่เจออะไรที่มีค่าอีก จะเตรียมติดตั้งค่ายกลกลับโลกมารสวรรค์
การอยู่ที่นี่เป็นการเสียเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย
โผละ!
อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงโผละดังมาจากกองกระดูกกลุ่มใหญ่ เสียงนี้ฟังดูเหมือนกับผ้าห่มผืนหนาถูกกระแทกกับพื้นโคลนแข็ง
ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว แสงจากดวงอาทิตย์ซีดขาวยามบ่ายก็มืดสลัวลงเช่นกัน
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินทางต่อไป อุตส่าห์เจอการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งที ย่อมต้องเร่งรุดไปดูเสียหน่อย
หลังจากข้ามเนินกระดูกผืนหนึ่งไป เขาก็ได้เห็นอย่างรวดเร็วว่า เสียงประหลาดที่ดังโผละๆ นั้นลอยมาจากไหน
ด้านหน้าเขามีภูเขากระดูกสูงใหญ่ที่มีหมอกสีขาวอมเทาลอยวนเวียนอยู่กลุ่มหนึ่ง
แมลงวันขนาดยักษ์นับไม่ถ้วนเกาะบนภูเขา พวกมันยาวหลายหมี่ ตัวที่ยาวที่สุดยาวถึงสิบกว่าหมี่
พวกมันกระพือปีกช้าๆ เบียดเสียดกันกลายเป็นก้อนบนภูเขากระดูก
มองดูไกลๆ ภูเขากระดูกเหมือนกับมีแมลงวันเกาะอยู่เต็มไปหมด
ผงพิษจำนวนมากกระจายออกมาจากร่างของแมลงวันเหล่านี้ตลอดเวลา ผงพิษฟุ้งกระจายออกมา แล้วถูกกระแสอากาศสีเทาที่ผ่านทางมาพัดม้วนไป
‘พิษในสายลมก่อนหน้านี้คงมีที่มาแบบนี้ล่ะมั้ง’ ลู่เซิ่งเข้าใกล้อีกนิด ไม่นานก็ค้นพบเบื้องหลังของภูเขากระดูกลูกนี้
ภูเขากระดูกข้างใต้แมลงวันเหล่านี้ไม่ใช่กระดูกธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นกระดูกของยักษ์ที่แปลกประหลาดในสภาพสมบูรณ์ที่มีหางมากมายงอกบนหัว
ยักษ์ตัวนี้กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น หัวก้มลง ตรงท้ายทอยมีรยางค์ติดอยู่อย่างหนาแน่นเหมือนกับหนวดปลาหมึก ระหว่างกระดูกบนตัวมีเยื่อบางๆ สีขาวอมเทาเชื่อมติดอยู่
ลู่เซิ่งเข้าใกล้ขึ้นอีก อยู่ๆ แมลงวันส่วนหนึ่งพลันตื่นตัว กระพือปีกบินขึ้น
พอพวกมันบินขึ้น ลู่เซิ่งค่อยเห็นชัดว่า ส่วนท้องของแมลงวันทุกตัวมีรังไหมขนาดใหญ่สีขาวอมเทาพันอยู่ มนุษย์ที่มีขนาดตัวต่างกันจำนวนมากขดตัวอยู่ด้านใน
รังไหมเหล่านี้ถูกเส้นสายที่เหมือนกับใยแมงมุมพันติดไว้กับส่วนท้องของแมลงวัน คนทุกคนในรังไหมทำหน้า ทำตาเจ็บปวดพิกล
แมลงวันมีมากมายชนิดมืดฟ้ามัวดิน แทบจะบดบังแสงบนท้องฟ้าไว้มิดขณะบินเข้าหาลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งพลิกมือหยิบกระดูกหลายท่อนบนพื้นขึ้นมา แล้วระเบิดพลังกล้ามเนื้อทั่วร่างอย่างฉับพลัน กระดูกในมือหมุนควงออกไปดังฟ้าว
โผละๆๆ!
กระดูกหลายท่อนเจาะทะลุแมลงวันยักษ์สามตัว ทำให้พวกมันกลายเป็นเนื้อสับกลุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งกระทืบเท้าใส่พื้นอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เศษกระดูกจำนวนมากถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกให้ลอยขึ้นมา จากนั้นลู่เซิ่งต่อยใส่กระดูก ชิ้นส่วนพลันกระจัดกระจาย
เศษกระดูกพุ่งใส่แมลงวันบนท้องฟ้าราวกับห่าฝนอาวุธลับ ฆ่าล้างพวกมันไปมากมาย
ของสีขาวอมเทาจำนวนมากกระจายลงมาดุจห่าฝน กัดกร่อนกระดูกด้านล่างเป็นรูขนาดต่างๆ
ลู่เซิ่งฆ่าแมลงวันกลุ่มใหญ่ทั่วท้องฟ้าโดยใช้วิธีเดิมสามครั้ง
เขาหลบเลี่ยงอากาศที่มีผงพิษ กระโดดขึ้น แล้วยืมแรงตรงช่องว่าง ไม่นานก็ไปถึงบนภูเขากระดูกสูงใหญ่ที่เดิมมีแมลงวันเกาะอยู่เต็มไปหมดลูกนั้น
ลู่เซิ่งกระทืบเท้า พื้นส่งเสียงทึบหนักราวกับจับต้องได้
‘ภูเขากระดูกลูกนี่ทนทานดีจริงๆ’
เดินขึ้นภูเขากระดูกได้สองสามก้าว ไม่นานลู่เซิ่งก็ค้นพบโลหะก้อนหนึ่งที่ลักษณะเหมือนกับหีบอยู่บนส่วนยอดสุด
รอยสนิมจากการกัดกร่อนกระจายเต็มผิวหีบ ตรงปากหีบสลักลายมนุษย์มีปีกทำมาจากเงิน มองไปมาเหมือนกับนักโทษที่ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส ร้อยโซ่ตรวนประดับหัวกะโหลกไว้บนตัว
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนหีบ เงยหน้ามองรอบข้างยังคงมีทะเลกระดูกเปล่าเปลี่ยวไร้สิ้นสุด
‘คงค้นหาที่นี่ให้เสร็จในเวลาสั้นๆ ไม่ได้…น่าเสียดาย’ เหลือเวลาไม่มาก เขาเสียเวลาอยู่ที่นี่มานานแล้ว ในเมื่อตอนนี้หาพลังอาวรณ์ไม่เจอและสะสางผลกรรมความปรารถนาเสร็จแล้ว เขาก็ควรกางค่ายกลย้อนกลับสักที อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับขอบหีบก่อนจะออกแรงกระชาก
โครม
ฝาหีบถูกดึงเปิด เผยให้เห็นสิ่งของข้างใน
ตรีศูลสีโลหะงามประณีตเล่มหนึ่งวางอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำ
ตรีศูลเล่มนี้ยาวเท่ากับมีดสั้นหรือไม่ก็หนามสั้นๆ มากกว่า ขนาดเท่าฝ่ามือ ฝังเศษเพชร ทับทิม และไพลินเอาไว้เต็มด้ามจับ ดูระยิบระยับพร้อมทั้งขี้เหร่ไม่น่าดูในเวลาเดียวกัน
ส่วนอื่นๆ เช่นส่วนคมสลักลวดลายที่เหมือนกับเถาวัลย์อันประณีตไว้ เพิ่มความลึกลับให้กับอาวุธชิ้นนี้ไม่น้อย
‘ด้านล่างเหมือนจะมีของอยู่อีก’ ลู่เซิ่งหยิบตรีศูลขึ้นมาสัมผัสดู นี่เป็นเพียงอาวุธธรรมดาเล่มหนึ่ง บางทีในอดีตอาจจะมีร่องรอยพลังงานพิเศษอ่อนๆ เหลืออยู่ แต่ตอนนี้ด้วยวันเวลาอันยาวนานทำให้มันสูญเสียอานุภาพดั้งเดิมจนกลายเป็นอาวุธที่ธรรมดาสามัญถึงขีดสุดชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบผ้ากำมะหยี่สีดำออกมาจากในหีบ พลันเห็นสมุดเล่มเล็กที่ถูกบังอยู่ข้างใต้
เขาเอื้อมมือไปหยิบสมุดขึ้นมา สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสมุดเล่มนี้ไม่ได้เย็บจากกระดาษ เหมือนจะใช้หนังของสิ่งมีชีวิตบางชนิดทำขึ้นมากกว่า
กระดาษอ่อนนุ่มเรียบลื่น ให้ความรู้สึกเหนียวหนึบหนับเหมือนกระดาษหนัง
บนกระดาษเขียนอักขระตัวอักษรเหมือนลายมือไก่เขี่ยไว้มากมาย ลู่เซิ่งอ่านไม่ออกสักนิดเดียว จึงโยนมันเข้าไปเก็บในไข่มุกกลืนสมุทรก่อน หลังจากกลับไปโลกมารสวรรค์ หากมีเวลาว่างค่อยเอามาแปลดู
หีบว่างเปล่าแล้ว และเขาก็ไม่มีอารมณ์จะผลาญเวลาอยู่ที่นี่อีก
เขาจึงหยิบวัตถุดิบค่ายกลออกมาจากไข่มุกกลืนสมุทร แล้วเริ่มกางค่ายกลอย่างง่ายเหนือยอดภูเขากระดูกลูกนี้
ผลึกสีดำหลายแท่งปักลึกเข้าไปในผิวภูเขากระดูกอย่างต่อเนื่องตามการเคลื่อนไหวของลู่เซิ่ง ไม่นานก็ประกอบกันเป็นค่ายกลลวงตาง่ายๆ
เมื่อมีการอำพรางจากค่ายกลคอยปกป้อง เขาจึงค่อยวาดค่ายกลย้อนกลับที่แท้จริง
ค่ายกลสำหรับย้อนกลับถูกแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนจำนวนมากภายใต้การพัฒนาของบันไซ เขาเพียงจำเป็นต้องวาดชิ้นส่วนพวกนี้เป็นลวดลายก็พอ
มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัว
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ลู่เซิ่งให้ความสำคัญกับบันไซเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ค่ายกลถูกติดตั้งจนเสร็จ ลู่เซิ่งปักผลึกสีดำแท่งหนึ่งลงพื้นเป็นชิ้นสุดท้าย เพื่อประกอบแหล่งป้อนพลังงานแหล่งสุดท้ายให้แก่ค่ายกล
ต่อมาเขาก็ค่อยถอนใจและตรวจสอบโดยรอบอีกครั้ง
ตอนนี้ศพแมลงวันที่เขาฆ่าไปเมื่อครู่ถูกตาข่ายสีขาวอมเทาปกคลุมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ตาข่ายเหล่านี้กลายเป็นสิ่งของที่เหมือนกับเยื่อกั้นคลุมศพเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ลู่เซิ่งถึงสัมผัสได้ว่าศพเหล่านี้เหมือนจะหดเล็กลงส่วนหนึ่ง
‘เหมือนกำลังจะจางหายไป…’ เขาอดนึกเชื่อมโยงถึงห้วงอเวจีไม่ได้ ร่างชีวิตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจะทำให้ชีวิตที่ตายอยู่ในร่างตัวเองหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
‘ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปสนใจ’
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกล เขาทิ้งแผนสำรองไว้ที่แท่นน้ำค้างครามแล้ว ต่อให้ไม่อยู่ เหล่าบริวารที่ได้รับอิทธิพลจากเสน่ห์ของเขาก็จะปกป้องผังหยวนจวินกับถังชิงชิงสุดกำลังต่อไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่เขายังเพิ่มแผนการลับไว้อีกมากมาย ขอแค่แท่นน้ำค้างครามไม่เกิดปัญหา พวกมันก็จะไม่ทำงาน
ก่อนที่จะเข้าสู่โลกสีเทา เขาสัมผัสได้อย่างประหลาดใจว่าในท้องของถังชิงชิงมีกลิ่นอายชีวิตใหม่ จากการประเมินขั้นต้น เป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝาแฝด
……………………………………….