ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 779 เจอกันครั้งแรก (1)
ด้านในถ้ำใต้ดิน
“ใจเย็นขอรับ! ใจเย็นๆ ก่อนขอรับนายท่าน!” บันไซหวีดร้องเสียงแหลม กระดูกและเลือดเนื้อทั่วร่างส่งเสียงดัง กร๊อบแกร๊บจากการแบกรับภาระจากคลื่นพลังสยบที่ยิ่งใหญ่
เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว ตายในเงื้อมมือนายท่านที่อารมณ์พลุ่งพล่านโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายังหนุ่มแน่น ยังมีโลกอีกมากมายให้ค้นหา เขายังไม่อยากตาย!
“ขออภัย ตื่นเต้นไปหน่อย! ว่ามา เจ้าเจอเบาะแสอะไร!?” ลู่เซิ่งเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองตื่นเต้นเกินไป จึงรีบเก็บงำสภาวะ
บันไซตกใจจนหัวใจเต้นรัว เลือดลมสูบฉีด เลือดไหลซึมออกมาจากรูจมูก
เขาไม่กล้ากระตุ้นลู่เซิ่งอีก รีบตอบว่า “อยู่ในจักรวาลที่มีดวงตาแห่งความเลวทรามขอรับ!”
“ดวงตาแห่งความเลวทรามหรือ มันคืออะไรกัน”
“ไม่ทราบขอรับ! สิ่งที่ข้าสืบเจอมีแต่มัน สิ่งที่ได้มาจากข้อมูลซึ่งของขลังทำนายที่ข้าประดิษฐ์ขึ้นรวบรวมไว้ก็คือ สิ่งนี้!” บันไซรีบตอบ
“ของขลังทำนายที่เจ้าประดิษฐ์ขึ้นเองหรือ” ลู่เซิ่งพลันแปลกใจ
เขารู้ว่าบันไซมีพรสวรรค์น่ากลัวมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะน่ากลัวถึงขั้นนี้ ใช้เวลาไม่นานก็พัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระค่ายกลธรรมดาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านของขลังลงอักขระแล้ว
“พาข้าไปดูหน่อย!” เขาพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีปัญหาขอรับ! ความจริงเป็นแค่ของขลังพิเศษที่ข้าประดิษฐ์ขึ้นในเวลาว่างหลังจากฝึกฝนเท่านั้น หลักการของมันคืออาศัยอักขระสายคำนวณจำนวนมากมาสร้างกลไกลการคำนวณรับส่ง สามารถดำเนินการเทียบเคียงและขยายความคำสำคัญกับความนัยจากข้อมูลที่รวบรวมได้…”
บันไซเริ่มสาธยายหลักการของของขลังไปเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งตั้งใจฟัง เพียงแต่ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งตกใจ เจ้าหมอนี่สัมผัสหลักการของเครื่องคำนวณพลังงานสูงได้ด้วยการสนับสนุนทรัพยากรอย่างสุดกำลังของเขาแล้ว
โครงสร้างการคำนวณตามหลักตรรกะชนิดนี้ ต่อให้เขาสร้างขึ้นเอง ก็น่าจะอยู่ในระดับนี้เหมือนกัน
ทว่าเขาแตกต่างตรงที่มีความช่วยเหลือจากดีปบลูและการสั่งสมจากระบบความรู้ในโลกใบเดิม ความรู้ของเขาในปัจจุบันจึงได้ก้าวข้ามบันไซในด้านโครงสร้างตรรกะไปแล้ว
ดังนั้นพอฟังเรื่องนี้ก็เข้าใจทันที
เพียงแต่ปกติเขาชอบจัดการปัญหาโดยใช้กำลังเพราะนั่นเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดก็เท่านั้น
บันไซพาลู่เซิ่งเดินไปตามเส้นทางสาขาย่อยในโพรงถ้ำ
ทัวหลันปาเฮ่อติดตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ นางเห็นของสิ่งนั้นมาแล้ว และรู้ความสามารถของของเล่นชิ้นนั้นเช่นกัน มีเพียงลู่เซิ่งที่ยังไม่เห็นเนื่องจากไปจุติมา
ระหว่างทางบันไซบอกเล่าข้อดีของของขลังชิ้นนั้นไม่หยุดหย่อน
ไม่นานนัก ทั้งสามก็เดินเลี้ยวครั้งหนึ่งแล้วตรงไปถึงด้านหน้าห้องที่ค่อนข้างแคบห้องหนึ่ง บันไซให้สองคนรออยู่ด้านนอกสักพัก ส่วนตัวเองเข้าไปเตรียมตัว
ผ่านไปราวสองนาที
“นายท่าน ทัวหลัน รีบเข้ามาเถอะ” เสียงของบันไซดังมาจากในห้อง
ลู่เซิ่งกับทัวหลันจึงเดินเข้าไป
ห้องเล็กๆ ที่มืดมิดกว้างยาวแค่สิบกว่าก้าว แต่ว่าตรงตำแหน่งด้านในสุด ของที่เหมือนกับลูกโลกจำลองลอยอยู่เหนือรูปสลักสีดำที่มีรูปลักษณ์เหมือนแขน
ลูกโลกนี้เป็นสีแดง ผิวเปลือกมีเส้นริ้วเล็กสีทองเหลือง บางส่วนตัดไขว้กันไปมา ในตอนที่ลู่เซิ่งมองของสิ่งนี้ มันกำลังโยกขึ้นโยกลง ปรากฏเค้าลางการหมุนวนรางๆ
“ข้าเรียกมันว่าอินเอ้อร์สือเจีย ในภาษาภัยพิบัติแปลว่าล่วงรู้ทุกสิ่ง” พอบันไซพูดถึงมันก็เผยสีหน้าหลงใหล
“มันเป็นสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยสร้างมา”
ลู่เซิ่งไม่สนใจคำอธิบายของบันไซ หากแต่เดินเข้าไปสำรวจของเล่นชิ้นนี้ใกล้ๆ
ก้อนกลมนี้ขนาดใหญ่เท่ากับลูกหนัง เส้นทองเหลืองอักขระบนผิวดูมั่วซั่ว แต่บรรจุแบบแผนที่อธิบายไม่ได้เอาไว้
“มันมีความสามารถอะไร” ลู่เซิ่งถามเสียงแผ่วต่ำ
“ขอแค่ใส่ข้อมูลที่รวบรวมได้เข้าไปในตัวมันไม่กี่วินาที มันก็จะถูกบันทึกไว้ในอินเอ้อร์สือเจีย เช่นท่านต้องการหาคำตอบของปริศนาอย่างหนึ่ง ท่านจำเป็นต้องใส่เบาะแสที่เท่านรวบรวมมาได้มายังในห้องนี้สักสองสามวินาที หากมีเบาะแสมากพอ อินเอ้อร์สือเจียก็จะช่วยท่านคำนวณเบาะแสและคำตอบที่แตกต่างกันให้! ยิ่งเบาะแสมีมากเท่าไร จำนวนของคำตอบก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น หมายความว่าความเป็นไปได้ลดลง”
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
“แล้วดวงตาแห่งความเลวทรามคืออะไร”
พอบันไซพูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงประสบการณ์ที่เกือบถูกนายท่านฆ่าตายเมื่อครู่ สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง ดึงสติกลับมาทันควัน
“คือว่า…เป็นเพราะข้าอยากจะทราบความสามารถของอินเอ้อร์สือเจีย ข้าก็เลยโยนข้อมูลครอบครัวของนายท่าน พิกัดที่พวกเขาหายไป และเบาะแสข้อมูลในเวลาหลายปีที่รวบรวมมาจากกระแสวังวนมิติเวลาแห่งนั้นเข้าไป ตอนแรกข้าไม่ได้หวังอะไรมาก สุดท้าย…”
บันไซเดินเข้าไปเคาะอินเอ้อร์สือเจีย
“เรียกดูผลลัพธ์การคำนวณของภารกิจ t4”
เจ้าก้อนกลมไม่มีปฏิกิริยา
“เรียกดูข้อมูลผลลัพธ์ของภารกิจ t4!” บันไซเน้นอีกรอบ
ยังคงไม่มีปฏิกิริยา
เขามองลู่เซิ่งด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ตึงๆๆ!
เขาตบก้อนกลมอย่างแรง ก่อนจะตรวจสอบดูโดยรอบ
“เกิดปัญหานิดหน่อยด้านอักขระ ปัญหานิดหน่อยเท่านั้นขอรับ!”
เขาหยิบอุปกรณ์ออกมาซ่อมแซมเสียงดังกร่อกแกร่ก
ไม่นานนักก็มีเสียงคลิกดังมาจากในก้อนกลม
“เรียบร้อย!” บันไซโล่งอก ก่อนจะถอยออกมาระยะหนึ่ง
“อินเอ้อร์เจียสือ ยินดีรับใช้ท่าน ตอนนี้กำลังเรียกดูผลลัพธ์การคำนวณของภารกิจ t4”
เสียงสตรีอ่อนหวานดังมาจากในก้อนกลมอย่างเชื่องช้า เพียงแต่เสียงนี้…
ลู่เซิ่งมองบันไซอย่างหมดคำพูด
เด็กน้อยผู้นี้หน้าแดงก่ำขณะแอบเหล่มองทัวหลันปาเฮ่อที่อยู่ด้านข้าง
เสียงอ่อนหวานเมื่อครู่เป็นเสียงของทัวหลันปาเฮ่อแบบอ่อนหวานนั่นเอง!
ทัวหลันปาเฮ่อแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยหรือควรบอกว่าไม่สนใจแม้แต่น้อย
ไม่นานนักก็มีแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากก้อนกลม วัตถุรูปดวงตาโลหะสีเงินอันแปลกประหลาดก้อนหนึ่งถูกยิงออกมาจากลำแสง
ลู่เซิ่งจดจำลักษณะของดวงตาสีเงินเอาไว้ทันที
“กระบวนการคำนวณเป็นอย่างด้านล่าง…”
เงาแสงฉายข้อมูลสูตรการคำนวณที่ซับซ้อนและมีแบบแผนออกมาเป็นกลุ่มใหญ่
ลู่เซิ่งอ่านเนื้อหาเข้าใจอย่างคร่าวๆ ขั้นตอนการอนุมานเหล่านี้ซับซ้อนมาก แต่ทิศทางโดยรวมไม่ผิดพลาด
ดวงตาแห่งความเลวทรามเป็นเบาะแสหลักที่ได้มาจากการเทียบเคียงกระแสวังวนมิติเวลาในอดีตจากข้อมูลของห้องสมุดที่ได้ใส่เข้าไป
“อย่างนั้น ดวงตาแห่งความเลวทรามอยู่ในมิติเวลาจักรวาลไหน สืบหาเจอหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“ทำไม่ได้ขอรับ…แต่พอจะมีทิศทางคร่าวๆ” บันไซเข้าไปตรวจแก้ข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่นานก็เรียกเงาแสงส่วนหนึ่งออกมาได้
รูปจำลองระบบดาวที่ขยายใหญ่และหดเล็กอย่างต่อเนื่องปรากฏกลางอากาศ ลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งกับทัวหลัน
“นี่เป็นระบบดาวเปลี่ยนรูปร่างกลุ่มดาวละมั่งแบบดั้งเดิม ในสถานการณ์ปกติ ระบบดาวชนิดนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่แบบนี้ และในจักรวาลส่วนใหญ่ ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในระบบดาวแบบนี้ย่อมมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน...ดังนั้นพวกเราจึงใช้การเทียบเคียงอย่างง่ายชนิดนี้มาคำนวณได้…”
บันไซอธิบายหลายสิ่งหลายอย่าง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า สามารถปรับแต่งจักรวาลมิติเวลาที่จะจุติผ่านการปรับแต่งข้อมูลในค่ายกลจุติได้
“ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้าช้าๆ ในขณะที่ทัวหลันปาเฮ่อผุดสีหน้ามึนงง
“แต่ข้าอยากจะให้เจ้าปรับการคำนวณเหล่านี้ออกมาเป็นกลุ่มๆ จากนั้นคัดแยกออกมาเพื่อลดภาระของเล่นชิ้นนี้ และยกระดับประสิทธิผลของการคำนวณ นอกจากนี้สิ่งนี้คงผลาญพลังงานไม่น้อยกระมัง”
“เอ่อ…ใช้ผลึกดำหนึ่งก้อนต่อ…หนึ่งเดือนขอรับ…ความจริงถือว่าใช้ได้นะขอรับ…ฮ่าๆๆ…”
บันไซยกมือลูบหัวตนเองพลางหัวเราะแหะๆ อย่างกระอักกระอ่วน
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ผลึกดำเดือนละก้อนย่อมไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับเขากับทัวหลันที่ไม่มีรายได้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยทีเดียว เขาทุ่มเงินแทบทั้งหมดของตัวเองไปกับของเล่นชิ้นนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อเจอเบาะแสแล้ว ข้าจะหาการสนับสนุนผลึกพลังงานสูงมากกว่านี้เท่าที่จะหาได้มาให้ก็แล้วกัน เจ้าปรับปรุงของสิ่งนี้ต่อไป ข้าต้องการให้พลังการคำนวณของมันดีกว่านี้ ทางที่ดีสามารถช่วยข้าดำเนินการคำนวณและจัดตั้งข้อมูลค่ายกลของพวกเรา และสร้างจานค่ายกลขนาดเล็กอย่างรวดเร็วได้!”
“จริงด้วย!” บันไซตบหัวตัวเอง พลันนึกถึงวิธีการใช้ที่ดีที่สุดของของสิ่งนี้ “จานค่ายกลขนาดเล็ก! นี่เป็นของดีที่เอาไว้ใช้ผลิตจานค่ายกลจำนวนมาก ขอแค่มีแหล่งพลังงานมากพอ!”
พอเห็นเด็กน้อยนี่ทำท่าหลงใหลอีกครั้ง ลู่เซิ่งก็พาทัวหลันออกจากห้อง
เขายังมีเรื่องมากมายให้ต้องทำ หลังจากสะสางผลกรรมในการจุติครั้งนี้เสร็จสิ้น วิญญาณของเขาในปัจจุบันก็มีการพัฒนาที่ละเอียดอ่อนอีกครั้ง
เขาคำนวณไว้ว่าอีกราวๆ ห้าครั้งถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณในช่วงต่อไป เข้าสู่ขอบเขตอีกขอบเขตหนึ่งของมายาพิศวง
แต่ก่อนหน้านั้น จะต้องยื่นเรื่องขอผลึกแหล่งพลังงานมากกว่านี้จากสำนักนทีครามก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะดาวเงาพริบตาไม่มีแร่ผลึกแหล่งพลังงาน ก็คงไม่ยุ่งยากขนาดนี้
ลู่เซิ่งขยายจิตวิญญาณเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบสถานการณ์โดยรวมของดาวเงาพริบตา เขาย่อมควบคุม สถานการณ์ทั้งหมดบนดาวเคราะห์ผ่านเลือดเนื้อร่างแยกที่อยู่ทุกแห่งบนดวงดาวได้
หลังจากไม่พบปัญหา เขาก็นั่งเรือเหาะไปยังศูนย์หลักของสำนักนทีครามโดยอาศัยค่ายกลข้ามมิติขนาดใหญ่
…
ณ ป้อมปราการแนวหน้าชั่วคราวของสำนักนทีคราม
กลางกลุ่มเรือรบขนาดมหึมา วงล้อที่เหมือนกับตาสามข้างหมุนวนอย่างช้าๆ ด้านในอากาศยานสีเขียวเข้มทรงรีเหมือนวงแหวน
ขอบที่กำลังหมุนวนของวงล้อที่หนึ่งมีห้องแยกรูปทรงโค้งมากมาย
ณ ห้องหนึ่งในที่นี้
“ข้าไม่ทราบว่ามารดาแห่งความเจ็บปวดเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน ถึงกับกล้าเปิดศึกกับพวกเรา สำนักวิญญาณไตรอริยะและสำนักแปลงวายุพร้อมกัน” รองเจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่ผุดสีหน้าบูดบึ้ง สนามพลังกลิ่นอายบนตัวปั่นป่วนเล็กน้อย
เจ้าสำนักหยวนชิงลี่ รองเจ้าสำนักฮัวอวิ๋นจื่อและลู่เซิ่งมองมายังเขาที่จิตใจไม่สงบ
สีหน้าของเขาถึงค่อยผ่อนคลายลง
“ขออภัย ข้าใจร้อนไปเสียหน่อย ศิษย์ที่ข้าสอนวิชาให้ด้วยตัวเองถูกคนของมารดาแห่งความเจ็บปวดสังหารในการเดินทางระหว่างดวงดาว เหลือเพียงแค่สองคน…”
แม้ศิษย์ที่พวกผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงอย่างพวกเขาถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเองจะมีอย่างน้อยสองคน แต่นี่คือหน้าตาของเขา! ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงศิษย์สตรีที่เขาเอ็นดูที่สุดอยู่ด้วยคนหนึ่ง นางช่างน่ารักและแสนว่านอนสอนง่ายนัก ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือความเชื่อฟังต่างก็สร้างความพึงพอใจให้แก่เขามากที่สุด
ตอนแรกเขาคิดจะตบแต่งนางเป็นอนุคนโปรด แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่อาจทำแล้ว
ลู่เซิ่งเข้าใจสาเหตุที่สวี่ฮ่าวไป่อารมณ์พลุ่งพล่านก็เพราะฮัวอวิ๋นจื่อส่งกระแสเสียงอธิบาย
“พวกท่านสองคนต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังไม่สะดวกต่อการลงมือ ระหว่างสำนักเรากับมารดาแห่งความเจ็บปวดมีการจับตามองจิตวิญญาณกันและกัน ทำให้ไม่อาจเข้าใกล้ได้ง่ายดายนัก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ ดังนั้น กุญแจสำคัญของพวกเราในครั้งนี้ยังอยู่ที่ตัวผู้อาวุโสนอกลู่เช่นเดิม” เจ้าสำนักหยวนชิงลี่กล่าวเสียงอ่อนโยน
……………………………………….