ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 781 ความแปลกประหลาด (1)
ในขณะเดียวกันอีกคนก็โถมตัวใส่ด้านหลังลู่เซิ่งเช่นกัน เขากลับไม่ได้ระเบิดตัวเอง หากแต่ยิงจุดแสงสีแดงฉานสายหนึ่งออกมาจากด้านหลัง
จุดแสงนั้นว่องไวอย่างน่าประหลาด หายไปในแผ่นหลังของลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้าในพริบตาเดียว
อ๊าก!
ลู่เซิ่งร้องเสียงดังและทำท่าเจ็บปวดรวดร้าว
ในเวลานี้เอง คนที่สามซึ่งซ่อนตัวมาโดยตลอดก็พุ่งออกจากมุมมืด นั่นคือเงาดำพร่ามัวไม่เสถียรกลุ่มหนึ่ง
เงาดำสะบัดแขนทั้งสอง ทันใดนั้นหนามแหลมหนาแน่นแถวหนึ่งงอกออกมาในทันที
หนามแหลมทั้งหมดแทงหายเข้าไปในศีรษะของลู่เซิ่งทันที
“ฆ่า! ฆ่ามัน! ฮ่าๆๆ!” ในเงามืดรอบข้างไม่ทราบว่ามีเงาสีดำจำนวนมากมุดออกมาจากที่ไหน พวกเขาทุกคนต่างก็ลงมือเอาชีวิตเขาเฉกเช่นกับนักพรตเฟิงหลินและเงาดำพร่ามัว
เปรี้ยง
ลู่เซิ่งออกแรงสะบัดเงาดำที่อยู่บนศีรษะออกไป เขาคิดจะวิ่งหนีไปยังทางเดินว่างเปล่าอีกแห่งหนึ่ง แต่ทว่าเงาดำกับคนเงียบขรึมที่สวมเกราะสีดำพากันทะลักออกมาจากรอบข้าง บ้างก็ระเบิดตัวตาย บ้างก็ลงมือลอบสังหารโดยไม่ส่งเสียง
สภาพโกลาหลยิ่งกว่าเดิม
‘เป็นอย่างที่คิด…เป็นพิษอารยธรรมจริงๆ หนำซ้ำยังเป็นประเภททำให้จิตใจปั่นป่วนด้วย…’ สีหน้าของลู่เซิ่งที่มองเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่ไม่ไกลออกไปเคร่งขรึมลง
เขายืนอยู่ในตำแหน่งตรงข้าม เงาดำกับคนสวมเกราะหนักสีดำกลุ่มใหญ่กำลังโบกไม้โบกมือไปมาอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับตรงนั้นมีคนอยู่จริงๆ
ลู่เซิ่งยืนสำรวจสถานกรณ์อยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
‘เงามืดก็ดี เกราะหนาหนักสีดำก็ดี ล้วนเปลี่ยนมาจากมนุษย์ ไม่อย่างนั้นวิชาจิตโน้มนำของข้าประสานกับ วิชาภาพหลอนจากค่ายกลคงไม่บรรลุผล’
เปรี้ยงๆๆ!
คนสวมเกราะหนักทั้งสามคนพุ่งเข้าไประเบิดตัวตายใส่พื้นที่ว่างเปล่า โดยไม่สนใจสิ่งใด ลู่เซิ่งมองดูพลางส่ายหน้า
หลังจากฆ่าฟันอย่างดุเดือด ลู่เซิ่งตรงพื้นที่ว่างเปล่าโงนเงนจวนจะล้มท่ามกลางคนสวมเกราะดำกับเงาสีดำ ร่างอาบเลือดคล้ายกับหากพยายามอีกหน่อยย่อมเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงมีคนสวมเกราะดำอีกหลายคนพุ่งเข้าไประเบิดตัวตายเหมือนมองความตายดุจการกลับสู่มาตุภูมิ ระเบิดจนลู่เซิ่งเปื้อนเลือดไปทั้งตัว
สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ มิติรอบป้อมปราการแห่งนี้กลับเหนือกว่ามิติทั่วไป
ลู่เซิ่งสัมผัสการระเบิดตัวตายหลายครั้งเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน นั่นคืออานุภาพระดับสั่นสะเทือนมิติ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับเจ้าแห่งอาวุธ
แต่ว่าการลอบโจมตีด้วยการฆ่าตัวตายแบบนี้กลับไม่อาจสร้างระลอกคลื่นบนมิติผืนนี้ได้
ผ่านไปราวสิบกว่านาที สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโถงควบคุมนอกจากลู่เซิ่ง ก็เหลือคนสวมเกราะสีดำที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพียงแต่คนสวมเกราะดำผู้นี้ร่างอาบเลือด ม่านตาแตกซ่านเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักในการล้อมโจมตีเมื่อครู่เช่นกัน
ภาพหลอนของลู่เซิ่งใช้คนชุดดำคนหนึ่งเป็นพิมพ์เขียวหลักในการกัดกร่อนความทรงจำของคนรอบข้าง ทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีไปเรื่อยๆ นึกว่าที่ว่างแห่งหนึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของตัวเอง จึงบรรลุเป้าหมายยืมมือคนอื่นฆ่า
ในตอนที่การโจมตีและการฆ่าตัวตายมากมายระดมใส่จุดเดียว การระเบิดพลังงานจำนวนมากย่อมไม่อาจกดอัดให้เล็กเกินไปได้ ดังนั้นจึงเกิดการโจมตีพลาดพลั้งได้
หลังจากเกิดการโจมตีผิดตัวหลายครั้ง ลู่เซิ่งก็ปรับภาพหลอนให้ไปเกาะติดบนตัวศัตรูที่แตกต่างกัน
จากนั้นก็กลายเป็นภาพเช่นในตอนนี้
แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...
คนสวมเกราะดำคนสุดท้ายหอบหายใจ เพื่อต้านทานการโต้ตอบก่อนตายของมารร้ายตนนั้น เขาได้เค้นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตนออกมาแล้ว
ทว่ามารร้ายตรงหน้ายังคงอยู่ในสภาพใกล้ตายรอมร่อ นี่ทำให้สติปัญญาที่หลงเหลืออยู่ไม่มากของเขาสัมผัสความผิดปกติได้มากกว่าเดิม
เปรี้ยง!
อยู่ๆ ร่างของคนสวมเกราะดำก็ระเบิดโดยไม่มีเค้าลาง
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ทั้งที่เขาไม่ได้ควบคุมภาพหลอนให้โจมตีคนผู้นี้แท้ๆ นึกไม่ถึงว่า…
ตอนนี้ทุกที่ในโถงควบคุมเหลือเพียงเศษเลือดเนื้อสีแดงก่ำ กลิ่นคาวเลือดที่เหม็นฉุนจมูกเมื่อครู่เข้มข้นกว่าเดิม
“ดูเหมือนจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาด้วยนะเนี่ย” น้ำเสียงสัพยอกดังขึ้นจากตรงไหนก็ไม่ทราบ
เลือดเนื้อจำนวนมากบนพื้นเริ่มรวมตัวกันอย่างช้าๆ
แม้จะดูเชื่องช้า แต่ความจริงเร็วสุดขีด เลือดเนื้อจำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นสตรีประหลาดผู้มีหางแมงป่อง และมือสองมือเป็นก้ามของแมงป่องโดยใช้เวลาไม่ถึงนาที
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งก็คือ สตรีนางนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาพหลอนของเขา หากแต่จ้องมองมายังตำแหน่งร่างหลักของเขาโดยตรง
“พบเจอกันเป็นครั้งแรก ข้าชื่อโครี่ เมตซ์ แน่นอนว่ายังมีอีกชื่อ นั่นคือพิษโลหิตหลอกหลอน” เค้าหน้างดงามของนางแทบให้ความรู้สึกหลอนว่าสมบูรณ์แบบไร้รอยด่างพร้อย ทั่วร่างนางไม่มีสิ่งใดปิดบัง เผยร่างเปลือยเปล่าอันวิจิตรอย่างหมดจด
แต่ในตอนที่ลู่เซิ่งเห็นรูปร่างที่สวยงามและสมบูรณ์แบบนั้น เขากลับได้กลิ่นเน่าเปื่อยที่น่าขยะแขยงชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“นึกไม่ถึงว่าพิษอารยธรรมในตำนานจะรวมตัวเป็นมนุษย์ได้ด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเย็น
โครี่ เมตซ์หัวเราะ
“ดูเหมือนท่านจะเข้าใจพิษอารยธรรมของพวกเราผิดแล้ว การทำลายสิ่งมีชีวิตย่อมเป็นความปรารถนาสูงสุดในการเกิดมาของพวกเรา ทั้งยังเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงพยายามพัฒนาอย่างสุดกำลังเพื่อสู้กับทักษะการรักษา ทว่าการได้รับการยอมรับในตัวตนของพวกเราอย่างเป็นทางการ ก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการมากที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ”
“ข้าไม่มีเวลาพูดไร้สาระกับเจ้าหรอก ว่ามา ใครพาเจ้ามา ป้อมปราการพวกนี้ไม่มีทางมอบโอกาสให้เจ้าโดยไม่มีสาเหตุแน่” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ก็ต้องเป็นศัตรูของพวกท่านอยู่แล้ว…” โครี่ เมตซ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“มารดาแห่งความเจ็บปวดหรือ” ลู่เซิ่งถาม
“นางเป็นเพียงสหายร่วมงานของพวกเรา” โครี่ เมตซ์เผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดโดยไม่ปิดบัง
“มารดาแห่งความเจ็บปวดก็ดี ข้าก็ดี ล้วนเป็นสมาชิกของขุมกำลังยิ่งใหญ่ ขุมกำลังของพวกเราได้เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว มันยิ่งใหญ่จนท่านไม่อาจจินตนาการ พลังที่น่ากลัวเช่นนั้นยังมีสิ่งใดในเขตดาวนี้จะต้านทานได้อีก!”
ลู่เซิ่งแค่นเสียงเย็นชา จากต้าซ่งมาถึงที่นี่ เขาสู้ฟ้า สู้ดิน สู้จักรวาลมาโดยตลอด เขาไม่ใช่พวกที่ตื่นตกใจง่ายๆ
“กล่าววาจามากมาย สู้กันก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!” สิ้นเสียง กายเนื้อเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งระเบิดออกและครอบคลุมเขาไว้
ไม่นานนักสัตว์ประหลาดที่มีหางหนึ่งเส้นและใบหน้าสามด้านก็พุ่งออกมาจากแสงสีเหลือง สัตว์ประหลาด ตัวนี้ว่องไวอย่างน่าประหลาด แขนสิบกว่าคู่ตวัดใส่โครี่ เมตซ์ราวกับหนวด
คิกๆๆ….
โครี่ เมตซ์ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วนอีกครั้ง ทำให้มือของลู่เซิ่งพุ่งใส่ความว่างเปล่า
“เผาไหม้!” ลู่เซิ่งอ้าปากพ่นใส่พื้น เปลวเพลิงสีเขียวเข้มขนาดใหญ่หลายกลุ่มพวยพุ่งออกมา เผาไหม้เลือดเนื้อที่กระจัดกระจายบนพื้น
นี่คืออัคคีอนธการ ปฐมพลังที่ลู่เซิ่งควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นพลังแกนกลางที่เขาได้จากการเลื่อนเป็นอริยะเจ้าด้วย
มาถึงตอนนี้ อัคคีอนธการที่พัฒนามาทีละก้าวได้รับการเสริมพลังอย่างต่อเนื่องตามพลังของเขาแล้ว
อัคคีอนธการที่ร้อนแรงไม่เพียงเผาไหม้วัตถุเท่านั้น ยังเผาไหม้จิตวิญญาณได้ด้วย เลือดเนื้อในโถงควบคุมถูกกวาดล้างจนกลายเป็นทะเลเพลิงภายใต้การพ่นเปลวไฟนี้
ทว่าในอากาศยังมีเสียงหัวเราะประหลาดของสตรีนางนั้นหลงเหลืออยู่
“ท่านฆ่าข้าไม่ได้หรอก ขอแค่ยังมีการติดเชื้ออยู่สักที่ ข้าก็ไม่มีวันตาย…” เสียงของโครี่ เมตซ์ดังมาอีกรอบ
“การปฏิบัติการในครั้งนี้ของเจ้ามีเป้าหมายอะไร” ลู่เซิ่งถามเสียงเย็น
“เพื่อเตือน” โครี่ เมตซ์ตอบทันที “มารดาแห่งความเจ็บปวดจะเลือกอย่างไร พวกเราไม่สนใจ แต่นางจะตายไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ตายไม่ได้! นี่เป็นคำขอจากเบื้องหลังพวกเรา พวกท่านจำต้องตอบรับ”
“ถ้าหากไม่ตอบรับเล่า” ลู่เซิ่งถาม
“อย่างนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องสนับสนุนมารดาแห่งความเจ็บปวดสุดกำลัง พลังของพวกเราทำลายล้างพวกท่านและสะกดทุกการต่อต้านได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันแสนสั้น” โคลี่ เมตซ์ตอบกลับอย่างเรียบง่าย เหมือนกำลังบอกความจริงที่แสนธรรมดาสามัญ
ลู่เซิ่งนิ่งงันไป เขานึกถึงเหล่ามายาพิศวงลึกลับที่โผล่มาด้านหลังมารดาแห่งความเจ็บปวดอย่างกะทันหันเมื่อก่อนหน้านี้
คนพวกนั้นทำให้สำนักแปลงวายุกับสำนักนทีครามเสียมายาพิศวงไปสำนักละคน นี่เป็นความจริง แต่ที่มายาพิศวงทั้งสองตายไปได้อย่างไรนั้น กลับไม่มีใครรู้ข้อมูล
ตอนนี้ดูแล้ว เบื้องหลังของมารดาแห่งความเจ็บปวดเกี่ยวข้องกับองค์กรขนาดมหึมาองค์กรหนึ่งจริงๆ
“เป้าหมายของพวกเจ้าคืออะไรกันแน่ บอกมาได้หรือไม่” หลังเงียบงันสักพัก ลู่เซิ่งก็เอ่ยปากขึ้นอีก “ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดจะเปิดเผยความจริงมาโดยตลอด อย่างนั้นก็ต้องมีการดำรงอยู่ของพลังที่พวกเจ้ากริ่งเกรงกระมัง พลังสายนั้นคืออะไร”
เว้นเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็เอ่ยต่อ “ในเขตดวงดาวเขตนี้ ขุมกำลังที่มีมายาพิศวงมากมายขนาดนี้มีอยู่ไม่มากนักหรอก...”
“ท่านจินตนาการไม่ออกหรอก ท่านแค่ต้องรู้ไว้ว่า พวกท่านขัดแย้งกับพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์ เป้าหมายของพวกเราเป็นคนอื่น” โครี่ เมตซ์ตอบกลับอย่างเรียบง่าย
“เอาล่ะ สิ่งที่ข้าบอกได้มีแค่นี้ ครั้งหน้าไว้เจอกันใหม่” นางกำลังจะผละไป
“รอเดี๋ยว!” ลู่เซิ่งพลันเรียกนางไว้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตอนนี้มารดาแห่งความเจ็บปวดยังตายไม่ได้ เช่นนั้นนางจะตายได้ตอนไหน” เขาเน้นประโยคสุดท้าย
“อีกหนึ่งหรือสองร้อยปี ดูเหมือนท่านจะมีความแค้นกับนางไม่น้อยทีเดียว ถ้าหากท่านยอมรอ บางทีอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวก็ได้นะ ไม่เลวสำหรับท่าน” โครี่ เมตซ์บอกเป็นนัยๆ
“หมายความว่าอย่างไร!?” ลู่เซิ่งหรี่ตาถามต่อ
แต่ในอากาศไม่มีเสียงใดๆ อีกแล้ว
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิมกวาดตามองรอบข้างเหมือนป้อมรบไม่มีความผิดปกติอะไรอีก
เขาขยายจิตวิญญาณไปปกคลุมป้อมรบป้อมอื่นๆ ไว้ แต่ก็ไม่อาจสัมผัสความผิดปกติใดจากป้อมรบพวกนั้นเลยเช่นกัน ใยแมงมุมในจักรวาลรอบข้างหลอมละลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
‘การบิดเบี้ยวผิดปกติของมิติหายไปแล้ว…ดูเหมือนจะเกิดจากโครี่ เมตซ์คนนั้น’ ลู่เซิ่งบินออกจากช่องว่างบนป้อมรบ แล้วลอยตัวอยู่กลางอวกาศ
‘มารดาแห่งความเจ็บปวด…ดูเหมือนจะเป็นตัวหมากที่ขุมกำลังนั้นใช้ประโยชน์ เป็นหมากที่ค่อนข้างสำคัญเสียด้วย ยังมีรากแห่งความว่างเปล่าอีก...เมล็ดแห่งแก่นปฐมของตระกูลจ้าวไม่รู้ว่าวางแผนอะไร เขตดวงดาวแห่งนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาซุกซ่อนอยู่ไม่น้อยทีเดียว…’ ลู่เซิ่งกระวนกระวายใจเล็กน้อย
‘ช่างเถอะ’ เขาเปลี่ยนความคิด ‘จักรวาลมารสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาล แค่ที่บันทึกไว้ก็มีถึงสามทะเลดาวใหญ่แล้ว เขตดาวที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงสายธารขนาดเล็กตรงขอบทะเลดาวแห่งมรกตเท่านั้น อย่างมากสุดเราก็แค่ต้องย้ายบ้านออกจากอาณาเขตแห่งนี้”
เขาคร้านจะสนใจสิ่งอื่นอีก พอใช้ความคิด ด้านหน้าก็พลันปรากฏไอหนาวกลุ่มใหญ่ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นกระจกน้ำแข็งสีขาวใบหนึ่ง
ใบหน้าไร้เครื่องหน้าของเจ้าสำนักนทีครามหยวนชิงลี่ปรากฏขึ้นบนกระจก
“ค้นพบแล้ว” ลู่เซิ่งเล่าเหตุการณ์ที่เจอโครี่ เมตซ์ให้หยวนชิงลี่ฟังทั้งหมดโดยไม่ได้ปิดบัง
ในกระจกน้ำแข็งมองไม่ออกว่าเจ้าสำนักผู้นี้รู้สึกอะไร แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่านางก็เป็นเช่นเดียวกับตน แม้เปลือกนอกจะไม่แสดงออก แต่ในใจย่อมตื่นตะลึงไปแล้ว
……………………………………….