ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 783 คาดไม่ถึง (1)
ลู่เซิ่งค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากสติที่เลือนราง
‘อือ…ที่นี่คือ…ที่ไหนกัน’ ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบข้าง
ในกระแสวังวนมิติเวลาก่อนหน้านี้ เขาเหาะเหินไปยังทิศทางที่ค่ายกลกำหนดไว้ ไม่นานนักก็ไปถึงร่องแยกของโลกใบแรกที่ลอยอยู่ในทิศทางนี้
ในกระแสวังวนมิติเวลา โลกส่วนใหญ่มีตำแหน่งตายตัว จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อะไร
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือกระแสวังวน ด้านในกระแสวังวนมีเส้นทางที่เชื่อมไปยังโลกใบต่างๆ เพียงแต่เส้นทางนี้ปรากฏทางเข้าออกที่แตกต่างกันตลอดเวลาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับโลกใบอื่น
ทางเข้าออกครั้งก่อนกับครั้งต่อไปจะไม่มีทางเหมือนกันเด็ดขาด
นี่คือความซับซ้อนของกระแสวังวนมิติเวลา
‘แต่เราเข้ามาในร่องแยกนั้นชัดๆ ทำไมจู่ๆ ถึงสลบไปล่ะ’ ลู่เซิ่งไม่ได้เกิดความรู้สึกสะลึมสะลือมานานแล้ว นับตั้งแต่มรรคายุทธ์ของเขาแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ก็ไม่เจอวิกฤติการณ์อย่างการสลบไสลอีก
พอฟื้นขึ้นมา เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พบว่าตนนอนอยู่ในห้องนอนในยุคโบราณที่ค่อนข้างมีอายุแห่งหนึ่ง
เขาห่มผ้าสีขาวอมเทาผืนหนา ผิวกำแพงรอบด้านหลุดร่วง เผยให้เห็นสีดำอมเทาที่เป็นด่างดวงข้างใต้
ข้างเตียงมีหน้าต่าง ด้านนอกมีเสียงโห่ร้องดังมาเบาๆ
เครื่องแบบสีเทาผสมเขียวแขวนอยู่บนผนังฝั่งขวามือ ดูเหมือนเป็นเครื่องแบบรัดรูปที่ทุกคนจากสำนักหนึ่งจะสวมใส่เหมือนกันในยุคโบราณ ด้านข้างเครื่องแบบมีกระบี่ยาวสีเทาอมเงินเรียวยาวแขวนอยู่
สายตาของลู่เซิ่งเห็นบนฝักกระบี่สลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้แถวหนึ่งว่า พรรคกระบี่บรรณภูผา ร่างร่างนี้ของเขารู้จักตัวอักษรจากความทรงจำ
‘จริงสิ ความทรงจำอื่นล่ะ?!’ เขาขมวดคิ้วมุ่น นี่เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ผสมกับความทรงจำส่วนใหญ่ของร่างกายหลังจากจุติลงมาทันที
ลู่เซิ่งเลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง ก่อนจะก้มมองร่างกายในตอนนี้ของตน
เปลือกนอกดูเหมือนมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง แต่ค่อนข้างผอม ไขมันใต้ผิวหนังกลับไม่มาก ดูล่ำสันนัก
ลู่เซิ่งนึกทบทวนอย่างละเอียดว่าก่อนหน้านี้ตนสลบไปได้อย่างไร เขาถึงกับจำไม่ได้แม้แต่น้อย
เหมือนกับตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในร่องแยกของโลกใบนี้ เขาไปชนของแข็งๆ สักอย่างเข้า ทำให้หมดสติไป
สำหรับตัวตนระดับเขา การหมดสติไปโดยอธิบายไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
กอปรกับหาความทรงจำอะไรไม่เจอเลยหลังจุติลงมา นี่มีปัญหาอยู่บ้างแล้ว
ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณดำดิ่งไปด้านในร่างกายรอบหนึ่ง ไม่นานก็ตรวจสอบความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์โลกใบนี้ได้
‘หนึ่งในสามของโลกมารสวรรค์…สูงขนาดนี้เชียว!?’ โลกมรรคายุทธ์เมื่อก่อนหน้านี้มีความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์แค่หนึ่งในสิบส่วนของโลกมารสวรรค์เท่านั้น
แต่ว่าโลกใบนี้กลับมีถึงหนึ่งในสาม! นี่แข็งแกร่งมากแล้ว
เมื่อไม่ได้หลอมรวมกับความทรงจำ ลู่เซิ่งก็เริ่มพลิกหาโดยรอบ ไม่นานนักก็เจอข้อมูลคร่าวๆ ของร่าง วัยเยาว์นี้จากในลิ้นชัก
ป้ายสถานะแผ่นหนึ่ง คัมภีร์วิชากระบี่ที่เขียนบันทึกความเข้าใจไว้มากมายอีกเล่มหนึ่ง
พอเห็นของสองอย่างนี้ ลู่เซิ่งพลันรู้สึกสั่นไหวในกาย มีภาพที่ขาดๆ หายๆ ปรากฏแวบในห้วงสมองของตนทันที
นี่เป็นตราประทับความทรงจำของกายเนื้อร่างนี้ ความทรงจำไม่ได้มีแค่จิตวิญญาณเท่านั้นถึงจะบันทึกได้ กายเนื้อก็มีความสามารถคล้ายๆ กันเช่นกัน แต่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสมอง
หลังผ่านไปราวสิบกว่านาที ลู่เซิ่งก็จัดระเบียบและดูดซับเศษความทรงจำที่ทิ้งไว้จนหมด จึงค่อยทำความเข้าใจสถานการณ์ของตนในตอนนี้ออกได้คร่าวๆ
ร่างนี้ของเขามีชื่อว่าเฉินจื่อลัว เป็นศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งในพรรคกระบี่บรรณภูผา
พรรคกระบี่บรรณภูผานี้มีศิษย์ไม่มาก วิชากระบี่คล่องแคล่วเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย
ในยุทธจักร พรรคกระบี่บรรณภูผาเป็นพรรคธรรมะที่ถูกจัดอยู่ในอันดับชั้นรองๆ นอกจากเส้าหลิน บู๊ตึ้ง และง้อไบ๊แล้ว พรรคกระบี่บรรณภูผามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในพันธมิตรเจ็ดขุนเขา
‘เส้าหลิน? บู๊ตึ้ง? ง้อไบ๊? โลกนี้ให้ความรู้สึกคุ้นๆ อยู่นะ…’ ลู่เซิ่งปลดกระบี่เล่มนั้นลงมาจากผนัง แล้วชักออกมาดูเบาๆ เป็นกระบี่ธรรมดา
เฉินจื่อลัวหรือร่างนี้เป็นศิษย์ระดับรองในพรรคกระบี่ ปกติแล้วจะฝึกฝนวรยุทธ์กับตู้เฟิงจื่อ ศิษย์น้องของประมุขพรรค
เฉินจื่อลัวเข้าร่วมกับพรรคกระบี่นี้เมื่อห้าปีก่อน ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ได้ฝึกฝนวิชากระบี่ไปสามวิชาแล้ว
ได้แก่ วิชากระบี่แผ่วพลิ้ว วิชากระบี่ฝันดั่งเส้นด้าย รวมถึงวิชากระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูง
กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงอันเป็นวิชาสุดท้ายในสามวิชานี้เป็นวิชากระบี่แกนหลักที่แท้จริงของพรรคกระบี่บรรณภูผา เป็นวิชากระบี่ชั้นสูงที่มีแต่ศิษย์ทางการเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รับสืบทอด
เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร วิชากระบี่ชั้นสูงที่เฉินจื่อลัวผู้นี้เพิ่งได้มากลับหายไปอย่างกะทันหันในตอนที่ถูก ลู่เซิ่งจุติสิงร่าง
หลังจากจัดระเบียบสถานการณ์เรียบร้อย ลู่เซิ่งก็สวมเครื่องแบบศิษย์สำนัก สะพายกระบี่ไว้บนหลัง แล้วเดินออกจากห้องนอน
ด้านนอกคือเรือนเล็กๆ ที่เหมือนกับเรือนสี่ประสาน ในเรือนมีบ่อน้ำ ข้างบ่อน้ำมีคนหนุ่มสองคนกำลังฝึกกระบี่ตามแบบแผนอยู่
ดวงอาทิตย์ส่องสว่างครึ่งหนึ่งของตัวเรือนเป็นสีทองผ่อง
“คารวะศิษย์พี่เฉิน!” ครั้นคนหนุ่มสองคนนั้นเห็นลู่เซิ่งออกมา ก็วางกระบี่ลงและโค้งตัวคำนับทันที
“อื้อ” ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใคร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้เขาใช้วิชาจิตโน้มนำหาข้อมูลที่ตนเองต้องการจากปากของพวกเขา
หลังยืนสนทนากับคนทั้งสองสักพัก ลู่เซิ่งก็เข้าใจสถานการณ์ของโลกใบนี้คร่าวๆ
ที่แห่งนี้แปลกประหลาดสุดขีด!
ไม่เพียงมีเส้าหลิน บู๊ตึ้ง และง้อไบ๊เท่านั้น ยังมีค่ายพรรคไม่น้อยที่เขาคุ้นชื่อ เช่น ดาบห้าเสือล้างตระกูล ฝ่ามือทรายเหล็กและพรรคกระยาจก
สภาพแวดล้อมเหมือนกับสถานการณ์ในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร ราชสำนักฟอนเฟะทำให้การควบคุมยุทธจักรตกต่ำลงสุดขีด
ในยุทธจักรอาศัยสี่พรรคธรรมะรักษากฎระเบียบ สี่พรรคนี้ได้แก่เส้าหลิน บู๊ตึ้ง ง้อไบ๊ รวมถึงพันธมิตรเจ็ดขุนเขา
‘พันธมิตรเจ็ดขุนเขาคือห้าขุนเขากระบี่ไม่ใช่เหรอ’ลู่เซิ่งคิดในใจ
อีกจุดหนึ่งก็คือ ที่นี่ไม่มีปราณกำเนิดฟ้าดินหรือพลังงานฟ้าดินใดๆ
เหมือนกับสมัยอยู่บนดาวปรภพ
ในบรรยากาศนอกจากอากาศแล้วก็ไม่มีพลังงานพิเศษใดๆ อีก ดังนั้นลมปราณประเภทดูดซับแก่นสารจากธรรมชาติฟ้าดินอะไร เมื่อมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นนอกจากใช้เพ่งจิตสงบปราณ
วรยุทธ์ของที่นี่ ความจริงส่วนใหญ่เป็นทักษะวรยุทธ์ภายนอกที่อาศัยปัจจัยทางกายภาพอย่างความเร็วและพละกำลังมาสนับสนุน
หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ลู่เซิ่งก็บอกลาศิษย์น้องทั้งสองไปอาบน้ำ จากนั้นก็เดินออกจากตัวเรือนไป
เขาทราบจากปากคนทั้งสองว่าวันนี้เฉินจื่อลัวต้องไปเข้าร่วมงานชุมนุมของสำนัก
เฉินจื่อลัวร่ำเรียนกับตู้เฟิงจื่อที่เป็นยอดฝีมือในสำนัก สายตู้เฟิงจื่อ พรรคกระบี่บรรณภูผามีทั้งหมดสี่สาย อาจารย์ของพวกเขาตู้เฟิงจื่อเป็นสายหนึ่งในนั้น
ทั้งสี่สายจะจัดการชุมนุมแข่งขันทุกๆ ปีเพื่อประเมินพลังของศิษย์ทุกคน ขณะเดียวกันก็มีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มการแข่งขันและแรงผลักดันในการฝึกวรยุทธ์ให้แก่ศิษย์ทุกคนด้วย
สายของตู้เฟิงจื่อมีทั้งหมดสี่คน สองคนในนี้ยังไล่ล่ายอดฝีมือพรรคอธรรมคนหนึ่งอยู่ทางใต้ เลยกลับมาไม่ทัน ดังนั้นการแข่งขันครั้งนี้จึงให้หนิงเหมยศิษย์เอกของตู้เฟิงจื่อเป็นผู้นำ
ส่วนเฉินจื่อลัวหรือลู่เซิ่งในตอนนี้ ถูกจัดเป็นอันดับสามในศิษย์สี่คน จึงไม่โดดเด่นเท่าไรนัก
แม้เขาจะนับว่ามีความสำคัญในหมู่ศิษย์ทั่วไปเช่นกัน แต่ในสายตาของสายแต่ละสายแล้ว ถือเป็นศิษย์ที่รู้จักชื่อแต่ไม่สะดุดตาคนหนึ่ง
หากไปอยู่ในยุทธจักร ระดับของเฉินจื่อลัวคือพวกหน้าใหม่โดดเด่นที่มีอัจฉริยะภาพด้านกระบี่อยู่เบื้องหลัง มีศิษย์น้องคอยติดตามรับใช้
นอกจากจะใช้เชิดชูความร้ายกาจของพวกอัจฉริยะหน้าใหม่ในการต่อสู้แบบรวมกลุ่มแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีก
หลังออกจากตัวเรือน ลู่เซิ่งก็ไปถึงร้านซาลาเปาแห่งหนึ่งที่อยู่ทางขวามือด้านนอกที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเจอศิษย์พี่หนิงเหมยที่กินซาลาเปาไส้เนื้อและดื่มน้ำเต้าหู้อยู่
“เอาสักถ้วยหรือไม่” หนิงเหมยดูอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี รูปร่างหน้าตาไม่นับว่างดงาม แต่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นมีสติปัญญา
นางนั่งอยู่บนที่นั่งใช้มือขวากดด้ามกระบี่บนโต๊ะไว้ตลอดเวลา ใช้เพียงมือซ้ายกินซาลาเปาอย่างช้าๆ
“ไม่ขอรับ ขอบคุณศิษย์พี่หนิง” ลู่เซิ่งส่ายหน้าพลางนั่งตรงที่นั่งด้านข้าง แล้วรอนางกินจนหมด
หนิงเหมยมาจากตระกูลวาณิช นางถูกเลี้ยงดูเหมือนลูกชายตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว ดังนั้นจึงชอบระบำดาบควงหอก ต่อมาได้ถูกส่งมาเรียนวิชาที่พรรคกระบี่บรรณภูผา
“ดูเหมือนเจ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย วิชากระบี่เลื่อนระดับแล้วหรือ” สายตาของหนิงเหมยค่อนข้าง คมเฉียบ มองแวบเดียวก็เห็นความแตกต่างจากก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่ง
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่บุคลิก ลู่เซิ่งก็แตกต่างจากเฉินจื่อลัวอย่างใหญ่หลวงแล้ว
เดิมทีเฉินจื่อลัวเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัวไม่พูดไม่จา พอเจอนางก็ขลาดกลัวเล็กน้อย
ทว่าลู่เซิ่งในตอนนี้นั่งอยู่ข้างนางอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยนิด
“ยังดีขอรับ เข้าใจขึ้นมาบ้าง” ลู่เซิ่งตอบ
หนิงเหมยพยักหน้า ไม่เอ่ยอันใดอีก เพียงแต่กินซาลาเปาเนื้อต่อ ส่วนลู่เซิ่งกลับกำลังพิจารณาผลกรรมความปรารถนาที่แท้จริงของเฉินจื่อลัวอยู่
พอมาถึงที่นี่ เขาก็เผชิญสถานการณ์ที่หาวิญญาณหลงเหลือของเฉินจื่อลัวไม่เจอทันที เมื่อไม่เจอวิญญาณหลงเหลือ ก็ไม่ทราบว่าจะต้องสะสางผลกรรมอะไรถึงจะหลอมรวมจิตวิญญาณได้
พอทั้งสองกินข้าวเช้าเสร็จ หนิงเหมยที่เป็นผู้นำพาลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปยังถนนนอกเรือน ไม่นานก็มีศิษย์สวมอาภรณ์สีขาวมานำทางให้
ลู่เซิ่งใคร่ครวญถึงผลกรรมของเฉินจื่อลัวตลอดทาง และขบคิดว่ารอบนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาถึงได้หมดสติไปหลังจากจุติลงมา
จนกระทั่งทั้งสามเดินไปถึงหน้าคฤหาสน์สูงใหญ่ที่ก่อกำแพงขาวและปูกระเบื้องหลังคาสีดำ ในที่สุดลู่เซิ่งก็เจอคามทรงจำสุดท้ายของเฉินจื่อลัวที่ซ่อนไว้ลึกสุดขีด ความทรงจำที่กระจัดกระจายอยู่นร่างกายและอวัยวะภายในเหล่านั้นถูกเขารวบรวมไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำส่วนหนึ่งที่อ่านได้
‘โรคหัวใจแต่กำเนิดหรือ’ หลังจากลู่เซิ่งได้รับความทรงจำแล้ว เขาก็เกิดความสนใจเล็กน้อย ไม่ได้มีแค่โรคหัวใจเท่านั้น เฉินจื่อลัวยังมีสภาพจิตใจประหลาดชนิดที่ไร้ความต้องการใดๆ และไม่มีความรู้สึกใดๆ ตั้งแต่เกิดด้วย
‘ไม่มีผลกรรม? ไม่มีความปรารถนา?’ เขาอ่านผลกรรมของเฉินจื่อลัวจากในส่วนลึกของเซลล์
นั่นก็คือไม่มีความปรารถนาใดๆ เฉินจื่อลัวคนเดิมเพียงฝึกกระบี่ กินข้าว และนอนหลับไปเรื่อยๆ บนโลกใบนี้เท่านั้น
เขาตอบแทนความคาดหวังของครอบครัว ตอบแทนความคาดหวังของอาจารย์ แต่กลับไม่ได้ตอบแทนความต้องการของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างจืดชืดไร้รสชาติ ไม่มีความหมายใดๆ
พริบตาที่ลู่เซิ่งติดตามหนิงเหมยเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็เงยหน้ามองแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าเหนือศีรษะ
‘ใช้ชีวิตให้พิเศษขึ้น…อย่างนั้นหรือ’
นี่คือความปรารถนาของเฉินจื่อลัว เป็นความยึดติดที่เบาบางมาก และเป็นผลกรรมที่จืดจางยิ่งนัก
ลู่เซิ่งถึงขั้นรู้สึกได้ว่า ต่อให้ตัวเองไม่สะสาง ก็ดูดซับพลังแห่งวิญญาณได้ราวห้าส่วนแล้ว
“คำนับท่านอาจารย์!” เวลานี้หนิงเหมยที่อยู่ด้านหน้าได้ประสานมือคำนับชายชราเคราขาวผู้มีใบหน้าอ่อนโยนคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา รีบคำนับชายชราตาม
“คำนับท่านอาจารย์”
……………………………………….