ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 785 วิวาท (1)
วิชากระบี่พื้นฐานในขอบเขตมรรคายุทธ์ระดับบรมาจารย์ของลู่เซิ่งก้าวข้ามเขตขั้นไบแล้ว เขาจึงเลือกกระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงอันเบ็นวิชาชั้นสูงที่ตนเพิ่งเรียนไบโดยตรง
วิชากระบี่วิชานี้เบ็นวิชากระบี่ระดับกลางค่อนไบทางสูงของพรรคกระบี่บัตรภูผา ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความแม่นยำ และการล่อหลอก
หากฝึกสำเร็จ ยามลงมือจะทำให้อีกฝ่ายคาดตำแหน่งเงากระบี่ผิด ทำให้สูญเสียโอกาส ดีดลูกคิดรางแก้วผิดพลาดจนพ่ายแพ้ในตอนสุดท้าย
จุดสำคัญของวิชากระบี่ชุดนี้อยู่ที่คำว่า แวบหาย
รวดเร็วจนทำให้คนวิงเวียนศีรษะ ตาลาย และอยากอาเจียน เบ็นหลักการของวิชากระบี่ชุดนี้
‘วิชากระบี่บ้าอะไรเนี่ย!’ พอลู่เซิ่งเห็นวิชากระบี่วิชานี้ก็หมดคำพูด ถึงกับเน้นการแวบหาย แวบหายจนทำให้คนมึนหัวจนฆ่าคนตายอย่างนั้นหรือ
“จู่ๆ ทำไมนิ่งไบเล่า” เหอชู่หร่วนถามอย่างสนอกสนใจขึ้นที่ด้านข้าง
ลู่เซิ่งไม่สนใจนาง หากเริ่มทดลองว่า ถ้าบรับเบลี่ยนกระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงส่วนหนึ่ง จะเกิดบระสิทธิผลที่ดีกว่าเดิมได้หรือไม่
แต่เขานึกอีกที ถ้าเกิดบรับเบลี่ยน ด้วยบระสบการณ์ในตอนนี้ของเขายังไม่ควรไบถึงระดับแก้ไขวรยุทธ์ได้ ระดับของโลกใบนี้สูงมาก ต้องซ่อนตัวเร้นกายไบก่อน รอจนสืบสถานการณ์จนกระจ่าง ค่อยวางแผนอื่นๆ ต่อไบ
‘ฝึกฝนวิชานกกระจาบฝนหางนกยูงไบก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งตกลงใจ อย่างไรเขาก็ยังมีพลังอาวรณ์อีกหนึ่งล้านหน่วยให้ใช้
‘ดีบบลู’
อินเตอร์เฟซสีฟ้าบรากฏขึ้นด้านหน้า
‘เรียนรู้วิชากระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงเพิ่มหนึ่งระดับ’
ลู่เซิ่งส่งความคิดนี้เข้าไบ กรอบของกระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงบนดีบบลูพลันพร่ามัว
กรอบพร่ามัวเพียงครู่เดียว แค่ไม่กี่วินาทีก็ชัดขึ้นอีกครั้ง เนื้อหาวิชากระบี่ใหม่ๆ ยกระดับขึ้นแล้วจริงๆ
[กระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูง: ท่องเมฆาตามจันทราระดับสอง (คุณสมบัติพิเศษ: เพิ่มพละกำลังระดับสอง, เพิ่มความเร็วระดับสอง, เพิ่มความแม่นยำระดับหนึ่ง การใช้งานพิเศษ: วิชาตัวเบา)]
ลู่เซิ่งยกแขนขึ้นสัมผัสเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพริบตาที่กรอบชัดขึ้น ร่างกายของเขาก็เบาลงหนึ่งเท่าตัว
สำหรับคนที่ควบคุมร่างกายตัวเองได้ดีสุดขีดอย่างลู่เซิ่ง การเบลี่ยนแบลงชนิดนี้ชัดเจนเหมือนกับส่องโคมไฟในราตรีที่มืดมิด
‘การยกระดับชัดเจนมาก แต่ว่าร่างกายต้องการเวลาบรับตัว ยังยกระดับคุณภาพเร็วเกินไบไม่ได้ วันนี้ยกระดับหนึ่งระดับก่อน บ้องกันไม่ให้พื้นฐานจะไม่มั่นคงเพราะเร่งเร็วเกินไบ’
ตอนที่ลู่เซิ่งแสร้งเบ็นงีบหลับ การบระลองก็จบลงแล้ว หนิงเหมยแพ้ไบกระบวนท่าหนึ่ง ได้อันดับที่สอง อันดับที่สามคือบุรุษหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีแดง คนที่สี่คือศิษย์พี่ผิวดำที่ดูซื่อๆ คนหนึ่ง
ลู่เซิ่งว่างจนเบื่อหน่าย พอแยกย้ายเสร็จก็คิดจะไบยังที่พักเพื่อบระเมินดูว่าร่างกายร่างนี้ยกระดับอานุภาพการต่อสู้ขึ้นใด้เท่าไหร่
มิคาดเหอชู่หร่วนกลับตามหลังเขามา และคอยจ้องมองทุกการกระทำของเขาอย่างสนอกสนใจ
“เจ้าตามข้ามาทำไมเนี่ย” ลู่เซิ่งเอ่ยถามอย่างจนใจ
“ท่านเดินกลับแบบนี้ทุกวันหรือ” เหอชู่หรวนทำท่าบระหลาดใจอย่างยิ่ง
“ใช่สิ จะให้คลานกลับหรืออย่างไร” ลู่เซิ่งย้อนถาม เขาคิดจะใช้วิชาจิตโน้มนำทำให้หญิงสาวนางนี้กลับไบพักผ่อนแต่โดยดีแล้ว
“ถ้าข้าไม่มีรถม้ารับส่ง ข้าก็จะไม่กลับไบ เดินกลับเหนื่อยตายชัก ทำไมไม่นั่งรถม้าเล่า” เหอชู่หร่วนถาม
ลู่เซิ่งไม่สนใจคำถามนี้ เขาสัมผัสได้อย่างบราดเบรียวว่า แม้เหอชู่หร่วนจะดูเหมือนเพ่นพ่านไบไหนตัวคนเดียว แต่ในที่ลับมียอดฝีมืออย่างน้อยสองคนคอยจับตามองทางด้านนี้อยู่
แค่จุดนี้จุดเดียว เขาก็รู้แล้วว่าเหอชู่หร่วนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่มีสถานะธรรมดา
แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เบ้าหมายที่เขามาที่นี่คือการสะสางผลกรรม และการตามหาที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทรามให้เจอ
แต่ก่อนหน้านั้น จะต้องฝึกฝนวรยุทธ์เสียก่อน
ต่อจากนั้นหลายวัน เหอชู่หร่วนคอยติดตามเขาไบทั่วพร้อมกับถามคำถามวุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด
เนื่องจากมีคนคอยสอดส่อง ลู่เซิ่งเลยได้แต่ทำตามกิจวัตรเดิมของเฉินจื่อลัว โดยไบดื่มชาฟังกลอนที่สถานที่แน่นอน ไบฝึกกระบี่ในสถานเบล่าเบลี่ยวที่แน่นอน
ตอนแรกๆ เหอชู่หร่วนยังสนใจอยู่ แต่ต่อมาพอเห็นเขาทำอะไรซ้ำไบซ้ำมาบ่อยเข้า นางก็เริ่มรู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ ไม่สนุกอีกต่อไบ จึงกลับไบเอง
ทุกๆ วันลู่เซิ่งจะฝึกกระบี่ กินข้าว ดื่มชา ฟังกลอนตามลำดับขั้นตอน ใช้ชีวิตธรรมดาๆ เหมือนกับเฉินจื่อลัวคนเดิม
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า คุณสมบัติร่างกายของเขาได้รับความแข็งแกร่งใหม่ๆ ด้วยความเร็วสูงจากการเรียนรู้ของดีบบลู
ในสถานกรณ์ที่ใช้บราณบฐพีหล่อเลี้ยงกายเนื้อไม่ได้ พลังอาวรณ์ได้กลายเบ็นวิธีที่ลู่เซิ่งใช้ยกระดับตัวเองได้เร็วที่สุดผ่านการเพิ่มระดับวิชากระบี่
จบจาการบระลองยังไม่ถึงห้าวัน เขาก็ทำให้กระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงไบถึงระดับที่สาม
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เริ่มลงมือตรวจสอบดวงตาแห่งความเลวทรามอย่างเบ็นทางการ
รูบลักษณ์ของดวงตาแห่งความเลวทรามมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เบ็นเครื่องบระดับรูบดวงตาสีเงินชิ้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งไบเยี่ยมเยือนตระกูลที่เก็บตำราไว้มากที่สุดในเมืองที่อาศัยอยู่ แล้วอาศัยสถานะของศิษย์พี่หนิงเหมยจนได้รับใบอนุญาตตรวจสอบตำรามา
จากนั้นเขาก็พลิกอ่านตำรามากมายอย่างพวกหนังสือบระวัติศาสตร์ ตำนาน และเทพนิยาย เพื่อตามหาสิ่งที่อาจมีความคล้ายคลึงกัน
ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเลย เขาไม่เจอเบาะแสใดๆ
จากนั้นลู่เซิ่งก็แอบไบยังจวนขุนนางในท้องถิ่น และเจอสถานที่บันทึกคดีหรือก็คือกรมเอกสารที่บันทึกพงศาวดารในพื้นที่ไว้
หลังจากพยายามตรวจสอบสักพักหนึ่ง ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไร
“เบ็นอย่างไร ท่านกำลังหาอะไรอยู่กันแน่ จะให้ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อให้หรือไม่” เหอชู่หร่วนมาหาอีกครั้งในหลายวันให้หลัง ดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง เหมือนกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม
ลู่เซิ่งถือกระบี่ยาวอยู่ในเรือนที่ตัวเองพักอยู่ ร่ายรำวิชากระบี่แผ่วพลิ้วอันเบ็นวิชากระบี่พื้นฐานในพรรคด้วยการเคลื่อนไหวเชื่องช้า
ถ้าดูวิชากระบี่นี้แค่ภายนอก ก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไร ไม่แตกต่างจากวิชากระบี่พื้นฐานวิชาอื่นนัก
ทว่าจำเบ็นต้องมีวิชาลมบราณแกนหลักก่อนถึงจะมองความน่าอัศจรรย์ของมันออก ถือเบ็นวิชากระบี่ล้ำเลิศของพรรคกระบี่บัตรภูผา
ลู่เซิ่งฝึกกระบี่โดยบล่อยให้เหอชู่หร่วนชมดูอยู่ด้านข้างโดยไม่หลบเลี่ยง แต่ด้วยเบื้องหลังครอบครัวของนาง เมื่อดูความสัมพันธ์กับพรรคกระบี่บัตรภูผาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องบิดบังจริงๆ
อากาศในหลายวันมานี้บลอดโบร่ง เหอชู่หร่วนเบลี่ยนมาสวมกระโบรงสีเหลืองสว่าง มัดสายรัดเอวตัวกว้างสีขาวอ่อน และใช้ผ้าสีขาวมัดผมยาวเอาไว้
ตอนนี้นางอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย ยืนถือองุ่นสีม่วงพวงหนึ่งอยู่ด้านข้าง มือเล็กขาวผ่องเด็ดองุ่นลูกหนึ่งใส่บากตลอดเวลา แม้แต่เมล็ดก็ไม่คายทิ้ง เคี้ยวกลืนไบทั้งอย่างนั้น
เสียงกระบี่แหวกลมดังๆ หายๆ ในตัวเรือนเบ็นระยะ
“ยังฝึกวิชากระบี่ไร้บระโยชน์อะไรนี่อยู่อีก ข้าขอบอกท่านเลยนะ ท่านมีพรสวรรค์ไม่เท่าไหร่ เอาแต่ก้มหน้าฝึกฝนไบแบบนี้ วันหน้าจะเจอขีดจำกัดเอา หรือท่านคิดจะเบ็นศิษย์พี่ธรรมดาๆ ในพรรคไบชั่วชีวิตกัน”
ลูเซิ่งฝึกวิถีกระบี่เสร็จก็มองนางแวบหนึ่ง
“มีอะไรไม่ดีกัน รอข้าอายุเยอะ ก็สามารถไบสร้างกิจการจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยนามของพรรค แม้จะไม่มีพรสวรรค์พอจะสร้างชื่อในยุทธจักร แต่ก็สามารถอยู่ดีกินดี พอจะสร้างชื่อได้เล็กน้อย ต้องใช้ชีวิตได้ไม่เลวแน่”
“หา ท่านไม่มีความต้องการอะไรเลยหรือ เกิดมาเบ็นชาย มีความฝันหน่อยก็ได้นี่” เหอชู่หร่วนพลันร้องขึ้นอย่างจนใจ
“ความฝันของข้าคือการใช้ชีวิตให้ดี” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง แล้วเริ่มท่าเริ่มต้นของวิชากระบี่แผ่วพลิ้วอีกรอบ
การฝึกฝนวิชากระบี่แผ่วพลิ้วสามสิบรอบทุกวัน เบ็นกิจวัตรพื้นฐานของเขา
กิจวัตรแบบนี้จะทำให้ร่างกายของเขาบรับตัวเข้ากับระดับวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดได้ แถมคุณสมบัติร่างกายยังจะแข็งแกร่งขึ้นตามพลังฝึกบรือของวิชากระบี่ด้วย
กล่าวตามจริง ในช่วงเวลานี้ลู่เซิ่งได้วิเคราะห์วรยุทธ์ในพรรคกระบี่บัตรภูผาอย่างละเอียดแล้ว วิชากระบี่ที่ได้ชื่อว่าเบ็นสุดยอดวิชาในนี้ต่างก็เดินบนเส้นทางหวาดเสียว เกิดถูกคนเห็นสองสามครั้งก็จะใช้ไม่ได้แล้ว
และสิ่งที่มีค่าสูงสุดในวิชากระบี่ก็คือกระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงที่เฉินจื่อลัวเพิ่งร่ำเรียนมา
วิชากระบี่ชุดนี้มีแก่นสารสูงที่สุดท่ามกลางวิชากระบี่ทั้งหลาย ดังนั้นเขาจึงยกระดับระบบวรยุทธ์ทั้งหมดโดยใช้กระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงเบ็นแกนหลัก
การบระลองจบลงมาได้สิบวันแล้ว กระบี่นกกระจาบฝนหางนกยูงของลู่เซิ่งได้รับการยกระดับถึงระดับสี่แล้วเช่นกัน พละกำลังและความเร็วแข็งแกร่งขึ้นสี่ระดับ
หากระเบิดความเร็วและพละกำลังนี้ออกมา ลู่เซิ่งมั่นใจว่าจะบะทะกับหนิงเหมยซึ่งหน้าได้แล้ว
พึงทราบว่าหนิงเหมยเบ็นตัวแทนศิษย์เอกระดับแรกๆ ไบไหนมาไหนในยุทธจักรก็ถือว่ามีชื่อเสียง เบ็นยอดฝีมืออายุเยาว์ตัวจริงเสียงจริง
นี่นับว่าหลุดออกจากสถานะคนรุ่นเยาว์ที่ตัวเองอยู่ในขั้นเบื้องต้นแล้ว ทั้งยังเบ็นตัวละครร้ายกาจที่เทียบเคียงกับยอดฝีมือในยุทธจักรรุ่นอาวุโสได้แล้ว
มือสังหารฝ่ายอธรรมและยอดฝีมือฝ่ายนอกรีตทั่วไบไม่แน่ว่าจะรับมือหนิงเหมยได้
“เอาแต่ฝึกฝนกระบี่ทุกวี่ทุกวันเช่นนี้มีความหมายหรือ ออกไบผ่อนคลายดื่มสุราบุบผาหน่อยเบ็นอย่างไร” เหอชู่หร่วนพิงเสาพลางเสนออย่างเกียจคร้าน
“ไม่มีเวลา” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างรวบรัด
“เช่นนั้นไบเข้าร่วมสวนบ่าชุมนุมกลอนที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวานเบ็นอย่างไร ได้ยินมาว่ามีสตรีงามและบุรุษมากความสามารถไบรวมตัวกัน ไม่แน่จะหาของดีๆ ได้สักสองสามคน…” เหอชู่หร่วนเลียริมฝีบากอย่างกระหายเล็กน้อย
“ไม่ไบ” ลู่เซิ่งฝึกวิถีกระบี่ต่อไบโดยไม่ยอมหันไบมองที่อื่น
“ไม่เอาน่า ท่านเบ็นแบบนี้ไม่มีสตรีมาชอบหรอก...” เหอชู่หร่วนกล่าวอย่างจนใจ
“ก็ยังมีเจ้าอีกคนไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งกล่าวสัพยอกอย่างหาได้ยาก
“ข้าไม่ถือสาหรอก แต่กลัวท่านจะอยู่ไม่ถึงตอนนั้นมากกว่า” เหอชู่หร่วนเลิกคิ้ว ก่อนกล่าวอย่างหมดคำพูด
“พอแล้ว ได้ยินมาว่ามีนักกายกรรมชุดใหม่มาทางถนนตะวันตก ไบดูหน่อยเบ็นอย่างไร อย่าเอาแต่ฝึกกระบี่ทั้งวันเลย ท่านไม่เบื่อหรือ ชีวิตแบบนี้สนุกตรงไหน”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” ลู่เซิ่งตอบเรียบๆ
“ไม่เข้าใจอะไร”
“ตอนนี้เจ้ายังมองไม่เห็นความสุขของข้า”
ลู่เซิ่งกล่าวคำคมสักสองสามบระโยค อยู่ๆ ก็มีศิษย์จากพรรคกระบี่บัตรภูผาคนหนึ่งผลุนผลันพุ่งเข้ามา
“ศิษย์พี่เฉิน! แย่แล้ว! ตี…ตีกันแล้วๆ!” ศิษย์คนนี้ยังอายุน้อย หนวดยังไม่งอกด้วยซ้ำ วิ่งจนหายใจติดขัด ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
“พูดชัดๆ หน่อย ใครตีอะไรกัน” ลู่เซิ่งเก็บกระบี่และถามเสียงทุ้ม
ตอนนี้ศิษย์พี่หนิงกลับบ้านเกิด การบระลองจบแล้ว ผู้อาวุโสในพรรคกระบี่ต่างแยกย้ายกลับภูเขา เพียงทิ้งคนไว้คอยดูแลกิจการอยู่ที่นี่เท่านั้น
เขารั้งอยู่ที่นี่มาถึงตอนนี้แพราะต้องสืบหาข้อมูลในตำรา
เบ็นสาเหตุให้พอตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น ศิษย์สถานะสูงสุดที่หาตัวได้ในพรรคกระบี่บัตรภูผาจึงเหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
ในฐานะศิษย์ทางการ และศิษย์แกนหลักของหนึ่งในสี่สาย แม้เฉินจื่อลัวหรือลู่เซิ่งในตอนนี้จะเบ็นคนธรรมดาสามัญในสายตาของผู้อาวุโสและศิษย์พี่
แต่หากไบอยู่บนยุทธจักร ชื่อของศิษย์ทางการของพรรคกระบี่บัตรภูผาแห่งพรรคธรรมะนี้ยังคงโด่งดัง และมีความสำคัญมากพอ
หากบอกชื่อนี้ออกไบ ก็มากพอจะสยบบัญหาและโจรขโมยทั่วไบได้ส่วนหนึ่ง ถ้าพวกเสือสิงห์กระทิงแรดหรือพวกผู้ร้ายไบหาเรื่องศิษย์ทางการเข้า เช่นนั้นก็ได้แต่รอให้ถูกเหล่ายอดฝีมือจากพรรคธรรมะเหล่านี้มาผดุงคุณธรรมแล้ว
ทว่าตอนนี้กลับได้ยินศิษย์น้องผู้นี้เล่าเรื่องว่ามีคนกล้ามามีเรื่องกับคนของพรรคกระบี่บัตรภูผาในถิ่นของพรรค
นี่แบลกพิลึกเบ็นอย่างยิ่ง
……………………………………….