ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 786 วิวาท (2)
ลู่เซิ่งมองเหอชู่หร่วนแวบหนึ่ง
“เจ้ารออยู่นี่ก่อน ข้าไปจัดการธุระก่อนเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“ไปเถิดๆ” เหอชู่หร่วนคร้านจะวิ่งไปทั่ว นางพบเห็นเรื่องเช่นนี้มามากมาย ก็แค่ไปพูดคุยกันอย่างเกรงอกเกรงใจกันสักสองสามประโยค ต่างฝ่ายต่างวางมาด แสดงจำนวนคนและเส้นสายหนุนหลังสักหน่อย หากใครมีอำนาจมากกว่า จำนวนเยอะกว่าและเส้นสายดีกว่า เช่นนั้นก็จะกดดันให้อีกฝ่ายก้มหน้ายอมแพ้ได้
สาเหตุที่พรรคธรรมะและอธรรมอยู่อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวมาได้เนิ่นนานบนยุทธจักรแห่งนี้ หรือบู๊ลิ้มแห่งนี้ ก็เพราะอาศัยกฎลับที่ไม่มีการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรเหล่านี้นี่เอง
เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอยู่ในยุทธภพ ถ้าเกิดประหัตประการกันทุกครั้งที่เจอกัน ศิษย์แต่ละสำนักคงมีไม่พอใช้
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างขว้างมุสิกกลัวภาชนะเสียหาย[1] อย่างนั้นการยอมถอยคนละก้าว เพื่อให้เรื่องจบๆ ไปจึงเป็นทางแก้ไข
หลังจากคุ้นเคยกับแบบแผนพฤติการณ์นี้แล้ว ลู่เซิ่งก็เร่งรุดไปโดยพกพาความคิดนี้ไปด้วย คิดจะอาศัยสถานะกับจำนวนคนพูดคุยข้อเท็จจริงกับเหตุผล
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายธรรมะ เมื่อเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ทุกฝ่ายต่างก็อึดอัดใจ การใช้กำลังไม่ใช่ทางออกทางเดียว ทุกคนอยู่อาศัยร่วมกัน ขอแค่เห็นแก่หน้ากัน พาดบันไดให้กันลง และประนีประนอมกันได้ก็พอ
ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องไร้สาระของพรรคกระบี่บรรณภูผา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่มีสถานะสูงสุดในบริเวณนี้ ลู่เซิ่งถึงขั้นไม่อยากไปรับชมความสนุกด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว ในเมื่อคนมาหาถึงที่ ก็ต้องไปรับมือสักหน่อย
เขาเดินตามศิษย์น้องที่นำทางไปพลาง ส่งเสียงแหลมสูงเหมือนกับเสียงผิวปากไปพลาง เพื่อแจ้งศิษย์สำนักรอบนอกที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ดังนั้นในตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง รอบตัวลู่เซิ่งจึงมีศิษย์รอบนอกอย่างน้อยยี่สิบกว่าคนมารวมตัวกัน ต่างก็พกกระบี่และสวมชุดสีเทาอ่อนเหมือนกันหมด คนเดินถนนยังต้องหลีกทางให้
เพียงแต่สิ่งที่ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงก็คือ เมื่อเขาไปถึงจุดเกิดเหตุ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
…
ณ โรงสุราเขียวขจี
ด้านในโรงสุราเละเทะอลหม่าน โต๊ะเก้าอี้ล้มกับพื้น ขาเก้าอี้บางส่วนถูกคนถือไว้ในมือ ไหสุราถูกทุบแหลกจนชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว
คนสามคนของพรรคกระบี่บรรณภูผาคุ้มครองสตรีสวมอาภรณ์เหลืองสองคนไว้ พร้อมกับจ้องมองคนสวมอาภรณ์สีเขียวหลายคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“ถึงกับมีคนกล้าข่มเหงสตรีกลางวันแสกๆ หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่เป็นถิ่นของพรรคกระบี่บรรณภูผาของพวกเรา!?”
บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำทางฝั่งพรรคกระบี่บรรณภูผาแซ่ซุน นามเจาเหอ ซุนเจาเหอเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเขตถนนเขตนี้ ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมกิจการที่พรรควางตัวเขาไว้ที่นี่
ปกติเขาไม่คิดออกหน้าจัดการเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเหล่านี้ ทว่าครั้งนี้แม้แต่หลานของเขาก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องออกหน้า ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นแก่หน้าเขา ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว
มิคาดว่าอีกฝั่งไม่สนความเกรงใจของเขาแม้แต่น้อย
ในเมื่อพวกเขาไม่เกรงใจ เช่นนั้นก็อย่าโทษเขาไม่เกรงใจเลย ซุนเจาเหอจับด้ามกระบี่ที่เอวเอาไว้ พร้อมจะลงมือตลอดเวลา
คนสวมอาภรณ์เขียวเหล่านั้นหัวเราะเสียงเย็น
“อย่าว่าแต่พรรคกระบี่บรรณภูผาของพวกเจ้าเลย ต่อให้เป็นพันธมิตรเจ็ดขุนเขาแล้วอย่างไร พวกเราลัทธิอสรพิษดำตามสืบโจรขโมย นังผู้หญิงสองคนนี้ขโมยของล้ำค่าไปจากลัทธิเรา พวกเราต้องการให้พวกนางเอาของคืนมา! แต่พวกเจ้ากลับแส่หาเรื่อง นี่กำลังช่วยคนผิดหรืออย่างไร”
“พูดจาเหลวไหล!” หญิงสาวสวมอาภรณ์เหลืองคนหนึ่งน้ำตาคลอเอ่ยด้วยเสียงโกรธแค้น “นั่นเป็นสมบัติของตระกูลเราชัดๆ! พวกเจ้า…พวกเจ้าถึงกับ!?”
หญิงงามอีกคนร้องไห้อยู่ด้านข้าง ชวนให้รู้สึกสงสาร
“นังนี่เสแสร้งได้เก่งนัก!” คนสวมอาภรณ์เขียวผู้นั้นโมโห ก่อนจะโบกมือใหญ่ “จัดการเลย!”
อีกสองคนที่เหลือโถมตัวพุ่งเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ซุนเจาเหอไม่เคยได้ยินชื่อลัทธิอสรพิษดำมาก่อน นึกว่าเป็นลัทธิธรรมดา ที่แท้อีกฝ่ายก็พอมีวิชา จึงนำศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนชักกระบี่บุกเข้าใส่ ใช้วิชากระบี่อาญาหยกปะทะกับคนสวมอาภรณ์เขียวผู้นั้นทันที
ด้านนอกประตูมีคนของพรรคกระบี่บรรณภูผาเห็นเข้า จึงรีบวิ่งแจ้นออกไปแจ้งศิษย์พี่ศิษย์น้องในพรรคทันที
“พวกมันมีคนเยอะ รีบเชิญพระธรรมบาลมา!” คนสวมอาภรณ์เขียวที่เป็นผู้นำกล่าวเสียงเฉียบขาด
คนคนหนึ่งในกลุ่มคนสวมอาภรณ์เขียวเห็นดังนั้นก็แอบปล่อยเส้นสีเขียวสายหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เส้นสีเขียวคืบคลานออกมาจากข้างใต้เท้าก่อนจะหายแวบไปดุจสายฟ้าฟาด แสดงให้เห็นว่าไปแจ้งพวกเดียวกันเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองฝ่ายสู้กันเสียงดังวุ่นวาย วิชากระบี่หยกอาญาเดินบนเส้นทางแผ่วพลิ้วที่พรรคกระบี่บรรณภูผาถนัด คล่องแคล่วรวดเร็ว กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์
คนสวมอาภรณ์เขียวถือดาบโค้งรุกถอยอย่างมีจังหวะ รอบตัวกลายเป็นเหมือนเม่น ไม่ว่าจะตั้งรับหรือรุกดาบโจมตี ล้วนหนักแน่นทรงพลัง รุกถอยอย่างอิสระเสรี
สู้ไปสู้มา คนที่เหลือต่างถูกการต่อสู้ของผู้นำทั้งสองบีบบังคับให้หยุดชั่วคราว ในกฎของยุทธจักร การต่อสู้ของยอดฝีมือที่ถูกเรียกเป็นมือดีได้อย่างพวกเขาสองคน สามารถตัดสินผลแพ้ชนะของการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ได้เลย
ซุนเจาเหอกับผู้นำสวมอาภรณ์เขียวสามารถรับมือชายฉกรรจ์ห้าหกคนได้สบายๆ
กล่าวได้ว่าพวกเขามีพลังต่อสู้ในระดับตัดสินผลลัพธ์ ผลแพ้ชนะระหว่างทั้งสองจะส่งผลต่อเหตุการณ์ทั้งหมด
รอสักพัก
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
เกิดเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง คนสวมอาภรณ์เขียวฟันใส่กระบี่ยาวของซุนเจาเหอสามดาบติดต่อกัน
คมกระบี่หักกระเด็นออกไป ซุนเจาเหอหน้าเหยเก ถอยหลังไปหลายก้าว เลือดไหลออกมาจากมุมปาก เขาพ่ายแพ้ไปกระบวนท่าหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากันเท่าไร
คนสวมอาภรณ์เขียวหัวเราะ แต่ก็กระอักไอออกมาทันที ทรวงอกเขามีรอยกระบี่เพิ่มมาสามรอย แม้จะไม่ลึก แต่ก็ทำให้ชีพจรปอดของเขาเสียหาย
“พรรคกระบี่บรรณภูผาก็เท่านี้! ฮ่าๆๆๆ!”
ซุนเจาเหอได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เขียวคล้ำอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หนูรนหาที่ตาย! จัดการซะ!” เขาโบกมือใหญ่
หลายคนที่อยู่ด้านหลังที่ต่างอดกลั้นไม่ไหวมาตั้งแต่ต้นพากันชักกระบี่ แล้วพุ่งเข้าใส่คนสวมอาภรณ์เขียวด้วยแววตาโกรธแค้น
ด้านนอกประตูมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ถือดาบมายืนอออยู่เมื่อไรก็ไม่ทราบ พอได้ยินดังนั้น พวกเขาก็พุ่งเข้าประตูเหมือนฝูงผึ้ง
“บังอาจหยามพรรคกระบี่บรรณภูผา ฟันมันให้ตายเสีย!” ซุนเจาเหอตะโกน
ครั้งนี้คนสวมอาภรณ์เขียวสามคนลนลานแล้ว คนมากมายขนาดนี้ มองดูคร่าวๆ ก็มีคนสามสิบสี่สิบคนแล้ว หนำซ้ำยังมาอยู่ในพื้นที่คับแคบเช่นนี้อีก หากอีกฝ่ายคิดสังหารเข้าจริง พวกเขาก็อย่าได้คิดหนีรอดจากที่นี่เลย
“วาจาสามหาวนัก!”
ในตอนนี้เอง มีเงาร่างสีเขียวสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากช่องว่างระหว่างฝูงชนดุจพายุ แล้วกระแทกฝ่ามือใส่ทรวงอกคนห้าหกคนราวกับสายฟ้าฟาด
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
ทั้งห้าคนกลายเป็นน้ำเต้ากลิ้งหลุนๆ กระเด็นออกไป บนพื้น ก่อนจะกระอักเลือดออกมาและสลบเหมือดไปทันที
พลันสะกดชายฉกรรจ์จากพรรคกระบี่บรรณภูผาทั้งหมดได้อยู่หมัด ซุนเจาเหอสีหน้าแปรเปลี่ยน ตอนนี้พอมองไปด้านหลังอีกครั้ง หญิงสาวสวมอาภรณ์เหลืองสองคนนั้นหายไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ
ทว่าตอนนี้เลือดขึ้นหน้าแล้ว ไม่อาจแยกย้ายได้อีก
ซู่!
จู่ๆ เงาคนสีเขียวที่อยู่ด้านหลังก็ลอยตัวมาตรงหน้าซุนเจาเหอราวกับภูตพราย
ซุนเจาเหอตื่นตระหนก ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ รีบใช้วิชากระบี่หยกอาญาออกไปด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
เกิดเสียงดังสามครั้ง ปลายกระบี่ถูกอีกฝ่ายป้องกันได้อย่างง่ายดาย
กร๊อบ
เกิดเสียงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย กระบี่เล่มใหม่ที่ซุนเจาเหอเพิ่งเปลี่ยนหักกระเด็นไปเสียบกับขื่อไม้
“กระบี่เร็วของพรรคกระบี่บรรณภูผาก็มีดีเท่านี้เอง” เงาคนสีเขียวแค่นเสียง แล้วกระแทกฝ่ามือขวาใส่หน้าอกซ้ายของซุนเจาเหอดุจสายฟ้าแลบ
จู่ๆ ก็มีเสียงแหวกลมแหลมคมดังมาจากประตูใหญ่
ฟ้าว!
ประกายสีเงินสายหนึ่งวาดผ่านดุจสายฟ้าฟาด แล้วแทงใส่หลังมือของเงาคนสีเขียวอย่างแผ่วยำดังฉึก
อ๊าก!
คนผู้นี้ร้องโหยหวน ถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับกุมมือขวาไว้
“มือข้า! บัดซบ!”
เวลานี้มีคนสองคนเดินเข้ามาจากนอกประตู เป็นคนหนุ่มที่สวมเครื่องแบบศิษย์พรรคกระบี่บรรณภูผา
คนหนุ่มที่เป็นผู้นำแสดงสีหน้าเกียจคร้าน หยีตาเล็กน้อย ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวไปตามลม ถือฝักกระบี่เปล่าในมือ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขว้างกระบี่เมื่อครู่ออกมา
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด พูดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่” ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้ากระบี่ยาวของตัวเองที่เสียบติดกำแพงอยู่ แล้วเอื้อมมือไปชักออกมามาเบาๆ
“เจ้า!” เงาคนสีเขียวจ้องมองลู่เซิ่งอย่างโกรธแค้น สายตากินเลือดกินเนื้อ
“ศิษย์พี่เฉิน!” ซุนเจาเหออายุมากแล้ว ทว่าเวลานี้พอเห็นลู่เซิ่งปรากฏกตัว ก็รู้สึกขอบตาร้อนผะผ่าว เมื่อครู่เขาไปวนรอบประตูนรกมารอบหนึ่ง เกือบจะถูกฆ่าตายคาที่แล้ว
ลู่เซิ่งกวาดตามองเขาและศิษย์รอบนอกที่เผยสีหน้าตื่นตัวขึ้นมา
พลังของคนเหล่านี้ไม่ได้ดีเด่นนัก ต่อให้ไม่ใช่เขามา เป็นแค่เฉินจื่อลัวคนเดิม ก็จัดการคนสิบกว่าคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
ศิษย์ทางการเป็นผู้เข้มแข็งระดับกระแสหลักของยุทธจักรตัวจริงเสียงจริง แต่คนเหล่านี้ได้แต่ถือเป็นแค่นักเลงธรรมดาเท่านั้น
มองดูคนสวมอาภรณ์เขียวสี่คนที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ต่างคนต่างเกร็งร่างเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
“ข้าไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเจ้า บังอาจมาก่อเรื่องในถิ่นของพรรคกระบี่บรรณภูผา ทุกคนทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่งแล้วไสหัวไปซะ ข้าจะถือว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
เขาเผยสีหน้าเรียบเฉย แต่วาจาที่กล่าวออกมากลับทำให้คนที่อยู่อีกฝั่งเนื้อตัวเย็นเฉียบ
สำหรับจอมยุทธ์ หากเสียแขนไปข้างหนึ่ง เช่นนั้นก็แทบจะเป็นการทำลายมรรคายุทธ์ชั่วชีวิตของพวกเขาทีเดียว โทษทัณฑ์นี้ดีกว่าการฆ่าพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าตอนนี้พอมองดูคนที่อยู่รอบข้างและลู่เซิ่งที่อยู่ห่างออกไปโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นอยู่ เหงื่อกาฬของพวกเขาก็หลั่งไหลออกมา
“นายท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดจริงๆ หรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวที่กุมมือเอ่ยเสียงเย็น
“หรือเจ้าจะเลือกรับหนึ่งกระบี่ของข้าก็ได้ ถ้าไม่ตายข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” ลู่เซิ่งมองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล น้อยครั้งที่เขาจะพูดด้วยดีๆ แบบนี้ อีกฝ่ายกลับไม่รับบุญคุณเขา
ในกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่ง คนที่โผล่มาทีหลังผู้นั้นมีความสามารถนิดหน่อย กระนั้นอย่าว่าแต่เทียบกับลู่เซิ่งเลย แม้จะเทียบกับเฉินจื่อลัว เขาก็ยังด้อยกว่าไปขั้นหนึ่ง
“ท่าน!” คนผู้นั้นเหงื่อแตกเต็มศีรษะ “ท่าน…ประเสริฐนัก! ลัทธิอสรพิษดำของข้าจดจำท่านไว้แล้ว!”
“ลัทธิอสรพิษดำหรือ ถ้าในลัทธิพวกเจ้ามีแค่ระดับเท่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“วาจาโอหังนัก!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกลมทึบหนักดังมาจากนอกหน้าต่าง
เปรี้ยง!
หน้าต่างถูกเงาสีเทาชนแตก พระภิกษุร่างบึกบึนห่มจีวรสีเทาและถือไม้เท้าพระธรรมรูปหนึ่งทิ้งตัวลงตรงหน้าคนจากลัทธิอสรพิษดำพร้อมกับเสียงแหวกลมทุ้มหนัก
“อาจารย์อา!”
“พระอาจารย์!”
“ธรรมบาลมาถึงแล้ว!”
แม้พวกคนสวมอาภรณ์เขียวจะเรียกไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนต่างเผยสีหน้าลิงโลด
เปรี้ยง!
ไม้เท้าพระธรรมสีดำอันหนักอึ้งถูกกระแทกปักเข้าไปในพื้น
พระภิกษุพนมมือ กล้ามเนื้อท่อนบนที่กำยำขยับเล็กน้อยเหมือนกับมีลูกหนูตัวน้อยวิ่งอยู่
“อาตมาเต้าเซ่อ ขอคำนับประสก”
……………………………………….
[1] ขว้างมุสิกกลัวภาชนะเสียหาย เป็นสำนวนจีนใช้อุปมาถึงการอยากกำจัดศัตรูแต่ก็กลัวของๆ ตนจะเสียหาย