ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 787 ขีดจำกัด (1)
“เต้าเซ่อ? พระอาจารย์ภูษาแดงหรือ” ซุนเจาเหอที่อยู่ด้านข้างลู่เซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบแนะนำกับลู่เซิ่งเบาๆ
พระอาจารย์ภูษาแดงเต้าเซ่อมีอานุภาพวัชระทรงพลังน่าเกรงขาม กล่าวได้ว่าเป็นภิกษุฆ่าคนที่มีชื่อเสียงบนยุทธจักร เคยก่อคดีฆ่าล้างตระกูลที่โด่งดังขนาดที่คนในยุทธจักรที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ยังต้องตกตะลึงเมื่อได้ยิน ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะเขาขาดค่าใช้จ่ายในการเดินทางชั่วคราว
“ลัทธิอสรพิษดำ? พระอาจารย์ภูษาแดงหรือ” ในที่สุดดวงตาที่หรี่เล็กของลู่เซิ่งก็ค่อยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
“พวกเจ้าว่างหรือ เหตุใดจึงมาทำอะไรในเขตพรรคกระบี่บรรณภูผาของข้า” ตอนแรกเขาคิดจะฆ่าไปให้จบเรื่อง แต่ตามกฎของยุทธจักร การก่อให้เกิดศึกขนาดใหญ่เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับทุกค่ายพรรค
“ลัทธิของอาตมามีสมบัติสูญหาย ดังนั้นจึงไล่ล่าโจรมาถึงที่นี่ และเกิดความขัดแย้งกับสำนักของโยมโดยไม่ได้ตั้งใจ ต้องขออภัยด้วย ความเสียหายทั้งหมดที่ก่อขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเรายินดีชดใช้ให้”
พระอาจารย์ภูษาแดงไม่ได้อำมหิตเช่นในข่าวลือ กลับชวนให้คนรู้สึกว่าสุภาพมีมารยาทมากกว่า
ตอนแรกลู่เซิ่งคิดหาข้ออ้างทำให้อีกฝ่ายพิการบางจุด แต่พออีกฝ่ายกล่าววาจาเกรงใจแบบนี้ เขาก็หาเรื่องไม่ได้อีก
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะมีความจริงใจมากพอ”
เวลานี้ด้านนอกประตูมีคนสองคนจับหญิงสาวสวมอาภรณ์เหลืองสองคนเดินเข้ามา
“ศิษย์พี่เฉิน นี่เป็นสตรีสองนางที่เพิ่งจับตัวได้ขอรับ” ศิษย์ของพรรคกระบี่บรรณภูผาคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม “ข้าเห็นพวกนางกำลังจะหลบหนี จึงถือโอกาสจับตัวมาส่ง”
ขณะพูดเขาก็อดมองรูปร่างส่วนโค้งส่วนเว้าของหญิงสาวทั้งสองนางไม่ได้ ตอนจับมาเมื่อครู่ เขาต้องอดกลั้นไม่ยอมเอาเปรียบอย่างยากลำบากทีเดียว
“นังแพศยา!” พอบุรุษอาภรณ์เขียวที่อยู่ใกล้พระอาจารย์ภูษาแดงเห็นคนถูกจับมาถึง ก็อดโมโหเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงแพศยาสองนางนี้ เขาคงไม่ต้องดั้นด้นเป็นพันลี้มาถึงที่นี่ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือขวาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกต่างหาก
“พวกนางคือคนที่พวกเจ้าต้องการจับตัวหรือ” ลู่เซิ่งมองสตรีสองนางแวบหนึ่ง พวกนางถูกมัดด้วยเชือกหนา ปากถูกยัดผ้าใส่ไว้จนพูดไม่ออก
“ถูกต้อง” ครั้นพระอาจารย์ภูษาแดงเห็นคนถูกจับมาถึงก็พลันโล่งอก
ฉึกๆ!
ประกายสีเงินสายหนึ่งวาววับขึ้น ละอองเลือดสองกลุ่มกระจายออกมา
ลู่เซิ่งค่อยชักกระบี่กลับ และเช็ดเลือดที่เหลือบนปลายกระบี่ออก
“ใช้ประโยชน์จากความสงสารของคนอื่น ก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างพรรคด้วยเจตนาร้าย สมควรตาย”
หญิงงามสองนางบนพื้นเบิกตากว้าง มือจับคอที่ถูกฟันจนเปิดออกไว้แน่น ก่อนจะนอนดีดดิ้นกับพื้นสองสามทีโดยพูดอะไรไม่ออก จากนั้นไม่นานก็หยุดเคลื่อนไหว เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้น
“ตอนนี้พวกเจ้าพาคนไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทุกคนต่างตะลึงงัน
ไม่ว่าจะเป็นคนของลัทธิอสรพิษดำหรือคนของพรรคกระบี่บรรณภูผา ต่างไม่มีใครคาดคิดว่าลู่เซิ่งจะลงมืออำมหิตปานนี้
ชีวิตคนถึงสองชีวิตนึกจะฆ่าก็ฆ่าทันที แม้สตรีสองนางนี้จะตั้งใจใช้คนอื่นเป็นโล่กำบังจริงๆ ทว่า…
ในตอนที่มองลู่เซิ่งมีสีหน้าราบเรียบอีกครั้ง คนของลัทธิอสรพิษดำรู้สึกร่างเย็นเฉียบ พรรคธรรมะลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าคนจากลัทธินอกรีตเช่นพวกเขาเสียอีก
พระอาจารย์ภูษาแดงพบเจอเรื่องราวมามากมาย เพียงแปลกใจกับความอำมิตของลู่เซิ่งเล็กน้อยเท่านั้น คนในพรรคธรรมะที่ลงมือได้เหี้ยมเกรียมขนาดนี้มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เขาโบกมือ ทองแท่งกลุ่มหนึ่งลอยเข้าหาลู่เซิ่งพร้อมเสียงแหวกลมทุ้มหนัก
กริ้ง!
ลู่เซิ่งยกปลายกระบี่ขึ้น พริบตาเดียวก็ผ่าทองแท่งออกเป็นหลายก้อน
ก้อนหนึ่งตกลงด้านหน้าเจ้าของร้านที่อยู่ด้านหลังโต๊ะตัวยาวไกลออกไป ก้อนหนึ่งตกลงในมือซุนเจาเหอ ส่วนอีกก้อนเขาเป็นคนรับไว้อย่างสบายๆ
“นี่คือของชดเชยสินะ พวกเจ้าไปได้แล้ว”
พระอาจารย์ภูษาแดงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วพาคนออกจากโรงสุราไป ทองในยุคสมัยนี้มีค่าเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะชดเชยค่ายารักษาและโรงสุราที่เสียหายได้แล้ว แท่งทองพวกนั้นยังมีเหลืออีกส่วนหนึ่ง มากพอเป็นของขวัญชดเชยให้แก่พวกเขาได้แล้ว
ก่อนจะไป พระอาจารย์ภูษาแดงที่อยู่บนถนนนอกประตูอดมองลู่เซิ่งอีกครั้งไม่ได้
“คนผู้นั้นมีวิชากระบี่เฉียบขาด ลงมือไม่ปรานี ภายหลังถ้าไม่มีความจำเป็น เห็นเขาแล้วให้พยายามหลบเลี่ยง” เขากำชับแผ่วเบา
“ขอรับ!” แม้จะไม่ยินยอม แต่คนของลัทธิอสรพิษดำที่เหลือต่างก้มหน้าขานรับ เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่พระอาจารย์ลงมือ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ได้อยู่เห็นดวงตะวันของวันพรุ่งนี้แล้ว
รอจนคนทั้งหมดจากไป
ลู่เซิ่งสั่งให้คนจัดการรอยเลือดบนพื้น จากนั้นก็โยนเรื่องหยุมหยิมให้ซุนเจาเหอจัดการ ก่อนจะกลับไปฝึก กระบี่ต่อ
เพียงแต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชื่อของเขาได้ถูกคนในยุทธจักรที่คอยสังเกตการณ์อยู่โดยรอบขุดคุ้ยออกมา
เฉินจื่อลัวแห่งพรรคกระบี่บรรณภูผา คุมเชิงกับพระอาจารย์ภูษาแดงโดยไม่ตกเป็นรอง แทงฝ่ามือ คนของลัทธิอสรพิษดำจนทะลุ ทั้งยังใจคออำมหิต สังหารโจรโฉมงามต่อหน้าลัทธิอสรพิษดำ
บนยุทธจักรจึงเริ่มมีชื่อของเขาแพร่หลาย
ลู่เซิ่งกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ยังคงฝึกฝนวิชากระบี่ต่อไป
เขาเริ่มรู้สึกว่า กระบี่นกกระจาบเมฆาหางยกยูงเหมือนจะไม่ได้รวบรัดตามความคิดของเขาในตอนนี้ แก่นแท้ของมันยังขยายไปยังระดับที่สูงกว่าเดิมได้อีก
นอกจากนั้นเนื่องจากวิชากระบี่บนโลกใบนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบพลังงานใดๆ ทำให้เขาเพียงแค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ก็นำมาหลอมรวมเข้ากับระบบมรรคายุทธ์ของตัวเองได้ทันที
…
เวลาล่วงเลยผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองเดือนกว่า ที่โลกมารสวรรค์คือหกถึงเจ็ดวัน
ลู่เซิ่งฝึกฝนกระบี่อย่างหนัก ในที่สุดก็ฝึกฝนกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงจนสำเร็จ ไปถึงขอบเขตระดับที่สิบสามแล้ว
ในประวัติศาสตร์ของพรรคกระบี่บรรณภูผาไม่เคยมีใครฝึกฝนวิชากระบี่วิชานี้ไปถึงระดับที่สิบสาม อันเป็นระดับสูงสุดเร็วถึงเพียงนี้มาก่อน
บูรพาจารย์ยอดฝีมือที่มีชื่อมีแซ่ในพรรคหลายคนต่างก็ใช้มันเป็นทางผ่าน พอถึงระดับที่ห้าก็จะเปลี่ยนไปฝึก เข็มบรรณภูผาสะกดสุริยาอันเป็นสุดยอดวิชาประจำพรรคแทน
นั่นคือสุดยอดวิชาที่แท้จริงที่พรรคกระบี่บรรณภูผาใช้สั่นสะเทือนยุทธจักร ได้ชื่อว่าสะบั้นเงาไม่หวนกลับ ความหมายคือวิชากระบี่นี้รวดเร็วจนไม่มีเงา แม้แต่แสงก็ทอทาบฉายเงาไม่ทัน
แน่นอนว่านี่เป็นความหมายที่ยกยอจนเกินจริง
ทว่าหลังจากลู่เซิ่งทำความเข้าใจสุดยอดวิชานี้เล็กน้อย ก็ไม่สนใจอีก แม้สุดยอดวิชานี้จะร้ายกาจ ทว่าเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่สร้างขึ้นเพื่อโจมตีจุดอ่อนบนร่างกายมนุษย์ แตกต่างกับกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงตรงที่มีอานุภาพในระดับต่ำกว่าก็จริง แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่อาจเอาไปใช้ในการต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่านั้นได้
กลับเป็นกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงที่ทำให้เขาค่อนข้างสนใจ แนวคิดที่ขยายไปยังช่วงหลังๆ ของวิชากระบี่นี้มีความน่าสนใจอยู่บ้าง
หลังจากถึงขอบเขตระดับสิบสาม พลังของลู่เซิ่งก็ไปถึงระดับของตู้เฟิงจื่อผู้เป็นอาจารย์ เข้าใกล้ลำดับแรกๆ ของยุทธจักรแล้ว
นี่มาถึงขีดจำกัดของกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงแล้ว ต่อให้จะฝึกวิชานี้จนช่ำชองและแข็งแกร่งกว่าเดิม อานุภาพก็จะยังคงมีเท่าเดิม
คำพูดที่ขอบเขตใดๆ หากสูงมากพอ ต่อให้เป็นกระบวนท่าธรรมดาก็สร้างอานุภาพของสุดยอดวรยุทธ์ได้ทั้งนั้น เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ
ให้ธนูท่านคันหนึ่ง ต่อให้ท่านมีแรงเยอะหรือมีขอบเขตสูงขนาดไหน แต่จะสร้างอานุภาพเหมือนปืนสไนเปอร์ได้หรือไง
เพิ่งจะฝึกฝนถึงขั้นนี้ได้ไม่นาน ก็มีข่าวส่งมาจากโลกภายนอกว่า พันธมิตรเจ็ดขุนเขาจัดงานชุมนุมขึ้น ตู้เฟิงจื่อกับหนิงเหมยติดตามเจ้าสำนักไปยังเขาล้อมเมฆา อันเป็นที่จัดงานชุมนุมของพันธมิตรเจ็ดขุนเขา
ลู่เซิ่งค้นหาอยู่นาน ยังไม่ได้เบาะแส เลยถือโอกาสกลับพรรคกระบี่บรรณภูผา
แม้สถานที่แห่งนั้นจะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่สะอาดสะอ้าน
พอดีที่ในพรรคกระบี่บรรณภูผาเก็บตำราไว้ไม่น้อย เขายังไม่ได้พลิกอ่านอย่างละเอียด อย่างน้อยดูจากร่องรอยในปัจจุบัน โลกนี้เหมือนจะไม่เหมาะสมกับโลกพลังงานสูงเท่าไหร่
หากมีแค่การสะกดที่แข็งแกร่งล่ะก็ โลกหลายใบก็มีคุณสมบัตินี้เช่นกัน
ตอนที่เขาตั้งสมาธิกับการเสาะหาข้อมูลในหอเก็บตำรา ผ่านไปสองสามวัน นกพิราบส่งข่าวก็ส่งข่าวหนึ่งมา บนภูเขา
อันดับของพรรคกระบี่บรรณภูผาในพันธมิตรเจ็ดขุนเขาตกลงจากเดิมสองอันดับ มาอยู่ในอันดับที่หก
เข็มบรรณภูผาสะกดสุริยาอันเป็นสุดยอดวิชาที่ประมุขพรรคใช้ในงานชุมนุมถูกฝ่ามือ ถมทะเลคลื่นพิโรธของพรรคคืนบูรพาทำลาย จากนั้นก็ถูกกระบี่เต่าดำฉลามนิลที่มีชื่อเสียงของสำนักกระถางสามขาสะกดไว้ได้
ชื่อเสียงของกระบี่เร็วแผ่วพลิ้วของพรรคกระบี่บรรณภูผาตกต่ำลงไม่น้อย
ผู้ที่แย่งตำแหน่งผู้อาวุโสของพันธมิตรเจ็ดขุนเขาจึงลดน้อยลงไปคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจ อย่างไรอันดับของพันธมิตรเจ็ดขุนเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา หลังจากวิชากระบี่บรรลุจุดสูงสุดแล้ว เขาก็คิดจะลงเขาไปค้นหาที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทราม
เขาที่ไม่อยากมีปัญหา แต่ปัญหากลับมาหาเขาถึงที่
…
ลมอ่อนพัดพา ใบไม้โบกไหวตามลมพลางส่งเสียงซ่าๆ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไหวต้นใหญ่ตรงทางเข้าประตูหอเก็บตำรา ตำรากองใหญ่วางอยู่ด้านหน้า เขากำลังพลิกอ่านตำราม้วนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ มีคนบอกว่าตัวเองเป็นคนจากลัทธิอสรพิษดำ ระบุว่าต้องการพบท่านที่ประตูรับแขกขอรับ!”
จู่ๆ ก็มีศิษย์บรรณภูผาคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตะโกนบอกเสียงดัง
“ลัทธิอสรพิษดำหรือ” ลู่เซิ่งวางตำราลงอย่างหงุดหงิดใจ “พวกมันมาหาข้าทำไม ได้บอกหรือไม่”
“ไม่ขอรับ แต่ทำท่าดุร้ายมาก อาจจะมาหาเรื่องก็ได้” ศิษย์คนนี้คุ้นเคยกับลู่เซิ่ง เขาคือสวีเทาเทาศิษย์ทางการที่เพิ่งจะเข้าสำนักเมื่อครึ่งปีก่อน
ปกติลู่เซิ่งจะชี้แนะทักษะและประสบการณ์ง่ายๆ ส่วนหนึ่งให้เขาเป็นบางครั้งบางคราว สวีเทาเทาผู้นี้จึงค่อนข้างนับถือเขา
ด้วยเพราะสาเหตุนี้ อีกฝ่ายจึงเป็นคนแรกที่มารายงานข่าว
“มากี่คน” ลู่เซิ่งถามอีก
“ราวสิบกว่าคนขอรับ อาจารย์อาหวังออกไปรับหน้าแล้ว”
อาจารย์อาหวังเป็นผู้อาวุโสของสายประมุขพรรค ปกติคุ้มครองสำนักในขณะเร้นกายฝึกฝน ใช้ชีวิตกึ่งหลบเร้น พลังไม่แข็งแกร่ง แต่ก็ร้ายกาจกว่าระดับศิษย์อย่างหนิงเหมยไม่น้อย
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็ไม่ร้อนใจ วางม้วนตำราลงและลุกขึ้น
“ไปดูกัน”
ช่วงนี้เขาสืบเสาะข้อมูลอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่เจอดวงตาแห่งความเลวทราม เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
ออกไปผ่อนคลายจิตใจ แบ่งแยกสมาธิสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
“ขอรับ!” สวีเทาเทารีบพยักหน้า ก่อนจะหันหลังนำทาง
ทั้งสองคนแยกกันหนึ่งหน้าหนึ่งหลังขณะเดินไปยังประตูรับแขกของพรรค
ประตูรับแขกเป็นด่านแรกของพรรค หากจะขึ้นเขาเพื่อเข้าออกพรรคกระบี่บรรณภูผา จะต้องผ่านด่านสองด่าน ด่านแรกคือประตูรับแขกนี่เอง
ลู่เซิ่งเร่งรุดไปจนถึงสันเขา ตอนที่ใกล้จะถึงประตูรับแขก เขาก็เห็นคนกลุ่มใหญ่มาห้อมล้อมอยู่ด้านล่าง
ปกติศิษย์พี่ศิษย์น้องบนเขาไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไร พอได้ยินว่ามีเรื่องน่าสนุก ก็วิ่งออกมาดูเหมือนรับชมงิ้ว มีทั้งคนอยู่ใกล้และไกล ต่างมาชมดูความสนุกสนานด้วยความสนอกสนใจ
กว่าลู่เซิ่งจะไปถึง รอบข้างก็มีคนเจ็ดแปดคนมาล้อมไว้แล้ว ทั้งหมดเป็นศิษย์บรรณภูผาที่กำลังรอลู่เซิ่งเพื่อรับชมเรื่องสนุกอยู่
“มาแล้วๆๆๆ!”
“เจ้าโจรสุนัขเฉินจื่อลัว! ใช้วิธีลงมือลอบทำร้าย เป็นพรรคธรรมะภาษาอะไรกัน! คืนชีวิตศิษย์พี่ข้ามา!”
ครั้นเห็นลู่เซิ่งเข้ามาใกล้ ชายฉกรรจ์ที่สวมอาภรณ์ดำและมัดผ้าขาวไว้บนแขนกลุ่มนั้นต่างก็เกิดความพลุ่งพล่าน ปรารถนาใคร่ฟันลู่เซิ่งให้ตายคาที่
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจากลัทธิอสรพิษดำเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่เปลือยสองแขนและถือลูกตุ้มเหล็กสีดำ
เขาสวมชุดแนบเนื้อสีดำที่เย็บลายดอกเหมยสีทองเข้มเอาไว้ ตอนนี้พอเห็นลู่เซิ่งเข้ามาใกล้ สองตาที่มืดครึ้มอยู่บ้างของเขาก็กวาดมองชายชราสวมอาภรณ์เทาที่อยู่ไม่ไกลอย่างกริ่งเกรง
……………………………………….