ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 788 ขีดจำกัด (2)
ลู่เซิ่งแค่เพิ่งจะเข้ามาใกล้ คนกลุ่มนี้ก็เกิดความพลุ่งพล่านใจแล้ว ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำกำลูกตุ้มเหล็กแน่น สองนัยน์ตาตาแดงก่ำ คล้ายกับพร้อมจะเข้ามาฟาดลูกตุ้มใส่ทุกเวลา
“เงียบซะ!” อาจารย์อาหวังที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียง ศิษย์ที่อยู่รอบข้างก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งจัดเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดเล็ก สภาวะคุกคาม
แม้คนจากลัทธิอสรพิษดำจะมีจำนวนเยอะกว่า ตอนนี้กลับถูกคุกคามจนหายใจติดขัดเล็กน้อย เสียงจึงค่อยเบาลง
ลู่เซิ่งจึงค่อยมีช่องว่างถาม
“พวกเจ้ามาทำอะไร ข้ารู้จักพวกเจ้าหรือ” เขาแสดงสีหน้างุนงงสับสน
“ยังเสแสร้งอีก!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำหัวเราะเย็นชา “ตอนที่ลอบทำร้ายศิษย์พี่ภูษาแดงทำไมถึงไม่เสแสร้งเล่า ตอนนี้พอเห็นพวกเรามาหาถึงที่กลับเสแสร้ง น่าทุเรศจริงๆ!”
สีหน้าของลู่เซิ่งเย็นชา เขากวาดตามองชายฉกรรจ์ผู้นี้ “ภูษาแดง พระอาจารย์ภูษาแดงหรือ ข้าเนี่ยนะลอบทำร้ายเขา”
“ยังเสแสร้งอยู่อีก!? ศิษย์พี่โดนเจ้าลอบทำร้ายระหว่างทาง ยังดีพวกเราเจออักษรเลือดที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ได้กลางทาง! ไม่อย่างนั้นหากผ่านไปนานกว่านี้คงจะตรวจสอบไม่เจอว่าเป็นฝีมือของเจ้า เฉินจื่อลัว!?”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิว่าทำไมข้าต้องลอบทำร้ายเขาด้วย” แม้จะไม่ทราบว่าตัวอักษรเลือดมาจากไหน แต่ลู่เซิ่งไม่มีเวลาว่างมาเล่นเป็นนักสืบกับคนจากลัทธิอสรพิษดำ
“หา…!” ชายฉกรรจ์คนนั้นพลันนิ่งอึ้ง
“แล้วเจ้าเห็นชัดไหมว่าอักษรเลือดเขียนไว้ว่าอะไร” ลู่เซิ่งถามอีก
“…เป็นคำว่าเฉิน!” คนจากลัทธิอสรพิษดำพวกนี้ต่างรู้จักดี
“คำว่าเฉินคำเดียวก็คือข้าหรือ หรือจะไม่มีคนอื่นอีก” ลู่เซิ่งถามอย่างไม่ยี่หระ
“คนที่มีความแค้นกับศิษย์พี่ในช่วงเวลานี้มีแต่เจ้าที่แซ่เฉิน ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด!?” ชายฉกรรจ์คนนั้นเตรียมจะอาละวาดอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ภูษาแดงของเจ้าเป็นคนจากลัทธินอกรีต เขาสังหารคนฆ่าล้างตระกูล ข้าสังหารเขาถือเป็นผลงานใหญ่ของพรรค ทำไมข้าจะไม่ยอมรับผลงานดีเช่นนี้เล่า พวกเจ้าบ้าหรือเปล่า” ลู่เซิ่งกล่าวอีก
“…”
คนพวกนี้พลันสงบลงเล็กน้อย พอลองคิดดูก็รู้สึกว่าถูกต้องจริง
จากมุมมองของเฉินจื่อลัว ถ้าเขาฆ่าคนจริงๆ ย่อมไม่มีทางไม่ยอมรับแน่ ถึงอย่างไรก็เป็นผลงานที่ใช้เพิ่มบารมีได้
“กลับไปคิดให้ดีเถอะ” ลู่เซิ่งทิ้งประโยคหนึ่งไว้ ก่อนจะกลับไปอย่างเกียจคร้าน
เขามองออกว่าคนพวกนี้มาลองข่มขู่เขาเท่านั้น
อาจารย์อาที่อยู่ด้านข้างกำลังจะเรียกตัวลู่เซิ่งไว้เพื่อถามคำถาม แต่พอเห็นเขาใช้วาจาไม่กี่คำสะกดคนจากสำนักนอกรีตพวกนี้ไว้ได้ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม
แม้ธรรมะอธรรมจะไม่อยู่ฝั่งเดียวกัน แต่ไม่มีใครอยู่เฉยๆ แล้วคิดเสี่ยงชีวิต ขอแค่ไม่ได้ขัดแย้งกันทางผลประโยชน์ ปกติแล้วทุกคนจะคุยแต่โดยดีมากกว่า
หลังจากจัดการเรื่องนี้จบ ลู่เซิ่งก็กลับไปอ่านตำราฝึกกระบี่ต่อ
…
เอี๊ยดอ๊าด เอี๊ยดอ๊าด
คลื่นทะเลสาบแวววาว แสงจันทร์แบ่งแยกผิวน้ำออกเป็นส่วนๆ มากมาย
ในหอสีดำบนเรือ บัณฑิตวัยกลางคนสวมชุดสีดำสนิท ถือพัดขนนก และสวมกวนสีดำสนิทคนหนึ่งยืนมองไฟตะเกียงเป็นกลุ่มๆ ในตัวเมืองที่อยู่บนชายฝั่ง
บางครั้ง ตัวเรือส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นบางครั้งตามแรงกระเพื่อมของทะเลสาบ
“คนบางคน เรื่องบางเรื่อง ไม่มีทางสมดั่งใจหวัง…ความลำบากของชีวิตไม่มีใดเกินกว่านี้…” บัณฑิตถอนใจเบาๆ พลางโบกพัดขนนกในมือ กลับรู้สึกว่าลมเย็นไปบ้าง จึงหยุดการเคลื่อนไหว
“เหอะ จะคิดมากมายไปทำไมกัน” บนกราบเรืออีกด้าน บุรุษร่างกำยำสวมเกราะสีดำและมัดผมหางม้าคนหนึ่งนั่งถือจอกสุราพิงบนรั้วไม้ ก่อนจะเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก
“หากเรื่องใดสมบูรณ์แบบเกินไป เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายจริงๆ แล้ว”
บัณฑิตหัวเราะ
“เจ้าลัทธิกลับมีความคิดปลอดโปร่งนัก”
“ไม่ใช่มีความคิดปลอดโปร่ง แต่พวกเราจุติลงมายังโลกใบนี้ได้สามสิบกว่าปีแล้ว แต่นั่นแล้วจะอย่างไร เสาะหามาหลายปีแล้วยังไร้ผลลัพธ์ แทนที่จะใช้เวลาอย่างเสียเปล่า มิสู้มาใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า” บุรุษเอ่ยอย่างผ่าเผย
“…ยากนัก…” บัณฑิตถอนใจอย่างใจเย็น ฝึกฝนวิชาจันทร์ครามมาสามสิบปี เผชิญความลำบากยากเข็ญมาสารพัด สุดท้ายก็ฝึกสำเร็จแล้ว
แต่ต่อให้จะกลายเป็นเจ้าสำนักวิญญาณร้ายอันเป็นสำนักอธรรมอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไร
โลกใบนี้มีขีดจำกัดแข็งแกร่งเกินไปจนใช้ความสามารถเหินฟ้าดำดินไม่ได้ เมื่อฝึกฝนถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว
เจ้าลัทธิจากลัทธิโลหิตสังหารที่อยู่ด้านข้างก็เหมือนกับเขา เป็นมารสวรรค์ที่จุติจิตวิญญาณมายังดินแดนแห่งนี้เช่นเดียวกัน หลังฝึกฝนวิชามาเป็นเวลาสามสิบกว่าปี ก็ฝึกฝนวิชาของโลกใบนี้ถึงจุดสูงสุดสำเร็จอย่างยากลำบาก
ในตอนที่ทั้งสองนัดหมายจุติมาพร้อมกัน กลับนึกไม่ถึงว่าอยู่มาสามสิบปีแล้วก็ยังหาเป้าหมายไม่เจอ
“หาอีกสิบปี ถ้ายังไม่เจอ พวกเราก็กลับกันเถอะ” บัณฑิตกล่าวอย่างราบเรียบ
“ตามใจ” เจ้าสำนักโลหิตสังหารเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
แม้ว่าทั้งสองเกือบจะไร้คู่ต่อกรในใต้หล้าแล้ว แต่หากยังหาเป้าหมายไม่เจอ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
“คำนวณเวลาดู ท่านผู้นั้นน่าจะเริ่มแล้ว” บัณฑิตวัยกลางคนพึมพำเบาๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราถือโอกาสเริ่มก่อนเวลานิดหน่อยเป็นอย่างไร”
“ขอแค่เขาเห็นด้วยก็พอ” เจ้าสำนักโลหิตสังการยังคงแสดงท่าทีไม่ยี่หระ
อย่างไรท่านผู้นั้นก็เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้คู่ต่อกรในใต้หล้าอย่างแท้จริง แม้พวกเขาสองคนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
…
แก๊ง…แก๊ง…
เสียงระฆังทุ้มหนักดังขึ้นอย่างช้าๆ
ใต้ตีนเขาบูรพา เจ้าสำนักและประมุขพรรคจากพันธมิตรเจ็ดขุนเขาชูธงใหญ่ของตัวเอง พากันขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้แล้ว
ประมุขพรรคกระบี่บรรณภูผาหลี่อวี้หลันประสานมือให้กับประมุขเขาบูรพาอี้ชวน
“ประมุขอี้ พรรคบรรณภูผาของข้าขอตัวก่อน”
อี้ชวนยิ้มแฉ่ง ครั้งนี้ที่เขาชิงตำแหน่งหัวหน้าพันธมิตรสำเร็จ ย่อมเป็นเพราะการสนับสนุนส่วนหนึ่งจาก พรรคบรรณภูผา
“เดินทางระมัดระวัง หลังจากไปถึงแล้วขอให้ส่งนกพิราบส่งข่าวมาแจ้งด้วย”
“แน่นอน!”
หลี่อี้หลันพยักหน้า
คนของพรรคบรรณภูผาพากันขึ้นรถคันใหญ่สี่คัน จากนั้นขบวนรถก็เคลื่อนตัวไปยังที่ไกลอย่างเชื่องช้าภายใต้เสียงฟาดแส้ของสารถี
อี้ชวนมองขบวนรถออกห่างไป บริวารคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเข้ามารายงานเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านประมุข สำนักหอกโลหิตจะไปแล้วขอรับ”
“อื้อ ข้าจะไปทันที” อี้ชวนพยักหน้า มองดูขบวนรถของพรรคกระบี่บรรณภูผาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินไปยังเส้นทางขึ้นเขาบูรพาทางด้านหลัง
เมื่อวานเขาส่งพรรคหวนบูรพากับสำนักกระถางสามขาไปแล้ว วันนี้เป็นคราของาพรรคกระบี่บรรณภูผาและสำนักหอกโลหิต เมื่อบวกกับพรรคกระบี่สุขสงบกับสำนักดาบชำระอาภรณ์ที่กลับไปก่อนตั้งแต่แรก พันธมิตรเจ็ดขุนเขาก็แยกย้ายกันไปเกือบหมดแล้ว
“เพียงแต่…มีข่าวลือข่าวหนึ่ง ข้าน้อยไม่ทราบว่าควรบอกหรือไม่” อยู่ๆ บริวารก็ทำท่าอ้ำอึ้ง
“ข่าวลืออะไร เจ้าเล่ามา” อี้ชวนชะงักฝีเท้าพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เขาทราบว่าคนสนิทคนนี้ของตนเป็นคนเยือกเย็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ดูจากท่าทางในวันนี้ เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
บุรุษที่เป็นคนสนิทเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ช่วงนี้ในยุทธจักรมีข่าวลือว่า มีคนเห็นราชาดาบวิหคปีศาจจ้าวอู๋จี๋ที่หายสาบสูญไปนานในป่าอีกามรณะ…”
“ราชาดาบวิหคปีศาจจ้าวอู๋จี๋หรือ?!” ม่านตาของอี้ชวนหดตัว
สิบกว่าปีมานี้ สี่สำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะฉวยโอกาสสะกดฝ่ายอธรรมที่ขุมกำลังอ่อนแออย่างเต็มที่ โดยกดดันให้พื้นที่ในการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายเหลือน้อยถึงขีดสุด
สำนักอธรรมได้แต่พัฒนาที่ชายแดนหรือต่างแคว้นเท่านั้น ในยุทธจักร ณ เวลานี้พวกเขาเหมือนกับมุสิกในความมืด
ราชาดาบวิหคปีศาจจ้าวอู๋จี๋ผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักคนหนึ่งจากสำนักอธรรมเมื่อหลายปีก่อน เขาหายสาบสูญไปหลายปี ตอนนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
ไม่ใช่อี้ชวนเป็นกระต่ายตื่นตูม หากแต่สำนักวิหคปีศาจของราชาดาบวิหคปีศาจในฝั่งอธรรมถูกง้อไบ๊ร่วมมือกับพันธมิตรเจ็ดขุนเขาทำลายไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว
ตอนนั้นจ้าวอู๋จี๋ยังไม่ปรากฏตัว ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นแล้วไม่มีทางที่ง้อไบ๊กับพันธมิตรเจ็ดขุนเขาจะปราบสำนักวิหคปีศาจได้ง่ายดายขนาดนั้น
“ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม ให้แจ้งเตือนอีกหกขุนเขาทันที” อี้ชวนกำชับ
“ขอรับ!”
…
เฟี้ยว!
ประกายสีเงินสายหนึ่งวาววับขึ้น แล้วเต้นระบำรอบตัวลู่เซิ่งราวกับอสรพิษสายฟ้า
กระบี่ยาวในมือของเขายังคงร่ายรำอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิต ใบไม้ร่วงปลิวตก แต่ใบไม้ทั้งหมดไม่อาจเข้ามาใกล้เขาในรัศมีสามฉื่อได้
ใบไม้จำนวนมากถูกกระแสอากาศไร้รูปร่างพัดไปตกรอบตัวเขากลายเป็นวงกลมวงหนึ่ง
“กระจาบเมฆาทะลวงวิญญาณ!”
ลู่เซิ่งแทงกระบี่ออกไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน พร้อมกับสะบัดข้อมือ กล้ามเนื้อทั่วตัวรวมพละกำลังมหาศาลไว้ที่ด้ามกระบี่ในมือ
ซ่า!
ประกายกระบี่แยกเงา เหมือนกลายเป็นนกกระจาบเมฆาสีเงินสิบกว่าตัว แทงใส่จุดหนึ่งด้านหน้าจากสิบกว่าทิศทาง
ฉึก!
เงาของคมกระบี่รวมตัวกันเป็นจุดเดียวแล้วปักใส่ลำต้นของต้นไหวอย่างแม่นยำ
ทุกอย่างเปลี่ยนจากโกลาหลเป็นสงบนิ่ง
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
‘นี่คือขีดจำกัดแล้วหรือ’ ใช้เวลาเกือบสองเดือนกว่าถึงจะฝึกฝนถึงขีดจำกัด ช้าไปหน่อย…
โลกนี้มีขีดจำกัดแข็งแกร่งเกินไป อาศัยเพียงกายเนื้อกับทักษะอย่างเดียว ความจริงความสามารถที่ร่างกายมนุษย์แสดงออกมาได้นั้นเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด
ขีดจำกัดนี้คงอยู่ในโลกหลายใบ บางทีมันอาจจะได้รับผลกระทบทางปัจจัยก่อนกำเนิดของคนแต่ละคน ทำให้มีความสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้แตกต่างกันเกินไปนัก
เพราะนี่เป็นขีดจำกัดของเลือดเนื้อและยีน
‘ขีดจำกัดก็คือขีดจำกัด อย่างไรเราก็มีพลังอาวรณ์เยอะ พื้นฐานมั่นคงแล้ว อีกทั้งร่างกายเองก็จดจำขอบเขตวิชากระบี่เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน น่าจะเริ่มเรียนรู้ได้สักที’
เขาชักกระบี่ออกมา
ถึงจะไม่มีกำลังภายใน แต่กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงระดับสิบสามก็ทำให้เขาควบคุมทักษะทุกทักษะในวิชากระบี่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ร่างนี้ถูกเสริมความแข็งแกร่งถึงขีดจำกัดหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อจะได้แสดงอานุภาพของวิชากระบี่ระดับสิบสามที่สมบูรณ์ออกมาได้
โดยเฉพาะแขนและข้อมือ รวมถึงสองขาและบั้นเอว พลังระเบิดในพริบตากับระดับความแม่นยำน่ากลัวอย่างแท้จริง
ฉึก!
ลู่เซิ่งวาดกระบี่แผ่วเบาขณะคมกระบี่สั่นไหว ราวกับรอบๆ คมกระบี่มีนกกระจาบเมฆาตัวเล็กตัวน้อยบินโฉบเฉี่ยวไปมา
‘ต่อให้ไม่มีกำลังภายใน แต่ก็ยังมีเลือดลม ถือโอกาสเรียนรู้ไปยังทิศทางของเลือดลมก็แล้วกัน’ หลังจากวิเคราะห์กฎเกณฑ์ในช่วงเวลานี้ ปราณปฐพีของเขาก็มีความสามารถหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่เป็นเพราะขีดจำกัดรุนแรงเกินไป เลยยังใช้ไม่ได้
‘ดีปบลู’
กรอบสีฟ้าปรากฏออกมา
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิอ่านดู
[กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูง: ระดับที่สิบสาม (คุณสมบัติพิเศษ: เพิ่มพละกำลังระดับสิบสาม, เพิ่มความเร็วระดับสิบสาม, เพิ่มพลังระเบิดระดับสิบสาม ความสามารถเพิ่มเติม: วิชาตัวเบา, ร่างเงาแยก)]
ลู่เซิ่งกดบนปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็เจอปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบของวิชากระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูง
‘เรียนรู้กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงหนึ่งระดับ’
เขากดปุ่มเรียนรู้
ฟิ้ว
กรอบพลันพร่ามัว เหมือนกับมีตัวอักษรนับไม่ถ้วนแวบขึ้นมาบนกรอบอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่ามีพลังอาวรณ์หน่วยหนึ่งกระจายออกมาจากทรวงอกของตัวเอง แล้วแยกกันซึมซับเข้าทั่วทั้งร่างกายและอวัยวะภายใน
ไม่นานนัก กรอบก็พลันชัดเจนขึ้น เขาเพ่งสมาธิอ่านดู
……………………………………….