ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 789 อุบัติการณ์ (1)
[กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูง: ระดับที่สิบสี่ (คุณสมบัติพิเศษ: เพิ่มพละกำลังระดับสิบสี่, เพิ่มความเร็วระดับสิบสี่, เพิ่มพลังระเบิดระดับสิบสี่ ความสามารถเพิ่มเติม: วิชาตัวเบา, ร่างเงาแยก, เพิ่มความเร็ว)]
‘ดูเหมือนจะก้าวข้ามขีดจำกัดแล้ว แต่เป็นเพราะวิชากระบี่ไม่ได้มีอานุภาพแข็งแกร่ง ต่อให้ฝึกถึงขั้นนี้ ก็มีพลังทำลายล้างระดับประมุขพรรคเท่านั้น ร่างกายเองก็หล่อเลี้ยงมากพอแล้วเหมือนกัน รับภาระไม่หนักมาก สามารถยกระดับได้หลายระดับ” ลู่เซิ่งสงบจิตใจ ใช้โอกาสยกระดับขีดจำกัดที่ร่างกายรับได้ในตอนที่มีพลังอาวรณ์มากพอก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
‘มาเลย เรียนรู้กระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงระดับต่อไป!’
ลู่เซิ่งนึกในใจ กดปุ่มเรียนรู้อีกครั้ง
กรอบพร่ามัวและชัดเจน ชัดเจนและพร่ามัว ติดต่อกันสิบกว่าครั้ง
ในที่สุดปุ่มเรียนรู้ก็หายไป นี่หมายความว่าได้ไปถึงขีดจำกัดการเรียนรู้ของวิชากระบี่วิชานี้แล้ว ภาพรวมของวิชากระบี่ไม่สามารถเรียนรู้ได้อีกต่อไปในทางทฤษฎี
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดเหมือนกับกำลังแช่อยู่ในน้ำเดือด ทั่วร่างแสบร้อน พลังอาวรณ์หลายสิบหน่วยหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อและกระดูกของลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง ปราณปฐพีฉวยโอกาสประสานด้วย ลดภาระจากการเพิ่มคุณสมบัติร่างกายไปอย่างใหญ่หลวง
ฉ่าๆ…
เสียงเลือดเนื้อเกิดการเสียดสีดังมาจากร่างลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
สองแขนของเขาเริ่มยาวและหนาขึ้น กล้ามเนื้อสะบักหลังบึกบึนกว่าเดิม ขนาดกั้นไว้ด้วยเสื้อผ้า ก็ยังเห็นเค้าโครงกล้ามเนื้อที่งอกขึ้นเหมือนปีกได้
สองแขนกับส่วนเอวขยายใหญ่ขึ้นราวกับเลือดสูบฉีด
‘ไม่เลว…’ ลู่เซิ่งสัมผัสสภาพของตัวเองในตอนนี้อย่างตั้งใจ เลือดลมแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยสิบกว่าเท่า แม้แต่ร่างกายที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณปฐพีมานานก็มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน เป็นที่ทราบได้ว่าการเรียนรู้ในครั้งนี้เพิ่มความแข็งแกร่งมากขนาดไหน
เขาหวนนึกถึงกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูงรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้เสร็จอย่างละเอียด สีหน้าพลันแปลกใจขึ้นเล็กน้อย
‘นี่มัน…เป็นเส้นทางเรียนรู้ที่นึกไม่ถึงจริงๆ…’ เขานึกไม่ถึงเหมือนกับว่าดีปบลูจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ วิชากระบี่ที่แผ่วพลิ้ววิชานี้ในลักษณะนี้
‘แต่ก็ไม่เป็นไร อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันใช้ได้’
“เฉินจื่อลัว! อยู่หรือไม่” ด้านนอกเรือนมีเสียงตะโกนของเหอชู่หร่วนดังมา
ลู่เซิ่งได้สติกลับมาก่อนจะมองประตูเรือน
“เข้ามาเถอะ”
ไม่นานนัก เหอชู่หร่วนที่สวมชุดขี่ม้าสีแดงตัดดำก็ถือแส้ม้าสาวเท้าเข้ามา
ชุดขี่ม้าแนบเนื้อขับเน้นรูปร่างส่วนโค้งส่วนเว้าของนางอย่างสมบูรณ์แบบ หน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่ม สองขาที่เรียวยาวกลมกลึง สะโพกเล็กงามงอน รวมถึงผมยาวพลิ้วไสวกับปากเล็กสีแดงเข้ม ทุกส่วนของร่างกายทำให้เพศตรงข้ามไม่อาจละสายตาได้
“ไปขี่ม้าหรือไม่” เหอชู่หร่วนสะบัดแส้ในมือไปทางลู่เซิ่ง
“ไม่ว่าง”
“อย่าทำตัวแบบนี้จะได้ไหม เอาแต่ฝึกกระบี่ทั้งวัน ท่านไม่รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้จืดชืดไร้รสชาติหรือ”
“ข้าชอบจะตาย เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก” ลู่เซิ่งเสียบกระบี่กลับเข้าฝัก
ครั้งนี้เหอชู่หร่วนเห็นเค้าโครงกล้ามเนื้อที่กำยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของลู่เซิ่งแล้ว
“เจ้าฝึกมาไม่กี่วันดูเหมือนจะบึกบึนขึ้นนะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“ใช่สิ ล่ำสันขึ้น ให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมแล้ว” เหอชู่หร่วนหัวเราะ “ฟังนะ ข้าหาหญิงงามมาหลายคนทีเดียว ถ้าท่านไปด้วย ไม่แน่อาจจะเกี้ยวได้สักสองสามคน”
ลู่เซิ่งรู้มานานแล้วว่านางเป็นพวกชอบสองเพศ มักมากในกาม ได้ทั้งชายหญิง
“ไม่สนใจ หนำซ้ำถ้าข้าจะหา ก็ต้องทิ้งใกล้ไปหาไกลหรอก” ลู่เซิ่งเดินไปดื่มน้ำเกลือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ใต้ร่มไม้
“ท่านหมายถึงข้าหรือ” เหอชู่หร่วนพลันสนใจ “ไม่กลัวบิดาข้าหรืออย่างไร”
“เจ้าว่าข้าจะกลัวหรือไม่เล่า” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“ท่านนี่ใจกล้าจริงๆ” เหอชู่หร่วนเลิกคิ้ว
“จะว่าไป ท่านพ่อของข้าอยากจะพบท่านนะ” นางโพล่งขึ้น
“หา” ลู่เซิ่งงุนงง เขาคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายหน้า “พ่อเจ้าออกไปด้านนอกนี่ รอท่านผู้เฒ่ากลับบ้านค่อยว่ากันเถิด”
“แล้วแต่ท่าน”
…
กลางป่ารกทึบแห่งหนึ่ง
ตูม!
ศิษย์พรรคหวนบูรพาหลายคนถูกโจมตีกระจัดกระจายในครั้งเดียว พากันล้มลงบนพื้นเหมือนกับมนุษย์กระดาษ ลุกไม่ขึ้นอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า…เจ้า!?”
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่เลือดอาบใบหน้าคนหนึ่งชี้ไปที่คนสองคน แต่พูดอะไรไม่ออกเพราะความหวาดกลัว
ชายชราผู้มีผมสั้นสีขาวและมีรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยคนหนึ่งเก็บดาบในมือ
“ชุมนุมพันธมิตรเจ็ดขุนเขา อย่างไรก็ต่างออกมาแล้ว พวกเจ้าก็อย่าคิดกลับไปอีกเลย อยู่ที่นี่ตลอดไปดีจะตายไม่ใช่หรือ” เขาก้มมองศิษย์พรรคหวนบูรพาบนพื้น
“เจ้าคนสามหาว!” ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งมาดุจลูกศร แล้วฟันกระบี่ใส่ชายชราผู้นั้นทันที
ความเร็วของประกายกระบี่ และความแข็งแกร่งของพละกำลังนี้ เขาคือผู้นำของพรรคหวนบูรพา
ประมุขพรรคหวนบูรพา สวีฟาน
“ได้ยินมาว่าฝ่ามือถมทะเลคลื่นพิโรธของพรรคหวนบูรพาเป็นสุดยอดวิชาแห่งโลกหล้า แต่เจ้าพานใช้กระบี่ คิดดูถูกข้าหรือ” ชายชราผุดสีหน้าสงบนิ่ง ดาบตรงในมือกลายเป็นเส้นสีดำเข้าปะทะ
เคร้ง!
…
ยามอาทิตย์อัสดง
ขบวนรถของพรรคกระบี่สงบสุขเคลื่อนเลียบแม่น้ำไปอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นบนพื้นโคลนก็มีตาข่ายยักษ์ยกขึ้น ลอยไปคลุมหน้าขบวนม้าไว้พอดี
ฮี้!
ม้าพลันตกใจ ขบวนรถพลันล้มระเนระนาด ยอดฝีมือของพรรคกระบี่ที่อยู่บนรถพากันกระโดดออกมา
“ผู้ใดกัน!?”
“ตายเสียเถอะ ฮ่าๆๆๆ!” เงาคนสีเทาสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนดุจกระสุนปืนใหญ่ ก่อนจะวาดดาบคู่ ในมือออกมากลายเป็นร่องรอยเลือดหลายสายราวกับผีเสื้อ
ในเวลาเดียวกัน พรรคทั้งหมดในพันธมิตรเจ็ดขุนเขาเช่นสำนักหอกโลหิตและสำนักดาบชำระอาภรณ์ ต่างก็ถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางทั้งสิ้น
เป็นเพราะความแตกต่างทางด้านเวลา กว่าพรรคเขาบูรพาที่เป็นหัวหน้าพันธมิตรจะได้รับข่าว ทุกอย่างก็จบสิ้นไปแล้ว
พรรคเขาบูรพากำลังจะลงมือช่วยเหลือ แต่ว่าหลังจากชายชราถือกระบี่ซึ่งมีผมหงอกขาวคนหนึ่งบุกขึ้นเขา อี้ชวนผู้เป็นประมุขพรรคเขาบูรพาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสหลายคนในพรรคบ้างก็บาดเจ็บบ้างก็ล้มตาย ขุมกำลังของพรรคเสียหายอย่างรุนแรง
ว่ากันว่าถ้าไม่ใช่ต้วนอินซือไท่แห่งพรรคง้อไบ๊มาถึงทันเวลา เกรงว่าพรรคเขาบูรพาจะถูกทำลายไปแล้ว
พอข่าวกระจายออกมา ยุทธจักรก็ปั่นป่วนทันที
มีคนรู้เรื่องออกมาพิสูจน์ เจ้าสำนักและประมุขพรรคทั้งหกคนรวมถึงกลุ่มยอดฝีมือของพันธมิตรเจ็ดขุนเขาที่ออกเดินทางไปด้านนอกกลับถูกดักฆ่าระหว่างทาง ตอนนี้ไม่ทราบไปอยู่ที่ใด เกรงว่าจะโดนจับตัวไปแล้ว
ยังไม่รอให้พรรคต่างๆ สยบข่าวร้ายแรงนี้ ข่าวที่สองก็กระจายออกมาทันที
สำนักหอกโลหิตในพันธมิตรเจ็ดขุนเขาถูกฆ่าล้างบางสำนัก ทั้งสามสิบเจ็ดคนของสำนักล้วนตายสิ้นไม่เหลือแม้แต่ไก่สุนัข
ยุทธจักรอลหม่าน สำนักหอกโลหิตเป็นสำนักใหญ่อันดับสามในพันธมิตรเจ็ดขุนเขา ถึงกับถูกล้างบางสำนัก! นี่เป็นข่าวสะเทือนฟ้าดินที่ครึกโครมที่สุดในหลายสิบปีมานี้อย่างแท้จริง
ทว่าต่อมา สำนักกระถางสามขาในเขตตงโจวก็ถูกล้างบางเช่นกัน เหลือแต่ยอดฝีมือไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้เพราะไม่อยู่ในสำนัก ออกไปด้านนอกพอดี
หลายวันถัดมาก็เป็นคราวของสำนักดาบชำระอาภรณ์ ถูกฆ่าเหี้ยนชนิดไม่เหลือไก่ไม่เหลือสุนัขเช่นกัน
ทว่าครั้งนี้ เนื่องจากสำนักดาบชำระอาภรณ์ตั้งอยู่ในย่านพลุกพล่านคึกคัก จึงมีคนเห็นว่าผู้ร้ายเป็นใคร
หลังจากภาพเหมือนถูกส่งออกไป ในที่สุดก็มีคนจดจำสถานะของผู้มาได้ คนที่ลงมือล้างสำนักก็คือราชาดาบอสูรเงาชาด มหาปรมาจารย์แห่งฝ่ายอธรรมที่หายตัวไปหลายปี หวังโหวจง
หลังข่าวแพร่สะพัด คนทุกค่ายพรรคสำนักในยุทธจักรต่างก็เกรงว่าตนจะมีภัย
มีข่าวลือว่า ดาบอสูรเงาชาดลงมือสะกดฝ่ายธรรมะอย่างเหี้ยมหาญ เพราะทนไม่ได้ที่เห็นคนของฝ่ายอธรรม ถูกกดดันจนไม่อาจหายใจหายคอ
เส้าหลิน บู๊ตึ้ง และง้อไบ๊ร่วมมือกับทางการ กระจายใบประกาศจับ ทว่าต่อมากลับกลุ่มไล่ล่าขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งใบประกาศจับก็ถูกสังหารกลางทาง ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
ชั่วขณะนั้น มหาปรมาจารย์แห่งฝ่ายอธรรมสยบใต้หล้า คนฝ่ายธรรมะต่างก็กลัวเกรง
ในเวลานี้เอง มหาปรมาจารย์ดาบอสูรเงาชาดกลับมาถึงใต้ตีนเขาบรรณรภูผาอย่างองอาจผ่าเผย
เขาในตอนนี้ทำลายพรรคใหญ่มาห้าพรรค ความแข็งแกร่งไม่มีผู้ใดต่อกรได้
ยามยืนอยู่ใต้ตีนเขา หวังโหวจงมองดูทางขึ้นเขาที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดขึ้นหลายเท่าตัวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ประมุขพรรค เจ้าสำนัก และวีรชนส่วนใหญ่ของพันธมิตรเจ็ดขุนเขาถูกขัดขวางระหว่างทาง ขอแค่ทำลายอีกแค่สองสามพรรค พันธมิตรเจ็ดขุนเขาก็จะล่มสลายไปเองโดยไม่ต้องเข้าโจมตี
“เป็นพรรคที่หก” เขาคือชายชราคร่ำครึผมหงอกขาวท่าทางจริงจัง “อีกไม่นาน หลังจัดการพันธมิตรเจ็ดขุนเขา ก็เป็นคราวของง้อไบ๊กับบู๊ตึ้งแล้ว…ใต้หล้านี้ พันธมิตรอธรรมของเราควรครองความเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว”
เขาเดินเข้าไปในซุ้มทางเข้าอย่างเชื่องช้า ฝีก้าวราบเรียบธรรมดา แต่ทุกก้าวชวนให้คนรู้สึกถึงความหนักอึ้งและการสั่นสะเทือน
ศิษย์ที่เฝ้าซุ้มทางเข้าหลายคนพิจารณาดู รู้สึกเวียนศีรษะตาลาย ต่างก้มหน้าไม่กล้ามองอีก
“ผู้ใด!?” ศิษย์เฝ้ายามมองออกว่าผู้มาไม่มีเจตนาดี ดูจากการปรากฏตัว เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรม
ศิษย์เฝ้ายามที่เป็นผู้นำได้ส่งศิษย์ขึ้นเขาไปแจ้งข่าว พลางจับด้ามกระบี่เกร็งร่างพร้อมกับร้องตะโกนถาม
หวังโหวจงมองดูหุ่นผอมบางของศิษย์เฝ้ายามเหล่านี้พลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้าหวังโหวจง ตั้งใจมาเยี่ยมเขาประลองกระบี่ รบกวนช่วยแจ้งข่าวที” เขาแสดงท่าทีค่อนข้างเกรงใจ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับตอนไปเยือนพรรคอื่นในพันธมิตรเจ็ดขุนเขา
“เยี่ยมเขาประลองกระบี่ หวังโหวจงหรือ” พออีกฝ่ายพูดคำพูดนี้ออกมา ศิษย์บรรณภูผากลุ่มหนึ่งที่อยู่ใต้ป้ายคุ้มครองต่างก็ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า
หวูด!
ทันใดนั้นมีศิษย์คนหนึ่งออกแรงเป่าเสียงแตรเตือนภัยสุดแรงดังเสียดหู
เขาบรรณภูผาทั้งเขาเคลื่อนไหวทันที เหมือนกับสัตว์ป่าที่กำลังหลับลึกตัวหนึ่งถูกเสียงผิวปากเสียดหูปลุกให้ตื่น พองขนทั่วร่าง เลือดลมไหลเวียนด้วยความเร็วสูง
หวังโหวจงมองเหตุการณ์นี้เงียบงัน ในฐานะมหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรม เขาย่อมมีความมั่นใจของตัวเองอยู่แล้ว
ตอนปรมาจารย์หลายคนของเส้าหลินกับบู๊ตึ้งร่วมมือกันกลุ้มรุมเขา เขาทะลวงออกมาได้อย่างง่ายดาย แค่พรรคกระบี่บรรณภูผาที่เป็นเพียงแค่สมาชิกของพันธมิตรเจ็ดขุนเขา ชายชราย่อมไม่เกรงกลัว
เขายืนเอามือไพล่หลัง รอให้พรรคกระบี่บรรณภูผาจัดเตรียมทุกสิ่งให้แล้วเสร็จ
ไม่นานนักก็มีผู้อาวุโสหลายคนลอยตัวมาถึงใต้ป้ายตรงซุ้มทางเข้า สะพายกระบี่ไว้บนหลัง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
คนที่เป็นผู้นำคือผู้อาวุโสเหยียนชิ่นหรงกับหวังเยวี่ย ผู้อาวุโสที่อยู่คุ้มครองซุ้มทางเข้า
ในฐานะยอดฝีมือผู้อาวุโสที่เป็นรองเพียงประมุขพรรค ทั้งสองคนมีชื่อเสียงน่าครั่นคร้ามในยุทธจักรเช่นกัน
แต่เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือบรรลือโลกที่ได้ชื่อว่าฆ่าล้างบางพรรคใหญ่ในพันธมิตรเจ็ดขุนเขาอย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสทั้งสองคนรวมถึงศิษย์ที่อยู่ด้านหลังต่างอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
คนที่ขี้ขลาดหน่อยพลันไร้เรี่ยวแรง มือที่จับด้ามกระบี่เปียกชุ่มเหงื่อไปหมด
“เยี่ยมเขา ประลองกระบี่ เริ่มได้แล้วกระมัง” หวังโหวจงหงุดหงิดเล็กน้อย
แม้เขาจะอดกลั้นยอมให้เกียรติพรรคกระบี่บรรณภูผามากมายขนาดนี้เพราะหน้าตาของคนคนหนึ่ง แต่นี่เป็นขีดจำกัดที่เขาให้ได้แล้ว เวลาของเขามีค่ามาก ไม่อาจมายืนเสียเวลาอยู่ที่นี่เฉยๆ ได้
……………………………………….