ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 79 หมู่บ้านโบราณ (1)
ลุงจ้าวพาทหารหลายนายไปถึงด้านหน้า มือกดบนด้ามดาบ พลางเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ ข้างทางหลวง
หมู่บ้านเงียบสงบ บ้านดินทรุดโทรมสิบกว่าหลังกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นเส้นทางรูปกางเขน
เสียงเคลื่อนไหวของพวกลุงจ้าวดังชัดเจนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
“มีคนอยู่หรือไม่” ลุงจ้าวเดินไปที่ประตูหมู่บ้าน ตะโกนเข้าไปด้านใน
เสียงสะท้อนดังอยู่ด้านใน พักหนึ่งยังไม่ได้ยินความเคลื่อนไหว
“มีคนอยู่หรือไม่” เขาเรียกอีกรอบ
หมู่บ้านสงบเงียบ
ทหารที่มาด้วยขมวดคิ้วเล็กน้อย กระจายตัวตามสัญญาณมือของลุงจ้าว เข้าไปตรวจสอบหมู่บ้านเงียบๆ
ตรวจสอบทีละบ้าน เคลื่อนผ่านแต่ละแห่ง
กร๊อบ
ทหารนายหนึ่งไม่ทันระวังชนใส่ที่จับโม่หินสำหรับโม่แป้ง ที่จับเป็นไม้หักหล่นลงกับพื้น
สายตาหลายคู่รีบมองมาทางนี้ ลุงจ้าววิ่งสองสามก้าวเป็นก้าวเดียวมาตรวจสอบโม่หินอย่างละเอียด
เขายื่นมือลูบรอยแตกตรงที่จับ นิ้วเปื้อนผงไม้สีน้ำตาลเล็กละเอียดส่วนหนึ่ง
“หมู่บ้านนี้มีอายุอยู่บ้าง พวกท่านก่อนหน้านี้ใครเคยมาทางนี้บ้าง ที่แห่งนี้ใกล้ทางหลวง สมควรมักมีคนผ่านมาเห็นถึงจะถูก”
ทหารที่รวมตัวกันมองกันไปมองกันมา ต่างส่ายหน้า
“ข้าน้อยกลับได้ยินบิดาเล่าว่า ตอนยังหนุ่มเขาเคยไปเมืองเลียบคีรี ขอค้างคืนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นที่นี่หรือไม่” ทหารร่างกำยำคนหนึ่งเอ่ยเสียงหยาบกระด้าง
“ตอนนี้บิดาเจ้าอายุหกสิบแล้ว ตอนเขายังหนุ่มไหนเลยไม่ใช่หลายสิบปีก่อน” ทหารอีกนายกล่าวอย่างจนปัญญา
“สามสิบกว่าปีก่อนกระมัง ตอนนี้ผ่านไปนานไม่มีประโยชน์แล้ว” ทหารร่างใหญ่คนนี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
“หมู่บ้านนี้ดูเหมือนไม่มีคน” ลุงจ้าวยืนขึ้นกวาดตามอง “พวกท่านไปตรวจสอบอีกรอบ ถ้าไม่มีความผิดปกติ ก็ค้างที่นี่ได้สักคืน”
สมัยนี้เป็นเพราะมีเรื่องเหนือความคาดหมายมากมาย การเคลื่อนย้ายหรือการหนีตายทั้งหมู่บ้านกลับมีอยู่ทุกที่ หมู่บ้านร้างไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
หลายๆ ครั้ง โรคระบาดรอบหนึ่งอาจทำให้หมู่บ้านสักแห่งย้ายที่และทรุดโทรมโดยสิ้นเชิง
“ขอรับ!”
กลุ่มคนแยกย้ายกัน ไปตรวจสอบรอบๆ บ้านดินสิบแปดหลังในหมู่บ้านถูกพวกเขาค้นรอบหนึ่ง ครึ่งหนึ่งทรุดโทรม ถ้าหลังคาไม่ใช่มีรูใหญ่ กำแพงก็อันตราย
ลุงจ้าวนำคนไปเก็บกวาดบ้านดินที่เหลือ จากนั้นส่งคนไปแจ้งลู่เฉวียนอันที่รอบนถนน
ลู่เฉวียนอันนำพวกสตรีเร่งวัวม้าค่อยๆ เข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
“มีบ้านดินใหญ่ๆ สองสามหลัง ทุกคนลองดู ให้แบ่งสรรกัน พักผ่อนคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ คนที่เฝ้ายามที่เหลือจัดการให้ดี” ลู่เฉวียนอันสั่งให้ทุกคนปลดสัมภาระตั้งค่าย
บ้านดินแค่นี้ย่อมไม่เพียงพอ ผู้ที่จำเป็นต้องจัดหาที่อยู่หลักๆ เป็นสตรีกับเด็ก แดนเหนือไม่เหมือนสถานที่อื่น กลางวันกลางคืนอุณหภูมิต่างกันมาก ตกดึกพอเย็นลงถึงขั้นเกิดน้ำแข็ง ไม่ระวังถูกลมหนาวได้ง่ายยิ่ง
“กลางหมู่บ้านมีบ่อน้ำ ไปตักน้ำได้ ข้างๆ เป็นป่า พาคนไปเก็บฟืน ยังมีดูว่าแถวนี้มีเห็ดป่าหรือไม่ อย่าได้ออกไปไกลคอยระวังตัวไว้”
ลู่เฉวียนอันก่อนหน้านี้ขึ้นเหนือล่องใต้ ย่อมมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ไม่ทันไรก็จัดการคนหลายสิบคนของตระกูลลู่ไว้อย่างเหมาะสม
“ส่งคนเร่งม้าลงแส้ไปแจ้งข่าวที่เมืองเลียบคีรี แจ้งว่าล้อรถเสียกลางทาง ดังนั้นเดินทางช้าลงเล็กน้อย จะไปถึงในอีกสองสามวัน” ลู่เฉวียนอันเรียกทหารนายหนึ่งมากำชับ
“ทราบแล้วนายผู้เฒ่า” ทหารเหล่านี้เป็นทัพคุ้มกันเมืองที่ลู่ผิงอันจัดการ รอบนี้มาทำงาน เดิมเป็นหัวหน้าสั่งการ บวกกับตระกูลลู่ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดี เดินทางเที่ยวนี้แต่ละคนได้เงินห้าตำลึง เทียบเท่ากับเงินเดือนสองเดือนของพวกเขา เดินทางเพิ่มเที่ยวหนึ่งยังได้เงินรางวัลเพิ่มเติม ย่อมไม่มีใดไม่พอใจ
นายทหารพลิกตัวขึ้นหลังม้า นำเสบียงไปด้วยมากพอ รีบรุดไปยังเมืองเลียบคีรี
ตอนนี้ในหมู่บ้านจุดกองไฟ เตรียมต้มน้ำแกงหม้อใหญ่
ลู่เฉินซินลงจากรถม้า ขยับเขยื้อนร่างกาย เขาเดิมทีต้องออกไปเรียนกับลู่อีอี แต่ด้วยนิสัยเกียจคร้าน ไหนเลยทนชีวิตอันทรหดในสถานศึกษาได้ บอกปัดต่างๆ นาๆ หาเหตุผลแสร้งป่วย ในที่สุดก็ไม่ได้ไป พลาดเวลาเดินทาง สุดท้ายมีแค่ลู่อีอีที่ได้ไปเมืองธารประจิม
‘เหอะๆ เมืองเลียบคีรีเจริญกว่าเยอะ เมืองธารประจิมมีอันใดน่าสนุก พี่เซิ่งอยู่โน่นย่อมมีความสุขไม่อยากกลับบ้าน ฟังว่าที่นั่นเรือแดงเรือสำราญมีมากยิ่ง ถึงเวลาสนุกแน่’ ลู่เฉินซินตื่นเต้น มองซ้ายมองขวา
เขานั่งรถมากับจางซิ่วซิ่วญาติห่างๆ ของฮูหยินใหญ่ ที่อยู่ด้วยกันยังมีลู่เทียนหยาง ในรถค่อนข้างเบียดเสียดอยู่บ้าง
จางซิ่วซิ่วมาจากบ้านฝ่ายหญิงสายทางท่านตาของลู่เซิ่ง ความจริงไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดอันใดกับเขาลู่เฉินซิน
เพียงแต่เป็นเพราะบิดาของนางเอาตัวไม่รอด ภายหลังพึ่งพาตระกูลลู่ที่ตระกูลใหญ่โตกิจการรุ่งเรือง ค่อยมีข้าวกินในคฤหาสน์
จางซิ่วซิ่วเดิมทีเป็นบิดาไม่ทราบว่ามีลูกกับสตรีนางใด ว่ากันว่าเป็นนางโลมบนหอคณิกา ถึงอย่างไรตอนอุ้มกลับมาก็มีแต่บิดาคอยดูแล
สตรีนางนี้มีนิสัยเปิดเผยยิ่ง เป็นเพราะงดงาม จึงควงสามโอบสี่ มีเลศนัยกับลู่เทียนหยางของตระกูลลู่ และซุนปาจวิ้นก่อนหน้า
ตอนนี้คนอื่นไปหมดแล้ว ลู่เฉินซินในที่สุดก็ได้ชิมเนื้อที่ก่อนหน้าไม่เคยกิน อารมณ์ย่อมเบิกบาน
เขาลงจากรถม้า ลู่เทียนหยางที่อยู่อีกด้านก็ลงมาจากรถม้าอีกคันหนึ่ง
ทั้งสองคนสบตา รีบเขยิบเข้าหากัน
“คืนนี้พักห้องเดียวกันหรือไม่” ลู่เทียนหยางเป็นอนุคนที่สี่ของลู่เฉวียนอันให้กำเนิด และเป็นคุณชายสำมะเลเทเมาที่โด่งดังในตระกูลลู่ เดิมทีเขา ลู่เฉินซินยังมีซุนปาจวิ้นถูกเรียกว่าสามเลิศล้ำ น่าเสียดายภายหลังซุนปาจวิ้นหายตัวไปอย่างคาดไม่ถึง
“เสียดายแทนปาจวิ้น…”
นึกถึงเรื่องนี้ ลู่เฉินซินเศร้าใจอยู่บ้าง “ทางเมืองเลียบคีรีเจริญรุ่งเรือง ถ้าพี่ปาจวิ้นอยู่ ไม่ทราบจะดีใจขนาดไหน ถึงเวลาพวกเราสามเลิศล้ำแห่งตระกูลลู่ร่ำสุราโอภาปราศรัย เที่ยวเล่นบนแม่น้ำไม้สน คงสุขใจยิ่ง”
“ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว สาวงามเล่า เห็นนางหรือไม่” ลู่เทียนหยางช่วงนี้หลงสาวน้อยคนหนึ่งในบ้าน
“กำลังช่วยเก็บของอยู่ที่รถท่านพ่อ ท่านกล้าไปหรือ” ลู่เฉินซินชี้บอกทาง
ลู่เทียนหยางแลบลิ้น ไม่กล้ากล่าวต่อ
…
เมืองเลียบคีรี ประตูน้ำใส
บ้านเรือนสีขาวเทาในเมืองเลียบคีรีแบ่งกันเป็นระดับราวเกล็ดปลา แยกเป็นสองส่วน ตรงกลางเป็นแม่น้ำไม้สนสีแดงจางๆ แบ่งแยกเมืองจากหนึ่งเป็นสอง
ลู่เซิ่งกับเฉินอวิ๋นซียืนอยู่บนสะพานหินด้านหน้าประตูน้ำ มองดูต้นหลิวโยกตามลม ทั้งสองไม่พูดอะไรกันชั่วขณะ
เงียบงันอยู่พักหนึ่ง ลู่เซิ่งเห็นหญิงสาวขายาวตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาใด จึงยิ้มแย้ม
“ข้ายังไม่เคยมาที่นี่ อากาศไม่เลว ทิวทัศน์ก็งามยิ่ง ท่านเหตุใดจึงอยากมาเดินเล่นที่นี่”
เฉินอวิ๋นซีมองไปที่ประตูน้ำที่มีน้ำไหลออกมาไม่ขาด สายน้ำสีขาวนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกันต่อเนื่องเหมือนกับผ้าไหมสีขาว ไหลรวมลงสู่กลางแม่น้ำไม้สน ส่งเสียงซ่าๆ
“ตอนประตูน้ำนี้บูรณะครั้งที่สาม เป็นเงินที่บิดาข้าบริจาค ตอนนั้นใช้แรงคนแรงสัตว์มากมาย ตอนบูรณะเสร็จแล้วปล่อยน้ำ ข้ามาดู ตอนนั้นตื่นเต้นจริงๆ
“หลังจากเห็นสายน้ำจากน้ำป่ากับน้ำฝนที่ขุ่นมากนั้น ถูกประตูน้ำนี้กรองเสร็จ ก็กลายเป็นแม่น้ำใสสะอาด ความประหลาดใจนั้น…ท่านไม่เข้าใจ”
“พอได้กระมัง ข้าก็เคยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน” ลู่เซิ่งลูบหัวล้านเลี่ยน อึดอัดที่ทำไมผ่านไปนานผมยังไม่งอก
“พี่เซิ่ง ท่านบอกมาเถอะว่าท่านรังเกียจข้าจริงๆ หรือไม่” เฉินอวิ๋นซีหมุนตัวมา ใบหน้างามซีดขาวอยู่บ้างขณะมองลู่เซิ่ง
“ท่านงดงามขนาดนี้ ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยความรู้และมารยาท ครอบครัวก็โดดเด่น ผู้ใดรังเกียจท่านได้” ลู่เซิ่งส่ายหน้ากล่าว “ข้าเพียงแต่ไม่อยากแต่งงานเร็วขนาดนี้”
เขาทราบเส้นทางในภายหลังของตัวเองดี ต้องเผชิญกับภูตผีอย่างต่อเนื่อง ด้วยนิสัยของเขา จึงตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเขามีเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลู ก็จะไม่ยอมอยู่เฉยตลอดชีวิต
ชีวิตแบบนี้เป็นสิ่งที่เฉินอวิ๋นซีไม่อาจรับได้ สิ่งที่นางคิดไม่มีอะไรนอกจากหาคนดีๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ให้กำเนิดบุตร รับช่วงกิจการทางบ้าน หรือไม่ก็สอบเอาบรรดาศักดิ์
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องการ
ในเมื่อไม่อาจมอบอนาคตให้นาง เช่นนั้นก็อย่าให้ความหวัง อย่าได้เหนี่ยวรั้ง
ลู่เซิ่งทราบแก่ใจดี ดังนั้นหลังจากพิธี ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเฉินอวิ๋นซีที่เข้ามาหา มาที่นี่กับนาง
“ข้าทราบว่าท่านไม่เหมือนกับพวกเรา” เฉินอวิ๋นซีก้มหน้า เสียงเบาลง “ท่านพ่อบอกข้าว่าอย่าได้ยึดติดเกินไป และข้าก็เดาจากการเปลี่ยนแปลงของพี่เซิ่งท่านได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตแบบใด”
“เช่นนั้นท่านยัง?” ลู่เซิ่งถามอย่างจนใจ
“แต่ว่าข้ามีแต่ตอนอยู่กับท่าน จึงค่อยรู้สึกปลอดภัย…” เฉินอวิ๋นซีขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้ลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา
นางสวมเสื้อขาวแขนเสื้อยาวโปร่งบาง ผ้าโปร่งสีขาวน้ำนมกว้างใหญ่ ด้านในเป็นหน้าอกสีขาว สองขาสวมกระโปรงใบบัวสีขาว ด้านขวาใช้เชือกมัดเป็นปมผีเสื้อ ชายกระโปรงแค่คลุมถึงเข่า เผยให้เห็นสองขาที่ขาวยาวสมบูรณ์แบบ
“ท่าน…” ลู่เซิ่งมองเฉินอวิ๋นซีที่เข้ามาใกล้ ตกใจเล็กน้อย ต่อให้เป็นแดนเหนือที่เปิดเผยมาก แต่ก็มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ประชิดบุรุษโสดเช่นนี้
“ข้าชอบท่าน พี่เซิ่ง” เฉินอวิ๋นซีมองลู่เซิ่ง มองดวงตาของเขาด้วยตางามอ่อนโยน
“ต่อให้ท่านไม่มีคิ้ว ต่อให้ท่านหัวล้าน ต่อให้ท่านยิ่งมายิ่งมีกล้าม ข้าก็ยังชอบท่าน”
ลู่เซิ่งรู้สึกพิกล คล้ายว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
“ดังนั้น” เฉินอวิ๋นซีเข้าใกล้เขาอีกก้าว
“แต่งกับข้าเถอะ”
แกร่ก
ไม่ทราบเฉินอวิ๋นซีหยิบกล่องใส่เครื่องประดับที่ประณีตออกมาจากไหน เปิดเบาๆ ด้านในวางแหวนนิ้วโป้งหยกขาววงหนึ่ง สลักรูปหงส์ที่กระพือปีกเตรียมบิน
ลู่เซิ่งแตกตื่น
ภาพที่คล้ายๆ กันนับไม่ถ้วนแล่นปราดไม่หยุดในหัวสมอง แต่ว่าภาพเหล่านั้นเป็นบุรุษขอสตรีแต่งงาน และสิ่งที่ทำให้เขาเหนือความคาดหมายคือ สตรีงามอย่างเฉินอวิ๋นซีทำถึงขั้นนี้ ตั้งใจสั่งทำแหวนนิ้วโป้งหยกขาวที่ประณีตขอเขาแต่งงาน
จิตใจจนปัญญา ลู่เซิ่งค่อยเยือกเย็นลง
“ขออภัย ข้าให้ชีวิตที่ท่านต้องการไม่ได้” เขาปิดกล่องใส่เครื่องประดับ ดันกลับไป
………………………………………….