ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 790 อุบัติการณ์ (2)
“แน่นอน ในเมื่อมหาปรมาจารย์หวังมาเยือนด้วยตัวเอง อย่างนั้นก็เชิญขึ้นเขามาเถิด!” ผู้อาวุโสหวังเยวี่ยตั้งสมาธิกลั้นลมหายใจ ดวงตาฉายความเศร้าโศกขณะผายมือไปยังบันไดลาดสำหรับขึ้นเขา
เหยียนชิ่นหรงไม่ได้ห้ามปราม ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีความหมายทั้งสิ้น
สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้ก็คือ รักษากองกำลังของพรรคไว้ให้มากที่สุดเพื่อพวกประมุขพรรคที่ยังไม่กลับมา
หวังโหวจงพยักหน้าน้อยๆ มองเมินทิวทัศน์เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างของพรรคกระบี่บรรณภูผา สาวเท้าขึ้นบันไดภายใต้การมุงดูของคนจำนวนมาก
ผู้อาวุโสทั้งสองคนตามหลังไปติดๆ
คนทั้งขบวนมาถึงลานฝึกกว้างขวางด้านหน้าตำหนักใหญ่บนยอดเขาอย่างรวดเร็ว
บนลานฝึกที่ปูอิฐสีขาวมีศิษย์พรรคกระบี่บรรณภูผามารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น มองไปมีไม่ต่ำกว่าร้อยคน
ศิษย์แกนหลักในนี้มีเพียงยี่สิบกว่าคน และครึ่งหนึ่งของยี่สิบกว่าคนนี้ต่างออกเดินทางไปด้านนอก
ผู้ที่เผชิญศัตรูได้จึงเหลือแค่สองผู้อาวุโสและสามผู้จัดการเรื่องราว
“ตามกฎของยุทธจักร ไม่ว่าพวกท่านจะสู้หนึ่งต่อหนึ่ง หรือจะสู้พร้อมกัน ล้วนไม่มีปัญหา” หวังโหวจงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ถ้าหากข้าชนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พรรคกระบี่บรรณภูผาห้ามเปิดรับศิษย์ และต้องปลดป้ายพรรคลง”
เขาไม่ได้บอกว่าถ้าตนแพ้จะเป็นอย่างไร
รอบข้างเองก็ไม่มีใครพูดว่าเขาจะแพ้ ห้าพรรคใหญ่ที่เหลือถูกเขาบุกทำลายด้วยทวนเดี่ยวม้าเดียว ในฐานะมหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมที่เหนือกว่าใครในใต้หล้า เขาไม่มีโอกาสแพ้
หวังเยวี่ยกับเหยียนชิ่นหรงสบตากัน ทั้งสองมองเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาอีกฝ่าย
ดูเหมือนศึกในวันนี้จะไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว เพื่อชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมานับพันปีของพรรค ต่อให้พวกเขาสู้จนตัวตาย ก็ไม่อาจถอยหนีได้
ตึง ตึง
เกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง ผู้อาวุโสสองคนออกมายืนต่อหน้าหวังโหวจง
“ท่านปรมาจารย์โปรดชี้แนะ!” ทั้งสองเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของยุทธจักร รองจากระดับประมุขพรรคคือสายแรก แต่พอเจอมหาปรมาจารย์ที่อยู่เหนือกว่าระดับประมุขพรรคขึ้นไปอีก พวกเขาก็ทราบดีว่าโอกาสชนะในครั้งนี้แทบเป็นศูนย์
หวังโหวจงมีชื่อเสียงดุร้าย หากว่าล้มเหลว จะไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
หวังโหวจงมองคนทั้งสอง
“ได้ยินมาว่าพรรคกระบี่บรรณภูผามีค่ายกลหนึ่งชื่อค่ายกลนพบรรณดารา ข้าอยากจะขอคำชี้แนะสักหน่อย ไม่ต้องห่วง พวกท่านกางค่ายกลได้ตามสบาย ข้าจะไม่ลงมือ”
พวกหวังเยวี่ยแลกสายตากัน แล้วตะโกนขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“กางค่ายกล!”
“ขอรับ!”
ฉับพลันนั้นมีศิษย์สิบคนพุ่งออกมาจากรอบข้างแล้วหมุนวนรอบตัวทั้งสองอย่างรวดเร็ว ประกายกระบี่ วูบวาบ เหมือนอสรพิษสีเงินนับไม่ถ้วนกำลังร่ายระบำ
ผู้อาวุโสสองคนร่วมมือกับศิษย์ทั้งหมดล้อมหวังโหวจงไว้เป็นชั้นๆ ตัวกระบี่ในมือทุกคนสะท้อนแสงจากฟากฟ้า ไม่นานก็รวมตัวเป็นแสงวูบวาบเก้าสาย สะท้อนใส่ตัวของหวังโหวจงอย่างแม่นยำ
“ประเสริฐนัก” แทนที่จะแตกตื่นหวังโหวจงกลับนึกสนุก โถมตัวพุ่งเข้าใส่ค่ายกลกระบี่ที่เหมือนกับเม่น
เสียงเพล้งดังขึ้นเป็นกลุ่ม กระบี่สิบกว่าเล่มถึงกับแตกหัก
หวังโหวจงยกมือใหญ่ ทั้งห้านิ้วโบกลมคาวเป็นเงาสีแดงหลายสายขึ้น พร้อมกับตวัดใส่ศิษย์ทั้งสิบกว่าคนติดต่อกันดุจสายฟ้าแลบ
เปรี้ยงๆๆๆๆ!
ศิษย์บรรณภูผาที่ถูกเขากระแทกใส่พากันร้องครวญครางพร้อมกับกระเด็นออกไป ค่ายกลกระบี่พังทลายลงในทันที
ผู้อาวุโสสองคนออกกระบี่สุดกำลังทั้งซ้ายขวา
ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของพรรคกระบี่บรรณภูผาอย่างเข็มบรรณภูผาสะกดสุริยา แทงใส่หูของเขาอย่างโหดเหี้ยมและแม่นยำ
“หัตถ์แปลงกำเนิด” หวังโหวจงสะบัดมือ ประกายกระบี่สองสายพลันถูกดีดออกอย่างง่ายดาย
ผู้อาวุโสสองคนเปลี่ยนแปลงท่ากระบี่ ฟันใส่บ่าของหวังโหวจงดุจสายฟ้าแลบดังควับๆ
แต่ก็ไม่มีประโยชน์ คมกระบี่ที่ปะทะกับผิวหนังราวกับฟันใส่เกราะเหล็กอย่างไรอย่างนั้น
“ทวงท่ากระบี่รวดเร็วแล้วมีประโยชน์หรือ อ่อนแอไร้กำลัง อ่อนแอเกินไปแล้ว!” หวังโหวจงผลักสองฝ่ามือออก
เกิดเสียงดังเพล้งๆ สองฝ่ามือของเขาปัดกระบี่ยาวของผู้อาวุโสทั้งสองคนออก แล้วประทับมือใส่ทรวงอกของทั้งคู่แผ่วเบา
“หยุดมือ!” จู่ๆ ก็มีเงาสายหนึ่งกระโจนขึ้นมาจากด้านหลังตำหนัก พุ่งตัวมาทางนี้
ทว่าก็สายเกินไปแล้ว
เกิดเสียงดังตูม
เหยียนชิ่นหรงกับหวังเยี่ยต้านทานได้มากกว่าศิษย์ทั่วไปสองสามกระบวนท่า แต่สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เฮ้อ…เหตุใดท่านต้องบีบบังคับคนด้วย ยกเว้นตรงไหนได้ก็ควรจะยกเว้นเสียหน่อย” เงาเพิ่งจะทิ้งตัวลงพื้น ก็สะกิดเท้าใส่พื้นดังตึงๆ ร่างพุ่งไปถึงข้างกายหวังโหวจงดุจคลื่นซัดอย่างไร้สุ้มเสียง
ฟ้าว!
ประกายกระบี่สามกลุ่มแยกเป็นหนึ่งหน้าสองหลังแทงใส่ทรวงอกของหวังโหวจง
เร็วยิ่ง!
ทุกคนที่อยู่โดยรอบมองไม่เห็นว่าสามกระบี่นี้ถูกแทงได้อย่างไร เห็นแค่เพียงด้านหน้าพร่ามัว จากนั้นหวังโหวจงก็โดนกระบี่แทงใส่เท่านั้น
“ไม่เจอกันนาน ซิ่นเหนียง” หวังโหวจงกลับฉีกยิ้ม เหมือนพบเจอคนรู้จัก ขณะมองเงาสายนั้น อาการบาดเจ็บ บนร่างถึงกับสมานตัวอย่างรวดเร็วทั้งที่มีเลือดไหลซึมออกมา
“หวังโหวจงหรือ” เงาสายนั้นหมุนตัวไปหยุดยืนราวสายฟ้าแลบ เป็นหญิงชราผมหงอกขาวริ้วรอยเต็มหน้า
“นี่คือ…ผะ…ผู้อาวุโสสูงสุด!” เหยียนชิ่นหรงจดจำสถานะของหญิงชราได้ในทันที
“ผู้อาวุโสสูงสุดหรือ!?” หวังเยวี่ยผุดสีหน้ามึนงง “อาจารย์อาซ่ง! ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือนี่”
หญิงชราถอนใจเล็กน้อยขณะมองดูหวังโหวจงที่อยู่ไกลออกไป
“ข้าเร้นกายมาหลายปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท่านลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิต คิดทำลายชีวิตศิษย์หลานของข้า ข้าก็ไม่อยากจะมาข้องเกี่ยวกับทางโลกอีกเลย ”
หวังโหวจงหัวเราะ
“เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ข้าต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า” เขาพลิกมือชักดาบที่เพิ่งเก็บไปออกมาจากด้านหลัง
หญิงชราผุดสีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าวิชากระบี่และพลังยุทธ์ของนางจะไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ของพรรคแล้ว เหมาะสมกับชื่อปรมาจารย์อย่างแท้จริง แต่ครั้นมาเผชิญหน้ากับมหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมที่ไร้เทียมทานในยุทธจักรอย่างหวังโหวจง ก็ยังคงไม่อาจทราบผลลัพธ์ได้
ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ สำนักถูกหยามหยัน นางไม่อาจไม่สู้ได้
“พรรคกระบี่บรรณภูผา ซ่งซิ่นหรู ขอคำชี้แนะ!” นางยกปลายกระบี่ขึ้นเบาๆ ก่อนจะชี้ลงเบื้องล่าง
…
ติ๊ง
กระบี่หักถูกโยนทิ้งลงบนพื้น ส่งเสียงกระแทกใสกิ๊งเสนาะหู
บนลานฝึกกว้างขวางหน้าตำหนักใหญ่ของพรรคกระบี่บรรณภูผา ผู้อาวุโสสูงสุดซ่งซิ่นหรูกึ่งคุกเข่าบนพื้น เลือดซึมออกจากมุมปาก มือกำด้ามกระบี่ที่หักไปแล้วค้ำยันด้วยร่างกายที่สั่นเทา
หวังโหวจงมองดูศิษย์บรรณภูผาที่ล้มระเนระนาดในบริเวณรอบข้างด้วยสีหน้าสงบ ก่อนจะเดินวนรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ตกบนร่างซ่งซิ่นหรู
“นี่คือตัวเลือกในตอนนั้นของเจ้าหรือ” เขายิ้ม “ถ้าครั้งกระโน้นเจ้าติดตามข้าเข้าสำนักสามานย์ วันนี้ไหนเลยจะปรากฏผลลัพธ์แบบนี้ ตอนนั้นข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า วิชากระบี่ของพรรคกระบี่บรรณภูผาแผ่วพลิ้วมากเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนงดงาม หากแต่มีอานุภาพจำกัด ต่อให้ฝึกฝนจนแข็งแกร่งกว่านี้ ความสำเร็จก็มีจำกัดเช่นกัน แต่เจ้าไม่ยอมฟัง”
ซ่งซิ่นหรูกระอักไอสองครั้งแล้วถ่มเลือดออกมา ไม่ได้ตอบอะไร
หวังโหวจงส่ายหน้าน้อยๆ
“นี่คือวิชากระบี่บรรณภูผาหรือ นี่คือความเชื่อมั่นและการยืนหยัดของเจ้าหรือ”
เขาเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของลานฝึก มองดูป้ายที่แขวนอยู่ด้านบน
‘แผ่วพลิ้วดั่งใบไม้’ ประโยคนี้ถูกสลักไว้บนป้ายไม้อย่างชัดเจนงดงาม
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชื่อของพรรคกระบี่บรรณภูผาจะต้องหายไป” เขายกมือขึ้นฟาดแสงประกายสีขาวใส่ป้าย
เคร้ง!
แสงสีขาวยังค้างอยู่กลางอากาศก็พลันมีเสียงโลหะดังแทรกเข้ามา แสงขาวถูกเงาสีเทากลุ่มหนึ่งกระแทกออกไปไกล
“ดูเหมือนบนเขาจะเกิดเรื่องใหญ่ตอนที่ข้าไม่อยู่นะ”
บุรุษร่างสูงใหญ่หุ่นสามเหลี่ยมคว่ำค่อยๆ เดินขึ้นบันไดมาจากตีนเขา
ผมของลู่เซิ่งที่ตัดสั้นถูกลมพัดจนพลิ้วไหว เขาถือกระบี่ สองบ่าใหญ่กว้าง แขนเรียวยาว สองนัยน์ตาเหมือนกับคมดาบที่ถูกตีในเปลวเพลิง แฝงความร้อนแรงที่ใกล้ปะทุให้รู้สึกอันตรายยิ่ง
“มีความสามารถนี่เด็กน้อย”
หวังโหวจงประหลาดใจเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงมีดบินที่เขาสะบัดออกมา แต่คนหนุ่มที่ดูอายุไม่เกินสามสิบปีผู้นี้กลับรับไว้ได้ แค่ความสามารถของอาวุธลับนั้นก็มากพอจะถูกจัดอยู่รในร้อยอันดับแรกของยุทธจักรแล้ว
“ดูเหมือนท่านจะแข็งแกร่งมากนี่…” ลู่เซิ่งพิจารณาศิษย์พรรคกระบี่บรรณภูผาที่นอนแผ่ราบบนพื้นรอบข้าง
“ข้าหวังโหวจง เด็กน้อย เจ้ามีสายตาไม่เลว สนใจติดตามข้าหรือไม่ อยู่ในพรรคเล็กๆ เช่นนี้ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่มีอนาคตหรอก” หวังโหวจงยิ้มพร้อมกับออกปากเชื้อเชิญ
ในยุคสมัยนี้ คนที่ทำตัวโอ่อ่าผ่าเผยและไร้ความเกรงกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาได้ กล่าวได้ว่ามีความกล้าเหนือมนุษย์แล้ว
“ท่านมีบริวารมากมายหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“แน่นอน เป็นสิบเท่าของพรรคเล็กๆ นี้” หวังโหวจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“จะให้ข้าเข้าร่วมก็ได้ ขอแค่ท่านต้านข้าได้สิบกระบวนท่าก็พอ” ลู่เซิ่งกลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย
“สิบกระบวนท่าหรือ” หวังโหวจงหัวเราะ “ต่อให้เป็นร้อยกระบวนท่า ถ้าหากเจ้าเฉือนผิวข้าได้สักแผลหนึ่ง ถือว่าข้าแพ้”
ต่อให้พรรคกระบี่ที่เน้นความแผ่วพลิ้วเป็นหลักจะฟันแทงอย่างไร ก็ทำลายวิชาแข็งกร้าวอย่างร่างทองอัฎฐลักษณ์ของเขาไม่ได้หรอก
ลู่เซิ่งเพิ่งจะเลื่อนระดับ กำลังต้องการหาคนลองวิชากระบี่ที่ตนเองเพิ่งฝึกสำเร็จพอดี ตอนนี้มีคนที่เหมาะที่สุดมาอย่างประจวบเหมาะพอดิบพอดี
“พอดีเลย ข้าเพิ่งจะบรรลุแก่นแท้ในวิชากระบี่ของพรรค” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับกระชับด้ามกระบี่ “ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดป้ายพรรคของเราถึงสลักไว้ว่าแผ่วพลิ้วดุจใบไม้”
“เพราะอะไร” หวังโหวจงงุนงงเล็กน้อย ไม่ใช่หมายถึงวิชากระบี่แผ่วพลิ้วมากเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ
“นั่นเป็นเพราะ…วิชากระบี่ของพรรคเรารุนแรงเกินไป มีแต่ต้องฝึกจนแผ่วพลิ้วดุจใบไม้ถึงจะถือว่าฝึกสำเร็จ…”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ จากนั้นทุกคนก็เห็นได้ชัดเจนว่ากระบี่ที่อยู่ด้านหลังเขาคือสิ่งใด
นั่นคือลูกตุ้มสำริดขนาดยักษ์ที่แค่ด้ามจับก็ใหญ่เท่าหัวคนแล้ว
“อย่าว่าแต่มันไม่ใช่กระบี่ หากฝึกวิชากระบี่ถึงขอบเขต สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนเป็นกระบี่ทั้งสิ้น”
ลู่เซิ่งเล่นกับหนามลูกตุ้มด้วยสายตาอ่อนโยน ขณะถือลูกตุ้มชี้ลงพื้น
“…”
หวังโหวจงมุมปากกระตุก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ผู้อาวุโสและศิษย์ที่นอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนพื้นเกือบหายใจไม่ออก
ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาอย่างหวังเยวี่ยหน้าแดงก่ำ ปรารถนาใคร่หารูบนพื้นมุดเข้าไป
สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือเป็นลูกตุ้มนะโว้ย! นั่นคือลูกตุ้ม!
“ดูกระบี่คู่ประกบหยกของข้าซะ!” ลู่เซิ่งพูดพลางยกลูกตุ้มหนักอึ้งอีกอันออกมาจากด้านหลัง
ลูกตุ้มอันนี้ยิ่งอลังการกว่าเดิม เนื่องจากมีหนามแหลมกระจายทั่วหัวลูกตุ้มสีดำสนิท ขนาดเทียบเท่ากับอ่างล้างหน้า แถมบนหนามยังมีสีแดงฉานติดอยู่หลายสาย
ทุกคนไร้เรี่ยวแรงจะแขวะแล้ว
หวังโหวจงยิ่งเอือมระอา คงไม่ใช่ว่าเขามาเจอคนโง่ที่มีพลังช้างสารโดยกำเนิดหรอกนะ
เขาส่ายหน้าน้อยๆ
“ช่างเถิด ออกกระบวนท่าเลย” ในฐานะมหาปรมาจารย์ ถ้าเขาเอ่ยปาก ย่อมมั่นใจเหลือประมาณ ไม่มีทางเสียใจ
“ท่านแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งถามอีกรอบ
“แน่ใจ” หวังโหวจงกล่าวยืนยัน “ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าเถอะ แต่ข้าขอบอกเจ้าก่อนว่าวิชากระบี่ที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักนั้นไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
ลู่เซิ่งหรี่ตา
เป็นเพราะส่งจิตวิญญาณไปประเมินนอกร่างไม่ได้ เขาเลยไม่ทราบว่าคนผู้นี้มีพลังเป็นอย่างไร เพียงรู้สึกว่าเหมือนจะแข็งแกร่งมาก แต่แข็งแกร่งถึงขั้นไหน เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ฟึ่บ เขาดึงโซ่หนาเส้นหนึ่งขึ้นมาจากเอว แล้วเชื่อมลูกตุ้มสองอันเข้าด้วยกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าขอใช้วิชากระบี่เหินที่ข้าบัญญัติขึ้นเองก็แล้วกัน…”
กริ๊ง เขาชูแขนขึ้นสูง แล้วออกแรงควงโซ่ที่รัดพันลูกตุ้มที่หนักกว่าพันชั่งอย่างรวดเร็ว ภายใต้สีหน้าเหมือนเห็นผีของคนทั้งพรรค
……………………………………….