ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 791 ถอนตัว (1)
ฟึ่บ!
ฟึ่บ!
ลูกตุ้มสำริดหนักอึ้งสองอันหมุนควงเป็นเงาสีเทาอมดำวงหนึ่งเหนือศีรษะลูกเซิ่ง ส่งเสียงดังขวับๆ น่ากลัว
“!?” หวังโหวจงสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้เขาจะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับลูกตุ้มหนักมากกว่าร้อยชั่งที่ฟาดมาด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ได้
“รับกระบวนท่าข้าดู กระจาบเมฆาทะลวงวิญญาณ!”
เสียงลู่เซิ่งยังไม่ทันขาดคำ เงาลูกตุ้มสีดำก็ฟาดใส่หวังโหวจงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
กำแพงหินแนวหนึ่งระเบิดถล่มลง
หวังโหวจงหลบพ้นอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด แขนด้านนอกถูกเสียดสีจนแสบร้อน
เหงื่อซึมออกจากหน้าผาก ขณะต้องเลือกหน้าตาของมหาปรมาจารย์กับความปลอดภัยของตัวเอง เขาได้เลือกความปลอดภัยเป็นครั้งสุดท้าย
พอหันไปมองดู ม่านตาเขาก็หดตัวเล็กน้อย
ลูกตุ้มดำที่เมื่อครู่เพิ่งฟาดใส่กำแพงหายไปแล้ว
‘แย่แล้ว!’ เขารีบหันกลับมา แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว เสียงแหวกลมเสียดหูพุ่งมาด้านหน้า
เขารีบยกสองแขนขึ้นป้องกัน พร้อมกับหดหัวงอตัว
ตูม!
พละกำลังที่ยากจินตนาการปะทะใส่สองแขนของเขาอย่างหนักหน่วง หวังโหวจงใช้ร่างทองอัฎฐลักษณ์สุดกำลังถึงสามารถป้องกันหนามแหลมบนผิวลูกตุ้มสำริดไว้ได้ แต่พลังกระแทกอันมหาศาลยังคงทำให้เขาถอยหลังไปสิบกว่าก้าวจนชนเข้ากับเสาศิลาต้นหนึ่ง
แกร๊ก
ผิวของเสาศิลาปรากฏรอยร้าว แสดงให้เห็นว่าเกือบถูกกระแทกหัก ส่วนลูกตุ้มสำริดไปฝังตัวอยู่ด้านในกำแพงรอบนอก ก่อนจะถูกลู่เซิ่งดึงออกมาและเหวี่ยงกวาดใส่หวังโหวจงอีกครั้ง
“ผนึกร่าง!” หวังโหวจงส่งเสียงตวาด ก่อนจะกางสองแขนรับลูกตุ้มที่ลอยมา
เปรี้ยง!
สองฝ่ามือของเขารับลูกตุ้มยักษ์ตรงหน้าไว้อย่างมั่นคง
“โง่เง่า!” ลู่เซิ่งควงลูกตุ้มดำอีกอัน ลูกตุ้มดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมส่งเสียงขวับดังลั่นกลางอากาศ
ตูม!
ลูกตุ้มดำฟาดใส่ผิวลูกตุ้มสำริด พลังกระแทกอันยิ่งใหญ่ทำให้หวังโหวจงที่พอจะต้านทานไหวก็ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป กระอักเลือดและกระเด็นออกไปทันที
แต่การกระเด็นของเขานี้ไม่ใช่แค่โซเซถอยหลัง หากแต่สะกิดปลายเท้ากลางทางและควบคุมแรงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะยกมือขวาขึ้น
ประกายสีเงินสามสายพลันพุ่งใส่ใบหน้าลู่เซิ่งดังขวับๆ
“ตายเสียเถิด!” ตอนนี้เขาไม่คิดจะสยบลู่เซิ่งอีกต่อไปแล้ว อีกฝ่ายคือผู้เข้มแข็งระดับปรมาจารย์เหมือนกับเขา ซึ่งฝึกฝนกายเนื้อ พละกำลัง รวมถึงทักษะจนถึงจุดสูงสุด สมบูรณ์แบบไร้รอยตำหนิและไร้ช่องโหว่
เขาคิดจะเข้าใกล้หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจทำได้
การควงลูกตุ้มคู่ของอีกฝ่ายไม่มีช่องว่างแม้แต่นิดเดียว
ลู่เซิ่งไม่เกรงกลัว ยกโซ่ในมือขึ้น เกิดเสียงติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ดังสามครั้ง ใช้โซ่รับมีดบินไว้ได้อย่างง่ายดาย
หวังโหวจงหลบหลีกลูกตุ้มคู่ จากนั้นก็หยิบมีดบินออกมาจากอกเสื้อและสะบัดใส่ลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งถูกมีดบินกดดันให้ถอยในทุกครั้งที่พุ่งเข้าไป ทั้งสองคนสู้กันอย่างดุเดือด ยากตัดสินผลลัพธ์
เวลานี้กำแพงและซุ้มประตูด้านหน้าตำหนักใหญ่ของพรรคกระบี่บรรณภูผาถูกลูกตุ้มคู่หนักหลายพันชั่งฟาดเป็นรูเต็มไปหมด สภาพเละเทะดูไม่ได้
ศิษย์ ผู้อาวุโสที่เดิมทีนอนอยู่บนลานฝึก ฉวยโอกาสเคลื่อนร่างไปอยู่ในตำหนักใหญ่ที่ค่อนข้างปลอดภัยกว่า
ขณะฟังเสียงหวีดหวิวเสียดหูที่ดังมาจากด้านนอกไม่หยุด ผู้อาวุโสหวังเยวี่ยและเหยียนชิ่นหรงมองหน้ากัน ไม่ทราบควรพูดอะไรดี
ในตำหนักใหญ่ไม่มีคนตาย หวังโหวจงมีความปรานีตั้งแต่แรก
จนกระทั่งภายหลังผู้อาวุโสสูงสุดซ่งซิ่งหรูปรากฏตัว เขาจึงพลุ่งพล่านขึ้นมา ลงมือไม่แบ่งแยกหนักเบาอีก ทว่าเขาก็ยังอดกลั้นไม่ฆ่าคน
ซ่งซิ่นหรูพิงประตูตำหนักใหญ่ คอยมองดูหวังโหวจงกับลู่เซิ่งที่ยิ่งสู้ยิ่งออกห่างไปเรื่อยๆ
“คนผู้นั้น…เป็นใครกัน” นางผุดสีหน้าตกตะลึงขณะมองลู่เซิ่งที่สู้กับหวังโหวจงโดยไม่ตกเป็นรอง
ในตำหนักใหญ่เงียบงัน
ผ่านไปสักพัก หวังเยวี่ยค่อยยิ้มอย่างหนักใจ
“เขาคือเฉินจื่อลัว เป็นศิษย์คนที่สามในสายตู้เฟิงจื่อ…เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่แก่งแย่งอะไร นึกไม่ถึงว่า…”
ในฐานะผู้อาวุโส การที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีตัวประหลาดพละกำลังน่ากลัวขนาดนี้โผล่มาท่ามกลาง ลูกศิษย์ ถึงขั้นยังได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์เช่นนี้ตอนเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย
นี่เป็นเรื่องขายหน้าถึงขีดสุด
ซ่งซิ่นหรูไอหลายคำ
“เด็กคนนี้…จะต้องสั่งสอนอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นหากเดินเข้าสู่เส้นทางอธรรม เกรงว่ายากนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา…”
“ท่านไม่ต้องห่วง พวกเราย่อมไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน!” เหยียนชิ่นหรงเอ่ยเสียงทุ้มอย่างแน่วแน่
ซ่งซิ่นหรูถอนใจเล็กน้อย เพียงแต่พอนึกถึงสายตาตอนที่ลู่เซิ่งปรากฏตัว สายตาที่ทั้งประหลาดและอันตรายนั้น นางก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง
“ยังมีประมุขพรรค…พวกประมุขพรรคยังไม่ได้ส่งข่าวมาจนถึงตอนนี้” หวังเยวี่ยเอ่ยเสียงเบา
“หรือว่า…” มีคนคิดไปในทางที่ไม่ดีแล้ว
ตูม!
เกิดเสียงดังกึกก้อง จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดอีก
ทุกคนอดใจไม่ได้ พวกที่ขยับได้พากันลุกมาถึงประตูตำหนักใหญ่แล้วมองไปด้านนอก
เห็นเงาคนสูงใหญ่สายหนึ่งลากลูกตุ้มหนักสองอันเดินเข้าซุ้มประตูมาด้วยร่างอาบเลือด
“ชนะแล้ว!” หวังเยวี่ยตื่นเต้น รีบลุกเดินออกจากตำหนักใหญ่
คนที่เหลือตามออกไปติดๆ ทุกคนยืนอยู่บนลานฝึกมองลู่เซิ่งเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว
“จื่อลัว…” หวังเยวี่ยมองลู่เซิ่งด้วยจิตใจซับซ้อน “ครั้งนี้โชคดีที่มีเจ้า ไม่อย่างนั้นรากฐานนับพันปีของ พรรคกระบี่บรรณภูผาอาจพินาศไปแล้ว”
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนรอบๆ แม้บนร่างของเขาจะมีเลือดเปรอะเปื้อนมากมาย แต่ล้วนไม่ใช่ของเขา ชายหนุ่มกระแอมไอสองสามครั้งและกำลังจะเอ่ยปาก
“ในเมื่อเจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ลงมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ!?” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากในกลุ่มศิษย์อย่างโกรธแค้น
“ต้องรอพวกเราบาดเจ็บล้มตายสาหัส เจ้าค่อยยอมเปิดเผยพลังของตัวเองอย่างนั้นหรือ?!” เสียงนั้นว่าต่อ
“ใคร! ไสหัวออกมา!?” ซ่งซิ่นหรูส่งเสียงตวาดและสะบัดแขนเสื้อ
ชายหนุ่มหน้าซีดคนหนึ่งพลันกลิ้งออกมาจากในกลุ่มศิษย์ ด้วยเพราะถูกอาวุธลับชนิดเข็มที่ซ่งซิ่นหรูใช้แขนเสื้อสะบัดไล่ออกมา
“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าไม่ผิดนะ! ถ้าเขาลงมือเร็วกว่านี้ พวกเราคงไม่บาดเจ็บหนักหลายคนเช่นนี้! น้องชายข้า…น้องชายข้าเขา…เดิมทีควรมีอนาคตสดใส!” ชายหนุ่มคนนี้พูดไปพูดมาก็ร้องไห้โฮ
ซ่งซิ่นหรู เหียนชิ่นหรงและหวังเยี่ยนกำลังจะดุด่า แต่กลับมีเสียงหอบหายใจปั่นป่วนดังมาจากในหมู่ลูกศิษย์อย่างต่อเนื่อง
คนทั้งสามมองดูอย่างละเอียด พบว่าศิษย์ส่วนใหญ่ขอบตาแดงก่ำมองลู่เซิ่งด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างมีเจตนาร้าย
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่?!” หวังเยวี่ยกระอักไอหลายคำ ก่อนจะตะโกนขึ้น
ทุกคนเงียบลง ไม่มีใครตอบ
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครพูดถึง แต่ตอนนี้พอมีคนเปิดประเด็น ทุกคนก็นึกขึ้นได้อย่างง่ายดายว่า เหตุใดลู่เซิ่งจึงรอจนถึงตอนสุดท้ายค่อยลงมือ ไม่ได้ปรากฏตัวขัดขวางหวังโหวจงตั้งแต่แรก
แม้จะดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งอยู่ในพรรคมาโดยตลอด จู่ๆ วันนี้ดันลงเขา นี่ออกจะบังเอิญเกินไปแล้ว
ไหนจะพลังของเขาที่น่าสงสัยยิ่งนักอีก เป็นแค่ศิษย์ธรรมดา เหตุใดอยู่ๆ ถึงมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ นี่ไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง
ชั่วขณะนั้นทุกคนเริ่มรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา ครั้งนี้หวังโหวจงทำร้ายคนไม่น้อย แม้เขาจะไม่ได้ลงมือฆ่า แต่อาการบาดเจ็บของศิษย์หลายคนก็ส่งผลกระทบต่อระดับการฝึกฝนวรยุทธ์ในอนาคต
ลู่เซิ่งมองเหล่าคนหนุ่มที่กำลังอารมณ์ปั่นป่วนตรงหน้าโดยไม่รู้สึกอะไร
พวกเขาทายไม่ผิด เขาไม่คิดจะสนใจเรื่องเช่นนี้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังหวังโหวจงทำเกินเลย เขาก็ไม่คิดจะสนใจ
ต่อให้จะได้ยินเสียงเตือนภัยบนเขาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็จงใจไม่มาในทันที เดิมทีนึกว่าพวกผู้อาวุโสรับมือได้ กลับนึกไม่ถึงว่าจะอเนจอนาถถึงขั้นนี้
นิ่งไปสักพัก ลู่เซิ่งก็หาบุรุษที่เป็นคนปลุกปั่นผู้คนตั้งแต่แรกจนเจอ
คนคนนั้นคือกวนซิ่วเหนียน เป็นทั้งศิษย์รักของประมุขพรรคและเป็นว่าที่ประมุขพรรคคนต่อไป เป็นวีรบุรุษที่ได้ชื่อว่ามีพลังแข็งแกร่งที่สุด โดดเด่นที่สุดท่ามกลางศิษย์รุ่นปัจจุบัน
ขณะเห็นนัยน์ตาปรากฏเส้นเลือดหลายสายของกวนซิ่วเหนียน ลู่เซิ่งก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
คงเพราะเห็นตนแสดงผลงานเกินหน้าเกินตา จึงกลัวว่าจะแย่งยศฐาและคุณสมบัติประมุขพรรคไป
ความจริง หากดูจากท่าทีของพวกซ่งซิ่นหรูกับหวังเยวี่ย ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ลู่เซิ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งและคุณสมบัติของกวนซิ่วเหนียนเพราะเรื่องในวันนี้จริงๆ
“พูดมาสิ! ทำไมเจ้าไม่ลงมือเสียแต่เนิ่นๆ เอาแต่หลบอยู่ด้านข้าง มองดูพวกเราได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเลือดเย็น สุดท้ายค่อยโผล่มาพลิกสถานการณ์ คิดทำตัวเป็นดาวช่วยชีวิต[1]หรือ!?” กวนซิ่วเหนียนไม่ได้ส่งเสียงเอง หากแต่บอกให้คนสนิทของตนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลตะโกนเสียงดัง
“หรือว่าเจ้ายังคิดว่าพวกเราจะซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าจริงๆ กระมัง ถุย!” ชายหนุ่มคนนั้นถุยน้ำลายใส่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งหรี่ตาจ้องพวกหวังเยวี่ยกับเหยียนชิ่นหรง
ซ่งซิ่นหรูเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่เร้นกายมานาน ตอนนี้มองไปยังผู้อาวุโสใหญ่สองคนที่มีอำนาจ เวลานี้ประมุขพรรคไม่อยู่ พวกเขาจึงต้องเป็นคนตัดสินใจ ท่าทีของพวกเขาจะตัดสินท่าทีที่พรรคกระบี่มีต่อลู่เซิ่ง
หวังเยวี่ยอ้าปาก คิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอนึกถึงคำพูดของกวนซิ่วเหนียนเมื่อครู่ เขาก็มองดูเหยียนชิ่นหรงที่เงียบขรึมอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็มองลู่เซิ่งอีกครั้ง
“จื่อลัว เจ้า…ก่อนหน้านี้ไม่ได้…จงใจลงมือช้าใช่หรือไม่ บอกความจริงมาเถิด…”
ความจริงเขาก็สงสัยพลังลู่เซิ่งที่ระเบิดออกมาอย่างอธิบายไม่ได้เช่นเดียวกัน
ศิษย์ที่เดิมทีฝีมือธรรมดากลับระเบิดพลังที่ทำให้คนตกตะลึงได้อย่างฉับพลัน หนำซ้ำยังเป็นพลังที่เหนือกว่าตนอีกต่างหาก
ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคใด ย่อมต้องสงสัยทันทีว่าเขามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
แม้ว่าลู่เซิ่งจะเพิ่งลงมือช่วยเหลือพวกเขาก็ตาม
ในเมื่อเขามีพลังแบบนี้ เหตุใดจึงยินยอมซ่อนตัวอยู่ในพรรคกระบี่บรรณภูผาเช่นนี้
หรือว่าหวังโหวจงจะเป็นคนที่เขาชักนำมา ไม่อย่างนั้นมหาปรมาจารย์พรรคอธรรมจะลงมืออย่างปรานีตั้งแต่แรกทำไม
ต่อให้จะมีความหลังกับผู้อาวุโสสูงสุดซ่งซิ่นหรู ก็ไม่จำเป็นต้องอดทนถึงขั้นนี้ ความเป็นไปได้มากที่สุด เกรงว่าจะไม่ใช่อดกลั้น แต่เพราะว่ากริ่งเกรงมากกว่ากระมัง
ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างผิดหวัง เพราะเห็นว่าไม่ได้มีเพียงแค่หวังเยวี่ยเท่านั้น แม้แต่ซ่งซิ่นหรูกับเหยียนชิ่นหรงก็ใช้สายตาเคลือบแคลงมองตัวเองเช่นกัน
วสัยทัศย์คับแคบเช่นมุสิกนัก[2]
ตอนนี้ความคิดที่เขาคิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พรรคกระบี่บรรณภูผาจางหายไปมากโข
อย่างไรผลกรรมของเฉินจื่อลัวก็เป็นแค่การใช้ชีวิตให้พิเศษกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรคกระบี่อยู่แล้ว
เพียงแค่มีความรู้สึกใกล้ชิดกับตู้เฟิงจื่อผู้เป็นอาจารย์กับศิษย์พี่หนิงเหมยเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เป็นแค่คนรู้จักเท่านั้น
อย่างไรเขาก็เป็นลูกกำพร้า ครั้งกระโน้นถูกตู้เฟิงจื่อเก็บมาเลี้ยงตอนอยู่กลางกระแสคลื่น แล้วค่อยเริ่มเรียนกระบี่ ส่วนคนที่คอยชี้แนะเขาในเวลาส่วนใหญ่คือศิษย์พี่ในสายเดียวกันอย่างหนิงเหมย
……………………………………….
[1] ดาวช่วยชีวิต เป็นการเปรียบเปรยถึงผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
[2] วิสัยทัศน์คับแคบเช่นมุสิก เป็นสำนวนจีน ด้วยสายตาของหนูสามารถมองเห็นระยะเพียง 1 นิ้วเท่านั้น จึงเป็นการเปรียบเปรยถึงวิสัยทัศน์ที่คับแคบ ไม่อาจมองการณ์ไกล