ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 794 พันธมิตรอธรรม (2)
ฝ่ายอธรรมจัดงานชุมนุมใหญ่ มหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมก่อตั้งพันธมิตรสามานย์ แต่กลับรับตำแหน่งรองผู้นำ ว่ากันว่าผู้นำที่แท้จริงคือผู้เข้มแข็งลึกลับที่มีความเป็นมาซับซ้อน
ไม่มีใครรู้สถานะของผู้นำตัวจริง แต่ทุกคนต่างทราบว่า คนที่ทำให้มหาปรมาจารย์หวังโหวจงยอมอยู่ในอันดับสองได้ ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เกิดข่าวลือมากมาย คาดเดากันเองก็ไม่น้อย แต่ไม่มีใครเป็นตัวจริงสักคน
ลู่เซิ่งในเวลานี้กลับแอบไปถึงตีนเขาของเขาเส้าหลิน พรรคใหญ่อันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ
เส้าหลินในโลกใบนี้ไม่ใช่วัดเส้าหลินบนโลกใบเดิม หากแต่เป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งที่ใช้ชื่อภูเขามาตั้งชื่อ
เป้าหมายหลักที่ลู่เซิ่งมายังโลกใบนี้คือการตามหาดวงตาแห่งความเลวทราม และหากต้องการตามหาดวงตาแห่งความเลวทราม พลังของเขาแค่คนเดียวย่อมไม่เพียงพอ
ในโลกที่ไม่อาจปล่อยจิตวิญญาณได้แห่งนี้ การอาศัยกำลังคนย่อมเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นเขาจึงคิดรวบรวมขุมกำลังเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยตัวเองตามหาเบาะแสที่เป็นไปได้ของดวงตาแห่งความเลวทรามให้เร็วที่สุด
หลังจากควบคุมฝ่ายอธรรมได้ในครั้งเดียว เป้าหมายต่อมาของเขาก็คือเขาเส้าหลิน พรรคอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ
ลู่เซิ่งที่ยามนี้ดูเหมือนผู้แสวงบุญทั่วไปกำลังขึ้นเขาท่ามกลางฝูงชน เข้าไปในอารามจุดธูปสองสามดอกกราบไหว้สักการะอย่างนอบน้อม
ภายในอารามสีทองอร่ามงดงามมั่งคั่ง มุมหนึ่งมีหลวงจีนหัวล้านหน้าตาเคร่งขรึมนั่งอยู่ไม่น้อย
หลวงจีนเหล่านี้บ้างก็สวดมนตร์แผ่วเบา บ้างก็หลับตาทำสมาธิ บ้างก็ถือตำราอ่านอย่างตั้งใจ
ลู่เซิ่งคุกเข่าบนเบาะกลม หลับตาอธิษฐานต่อพระพุทธรูป เข้าใจดีว่าโลกใบนี้เป็นโลกพลังงานสูง หากวางเล่ห์กลอะไรเอาไว้จริง พรรคใหญ่ที่สะกดฝ่ายอธรรมและฝ่ายมารมาหลายพันปีเช่นนี้ย่อมรู้ตัวแน่นอน
ตอนนี้มารดาแห่งความเจ็บปวดกับขุมกำลังความมืดเบื้องหลังนางอาจจะเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา ถ้าเขาเสียเวลาอยู่บนโลกใบเล็กๆ นี้นานเกินไป ก็เป็นไปได้มากที่จะพลาดเรื่องใหญ่ในโลกมารสวรรค์
ดังนั้นลู่ซิ่งจะต้องจัดการผลกรรมของที่นี่ พร้อมกับตามหาที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทรามให้เจอโดยเร็ว
“อามิตาพุทธ ประสกช่างมีน้ำใจ วันหน้าย่อมได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน” หลังจากลู่เซิ่งลุกขึ้นและโยนแท่งเงินแท่งหนึ่งเข้าไปในหีบทำบุญ เณรที่อยู่ด้านหลังหีบก็พลันยิ้มบาน กล่าวกับลู่เซิ่งด้วยเสียงอ่อนโยน
ลู่เซิ่งยิ้ม หวังว่าคืนนี้เขาจะยังยิ้มได้อยู่
การขึ้นเขาเส้าหลินในครั้งนี้ได้ยืนยันความคิดที่จะจัดการเส้าหลินของเขา ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่ด้วยที่นี่มียอดฝีมือมากมาย และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ว่ากันว่าในหอเก็บตำรา ซ่อนคัมภีร์โบราณแต่ละชนิดตลอดระยะเวลาหลายพันปีเอาไว้
หลังจากไหว้พระเสร็จ ลู่เซิ่งก็ลงเขาอย่างรวดเร็วเพื่อไปเจอหวังโหวจงที่มาถึงตำบลเล็กๆ ตรงตีนเขาก่อนแล้ว
“มั่นใจหรือไม่”
ด้านในโรงเตี๊ยม ลู่เซิ่งถามหวังโหวจงอย่างไม่อ้อมค้อมถึงโอกาสที่หวังโหวจงจะโจมตีเส้าหลินสำเร็จมีมากแค่ไหน
“ไม่น่าดูชมเท่าไหร่ เส้าหลินสั่งสมขุมกำลังมานับพันปี แทบจะยืนยันได้ว่ามีมหาปรมาจารย์แน่นอน” หลังจากหวังโหวจงพ่ายแพ้ให้แก่ลู่เซิ่ง เขาก็ไปแพ้อีกครั้งหลังจากลงเขา ต่อมาก็พนันแพ้ลู่เซิ่ง จึงรับปากเป็นบริวารของบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบปีผู้นี้
สำหรับหวังโหวจงที่ปัจจุบันมีอายุหนึ่งร้อยสิบกว่าปี เป็นไปได้มากทีเดียวว่ายี่สิบปีจากนี้จะเป็นเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเขา ทว่าเขายังคงตอบรับโดยไม่อิดออด เพียงเพราะเขาเห็นความหวังที่ฝ่ายอธรรมจะรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งจากตัวลู่เซิ่งนั่นเอง
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาสัมผัสได้ถึงแรงคุกคามอันแข็งแกร่งเฉกเช่นคนลึกลับใต้ดินที่เขาเคยเจอในโลกพลังวิญญาณจากบนเขาเส้าหลิน
ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัศจรรย์นัก เขาเส้าหลินจะต้องซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้ไว้แน่ แต่เขาไม่ใช่คนอ่อนแอในวันวานอีกแล้ว
“ระดมคนมาได้เท่าไหร่” ลู่เซิ่งใคร่ครวญก่อนจะถามอีกครั้ง
“มีคนเกือบหมื่นมาถึงแถวระแวกนี้แล้ว พร้อมจะชักอาวุธจู่โจมเส้าหลินได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ท่านผู้นำจะต้องทราบก่อนว่าแค่คนจากฝ่ายอธรรมเหล่านี้ยอมสู้ให้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่จะให้สู้ถึงที่สุดคงไม่อาจทำได้”
ลู่เซิ่งผงกศีรษะ เขาเข้าใจคำเตือนของหวังโหวจงดี
คนจากฝ่ายอธรรมรักตัวกลัวตายที่สุด ดังนั้นทุกคนล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบาย หากจะให้โค่นล้มเขาเส้าหลินที่เป็นวัดโบราณอายุนับพันปีซึ่งๆ หน้า นั่นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ
“ไม่เป็นไร เตรียมลงมือเลย” ลู่เซิ่งมองเขาเส้าหลินที่อยู่ด้านหลัง พลันรู้สึกใจสั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้
“นอกจากนี้ ว่ากันว่าสำนักวิญญาณร้ายกับลัทธิสังหารโลหิตก็จะเข้าร่วมด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ร่วมมือกับพวกเรา” หวังโหวจงว่าต่อ
“สำนักวิญญาณร้ายกับลัทธิสังหารโลหิตเป็นขุมกำลังใหม่ที่เพิ่งผุดขึ้นมาได้ไม่กี่สิบปี ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้สำนักวิญญาณร้ายมีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ต่อมาตกต่ำลงเรื่อยๆ แล้วเพิ่งจะมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งในไม่กี่สิบปีมานี้ เป็นไปได้ว่าจะมีการสั่งสมอยู่บ้าง ไม่ทราบจะส่งผลกระทบต่อแผนการของท่านผู้นำหรือไม่”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าไม่ได้เอ่ยตอบ
เขาต้องการทดลองดูว่าพลังงานสูงบนโลกใบนี้อยู่ตรงไหนกันแน่
โลกมารสวรรค์เป็นโลกพลังงานสูงสุดขีด มารสวรรค์และผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนแสดงจุดนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับมองไม่ออกแล้ว
เขาเดินเข้าไปนั่งในเพิงขายน้ำชาแห่งหนึ่งข้างถนน ก่อนจะสั่งขนมกินเล่นกับชาร้อนพร้อมกับหวังโหวจงคนละชุด แล้วรอคอยอย่างสงบ
มีคนส่งสัญญาณลับออกไปแล้ว
แม้คนของฝ่ายอธรรมจะไม่สามัคคีกัน แต่ถ้าใช้ได้ดีก็มีประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน
สักพักหนึ่ง คนเดินถนนที่ตอนแรกพลุกพล่านก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ บางครั้งมีหลายคนก้าวเท้าอย่างรีบเร่ง จากไปอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่ร้านน้ำชาคล้ายได้รับข่าวอะไร จึงรีบวิ่งมาเตือนพวกลู่เซิ่งให้หลบหนี แต่ลู่เซิ่งไม่สนใจ
ทางเถ้าแก่ พอเก็บเงินเรียบร้อยแล้วก็ไปซ่อนตัวโดยไม่สนใจผู้ใดอีก
“เห็นหรือยัง คนที่อยู่ที่นี่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในที่แห่งนี้ได้ ย่อมเพราะมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง” ลู่เซิ่งดื่มชา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ ท่านผู้นำอยากบอกอะไรหรือ” หวังโหวจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แค่สะท้อนใจเท่านั้น” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย เขาดื่มชาในมือจนหมดก่อนจะลุกขึ้น
เวลานี้ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าจากด้านนอกตำบลได้รางๆ แล้ว ยอดฝีมือจากฝ่ายอธรรมจำนวนมากถือดาบถือกระบี่โถมขึ้นเขามา
หลวงจีนนักรบจำนวนไม่น้อยพุ่งลงเขาไป ถือไม้เท้าอักขระเข้าต่อสู้กับยอดฝีมือจากฝ่ายอธรรมกันพัลวัน
แต่ดูเหมือนสองฝ่ายจะควบคุมตัวเองไว้ ไม่ได้เจอกันก็เข่นฆ่ากันทันที
ลู่เซิ่งยิ้มก่อนจะเดินขึ้นเขาไป
ขณะขึ้นบันได บนบันไดขึ้นเขาแนวแรกมีหลวงจีนนักรบหกเจ็ดคนกำลังจับคู่สู้กับคนจากฝ่ายอธรรม ขวางบันไดที่ใช้ขึ้นด้านบนไว้พอดี
หวังโหวจงก้าวเท้าขึ้นหน้า ประกายสีเงินในมือพุ่งแวบออกไป
ฉึกๆๆ…
หลวงจีนนักรบที่เพิ่งจะต่อสู้ปานมังกรพยัคฆ์ผุดสีหน้าเจ็บปวด กุมมีดบินที่อยู่บนอกพร้อมกับกลิ้งล้มลงบนพื้น
ลู่เซิ่งมุ่งหน้าขึ้นไปโดยไม่หยุดฝีเท้า ตัดผ่านทางโค้งและแท่นราบหลายแห่ง หลวงจีนนักรบที่เจอระหว่างทางถูกสังหารอย่างง่ายดายด้วยมีดบินของหวังโหวจง
ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสองพากันตามมา สภาวะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับลูกหิมะกลิ้ง
ไม่นานนักก็ถึงช่วงสันเขา ด้านหน้าอารามบนเขาแห่งหนึ่ง หลวงจีนชราห่มจีวรสีแดงสามรูปนำหลวงจีนนักรบแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าอยู่ที่นี่ ขวางทางขึ้นเขาที่ทอดยาวไปด้านบนไว้
“อามิตาพุทธ ข้าเจียเฉวียน คำนับประสกทุกท่าน” หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวที่เป็นผู้นำมองดูหวังโหวจงกับลู่เซิ่งด้วยสีหน้าและสายตาสงบนิ่ง
“ร้อยปีผ่านมา ดูเหมือนพวกท่านจะมาเพื่อสิ่งนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำตามประสงค์ของสวรรค์เถิด” หลวงจีนเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สิ่งนั้นหรือ” ลู่เซิ่งจับสังเกตได้ “นอกจากพวกเราแล้ว ยังจะมีใครขึ้นเขาอีก”
หลวงจีนเฒ่าเจียเฉวียนเพ่งมองร่างของลู่เซิ่ง
“ยังมีสำนักวิญญาณร้ายกับลัทธิสังหารโลหิต ทางนั้นมีหัวหน้าผู้คุ้มกฏไปถึงแล้ว ที่นี่ข้าเป็นคนขวางเอง ประสกทุกท่าน ประสงค์ของสวรรค์มิอาจขัดขืน โปรดจากไปแต่โดยดีเถิด”
“อาจารย์ พวกมันสังหารศิษย์พี่ของพวกเราไปตั้งมากมาย! จะปล่อยให้พวกมันลงเขาไม่ได้!” ในหมู่หลวงจีนนักรบมีคนตะโกนด้วยความโศกเศร้าโกรธแค้น
“สังหารพวกมัน! แก้แค้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้อง!”
“ฆ่า!”
หลวงจีนนักรบกลุ่มนี้เลือดลมพลุ่งพล่าน ความแค้นเข้าครอบงำ ลืมศีลของพระพุทธเจ้าไปหมดสิ้น
“น่าสนใจ” ลู่เซิ่งยิ้มพลางมองหวังโหวจง
“ขวางพวกเขาไว้” หวังโหวจงโบกมือ ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมกลุ่มใหญ่พลันพุ่งออกมาจากด้านหลังคนทั้งสอง วีรชนอย่างน้อยมากกว่าครึ่งของเก้าสำนักสิบหกลัทธิต่างติดตามอยู่ด้านหลังเขาหมดสิ้น
คนกลุ่มนี้อย่างแย่ที่สุดเป็นยอดฝีมือกระแสสองกระแสสามของยุทธจักร แม้จะไม่ได้สามัคคีกัน แต่ใช้รับมือหลวงจีนนักรบเหล่านี้ได้อย่างเหมาะเจาะ
ส่วนหลวงจีนเจียเฉวียนผู้นั้น หวังโหวจงเป็นผู้ลงมือเอง
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด ดาบสะบั้นศีลกับดาบตรงฟันใส่กันเกิดเสียงดังลั่น คนนอกแทบจะมองเห็นเงาดาบไปทั่วทุกที่
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจบ้างก็คือ หลวงจีนเฒ่าผู้นั้นต้านทานหวังโหวจงได้ชั่วขณะหนึ่งจริงๆ วัดโบราณอายุนับพันปีสมคำเล่าลือทีเดียวเชียว
“ท่านผู้นำไปก่อน อีกประเดี๋ยวข้าตามไป” หวังโหวจงกล่าวเสียงขรึม
“เขาเส้าหลินสมคำร่ำลือจริงๆ” เขาถอนใจชมเชยประโยคหนึ่ง ก่อนจะตัดผ่านคนทั้งสองมุ่งหน้าขึ้นเขาต่อ
ครั้งนี้ไม่มีใครขวางอีก สะดวกสะบายตลอดทาง
บนยอดเขาคือลานฝึกปูหยกขาวเหมือนกว้างขวาง วัดสีทองยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังลานฝึก
หลวงจีนของเขาเส้าหลินมารวมตัวกันบนลานอยู่ไม่น้อย กำลังประจัญหน้ากับยอดฝีมือฝ่ายอธรรมสิบกว่าคนภายใต้การนำของหลวงจีนจีวรขาวสองสามรูป
แตกต่างจากตีนเขาตรงที่สถานการณ์บนเขาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เหล่ายอดฝีมือฝ่ายอธรรมถูกล้อมไว้เป็นชั้นๆ ไม้ตะบองจำนวนมากเหวี่ยงฟาดลงมา สร้างความกดดันอย่างมหาศาลให้แก่พวกเขา
บนพื้นมียอดฝีมือฝ่ายอธรรมจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นเขามาก่อนทรุดนอนอยู่นานแล้ว
ลู่เซิ่งเพิ่งจะขึ้นเขา ก็มีคนสังเกตเห็นทันที
“เป็นมัน! ผู้นำแห่งพันธมิตรสามานย์!” หลวงจีนหลายคนจดจำลู่เซิ่งได้ในทันใด
ลมเย็นพัดหวีดหวิว ป่าไม้โดยรอบส่งเสียงซู่ซ่า
เหล่าหลวงจีนที่กำลังจับกลุ่มรุมโจมตีพลันแตกตื่น พากันถอยหลังและจ้องมองลู่เซิ่งอย่างระแวดระวัง
เวลานี้หลวงจีนชราที่สวมจีวรสีทองพื้นแดงรูปหนึ่งด้านหลังเหล่าหลวงจีนค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพ่งมองมาทางด้านลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า
“เจ้ามารร้าย!” หลวงจีนเพียงมองลู่เซิ่งแวบเดียว ก็ยืดตัวขึ้น ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ทันที
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้ความสามารถอะไร ข้าก็ไม่มีทางมอบของสิ่งนั้นให้พวกเจ้าเด็ดขาด” เขามีสีหน้ายืนหยัด กล้ามเนื้อผอมแห้งทั่วร่างขยายใหญ่เหมือนกับเป่าลม ผ่านไปแค่สิบกว่าวินาที หลวงจีนชราก็คืนร่างกลับไปอยู่ในสภาพวัยฉกรรจ์ที่รุ่งโรจน์ที่สุดใน
“น่าสนใจ…เคลื่อนเลือดลมต่อหน้าข้าหรือ” ลู่เซิ่งเหลียวมอง พลันเห็นหยกทรงกลมสีแดงอมม่วงเม็ดหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอหลวงจีนชรา
หลวงจีนคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นชายชราแต่กลับห้อยหยกที่มีสีสันงดงามแบบนี้ไว้บนคอ แสดงให้เห็นว่าไม่ธรรมดา
“ต้องการหยกคุมวิญญาณสัตตะนภาหรือ เช่นนั้นก็มาแย่งจากศพของข้าไปเถิด!”
หลวงจีนชรายื่นมือไปจับไม้เท้าปราบมารสีดำที่ยาวสองหมี่กว่าๆ ท่อนหนึ่ง พร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าหาลู่เซิ่งด้วยกล้ามเนื้อที่เหมือนกับเหล็กกล้า
“ดูเหมือนนั่นจะเป็นสิ่งสำคัญ” ลู่เซิ่งยิ้มและสืบเท้าขึ้นหน้า โซ่บนร่างส่งเสียงดังกริ๊งกร๊าง แล้วดีดออกมาอยู่ในมือเขา
“ท่านผู้นำระวังตัวด้วย นั่นคือหยกคุมวิญญาณสัตตะนภา คนที่สวมใส่จะมีพละกำลังไร้สิ้นสุด สามารถรักษาสภาพสมบูรณ์ไว้ได้ตลอดเวลา แถมยังไม่อาจทะลวงพลังป้องกันได้ด้วย”
หวังโหวจงไม่ทราบขึ้นเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ่ยเตือนเสียงทุ้ม
“พละกำลังไร้สิ้นสุดหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็เห็นหลวงจีนยกไม้เท้าปราบมารโถมพุ่งตัวเข้ามาฟาดใส่เขา
เขาใช้สองแขนยกโซ่ขึ้นป้องกัน
เปรี้ยง!
พละกำลังมหาศาลกระแทกจนใต้เท้าของลู่เซิ่งระเบิดยุบเป็นหลุมทรงกลมกว้างหนึ่งหมี่กว่า
……………………………………….