ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 796 พันธมิตรอธรรม (4)
คนสวมอาภรณ์เทาสองคนพูดไม่ผิดจริงๆ พวกเขาเป็นเมล็ดแห่งแก่นปฐม หากคนธรรมดาครอบครองแก่นปฐมนี้จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนกับเจ้าอาวาสเขาเส้าหลินคนนั้นจริง
แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่าไม่มีผลต่อมารสวรรค์
เมื่อครู่ตอนลู่เซิ่งสู้กับหลวงจีนเฒ่า พวกเขาเห็นด้วยตาตัวเอง โดยเฉพาะพอเห็นลู่เซิ่งปะทะกับหลวงจีนชราที่เบิกเอาอายุขัยมาใช้ล่วงหน้าซึ่งหน้า ลูกตาของทั้งสองก็เกือบถลนออกมา
พึงทราบว่าสาเหตุที่เมล็ดนี้ถูกเรียกว่าเมล็ดแห่งแก่นปฐม เพราะพวกเขาครอบครองแก่นปฐมได้ และมีความสามารถเปิดใช้เกราะปฐมได้
เกราะชนิดนี้เทียบได้กับสภาพที่แข็งแกร่งกว่าของหลวงจีนชราในฉบับอ่อนแอ เพียงแต่ประโยชน์ก็คือไม่มีผลข้างเคียง เพียงแค่ผลาญพลังกายอย่างใหญ่หลวงเท่านั้น
เหล่าเมล็ดแห่งแก่นปฐมอาศัยความสามารถนี้ อาศัยแก่นปฐมสร้างเขตดวงดาวของตัวเองขึ้นในโลกมารสวรรค์
ส่วนคนที่ครอบครองแก่นปฐมกับคนที่ไม่มีแก่นปฐมนั้นเหมือนเอาคนธรรมดาที่ถือปืนมาสู้กับคนธรรมดาที่มีแต่มือเปล่า
นั่นคือความแตกต่างในด้านการต่อสู้ระดับหลายสิบเท่าหรือถึงขั้นมากกว่าร้อยเท่าตัว
ทว่าตอนนี้ พวกเขาเห็นอะไรกัน?!
คนธรรมดาในโลกใบเล็ก กลับสู้ตัวประหลาดที่ครอบครองแก่นปฐมและเบิกเอาพลังชีวิตมาใช้ล่วงหน้าได้!
เหมือนกับคนธรรมดาใช้มือเปล่าหมัดเปลือยสู้กับผู้ขับเคลื่อนหุ่นรบ
ความแตกต่างในทางทฤษฎีของคนทั้งสองแทบเหมือนช้างกับแมลง
แต่สุดท้ายลู่เซิ่งกลับชนะ
คนสวมอาภรณ์เทาทั้งสองคนมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา เหมือนกับไม่สนใจการตัดสินใจของเขา แต่กลับปาดเหงื่อในใจ
หากว่าลู่เซิ่งเปลี่ยนใจ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความตาย
‘ตัวประหลาดนี้…หากรู้แต่แรกว่ามันจะไล่ตามมาทัน คงไม่เสี่ยงอันตรายแย่งแก่นปฐมแล้ว!’ คนสวมอาภรณ์ดำที่ผอมกว่ารู้สึกหัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
หากว่าหลอกไม่ได้ การเดินทางในโลกเล็กๆ ใบนี้ของพวกเขาจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนด ถึงขั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างหลักที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณด้วย
อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตัวประหลาดระดับสุดยอดที่ต่อสู้กับแก่นปฐมได้อย่างสมบูรณ์
ลู่เซิ่งขวางอยู่ด้านหน้าคนทั้งสอง กวาดสายตาที่แหลมคมเย็นชาผ่านร่างของพวกเขาไปมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หนึ่งชั่วก้านธูป? สองชั่วก้านธูป? หรือหนึ่งชั่วโมง
ในที่สุดสายตาเหี้ยมโหดของลู่เซิ่งก็เคร่งขรึมลงและตกลงบนแก่นปฐมในมือคนทั้งสอง
“ทิ้งแก่นปฐมไว้ พวกเจ้าจะไปไหนก็ไป”
เฮ้อ!
ทั้งสองโล่งใจแทบจะพร้อมกัน
หัวใจที่เกร็งเขม็งมาโดยตลอดคลายตัว ความจริงพวกเขานึกเสียใจแต่แรกแล้ว ดันกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้ ต่อให้คิดจะทิ้งแก่นปฐมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ได้แต่ทำผิดถึงที่สุด
ดีที่อีกฝ่ายไม่พบความผิดปกติของพวกเขา อย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนที่จุติมามากกว่าร้อยครั้ง จึงบรรลุวิชาเสแสร้งถึงระดับปรมาจารย์แล้ว
“ท่านแน่ใจนะ” คนสวมอาภรณ์เทาร่างกำยำถาม แม้ในใจใคร่ปรารถนาจะทิ้งแกนปฐมที่เหมือนมันเผาลวกมือไป แต่เพื่อแสดงภาพลักษณ์ของตัวเองให้สมจริง คนสวมอาภรณ์เทาผู้นี้ต้องถามประโยคนี้อย่างเย็นชา
“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้าเชื่องช้า ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
คนสวมอาภรณ์เทาทั้งสองสบตากัน คนผอมจึงค่อยวางแก่นปฐมในมือลงกับพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นและถอยห่างออกไปด้านหลัง
“หวังว่าท่านจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้”
“ข้าไม่เคยเสียใจกับเรื่องใดที่เคยทำลงไป ไม่ว่าจะถูกหรือผิด” ลู่เซิ่งว่า
คนสวมอาภรณ์เทาสองคนแค่นเสียงก่อนจะเดินไปยังที่ไกลด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
ตั้งแต่ตีนเขาถึงตำบลใกล้ๆ ต้องเดินเท้าครึ่งชั่วยาม ทั้งสองออกห่างจากอาณาเขตสายตาของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงก้าวย่างอย่างเยือกเย็น เหมือนไม่มีความลนลานใดทั้งสิ้น
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บเมื่อครู่…”
“ชู่ว…” คนสวมอาภรณ์เทาร่างกำยำกำลังจะถามเสียงเบา พลันเห็นสหายทำท่าปากบอกให้เงียบ จึงได้สติและรีบหุบปากทันที
ทั้งสองเดินต่อไปเป็นเวลาสิบกว่านาที คนอาภรณ์เทาร่างกำยำค่อยผ่อนคลายร่างกาย เหมือนกับในที่สุดของที่มีอันตรายก็ออกห่างจากตนเองไปแล้ว
“ฟู่ว…พูดกันได้แล้ว!” คนสวมอาภรณ์เทาร่างผอมค่อยถอนใจ และยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า
คนสวมอาภรณ์เทาร่างกำยำค่อยพบว่า บนใบหน้าของสหายมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่เต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
“คนผู้นั้นเพิ่งไปหรือ” คนสวมอาภรณ์เทาร่างกำยำเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นเบาๆ
“อือ แก่นปฐมยังมีอีกหลายอัน แต่ถ้าครั้งต่อไปเจอเขาอีก ข้าขอยอมแพ้แล้วกลับบ้านเก่าดีกว่า ความรู้สึกที่เส้นประสาทเกร็งตึงเหมือนเผชิญศัตรูทางธรรมชาตินั้นทรมานเกินไปแล้ว” คนสวมอาภรณ์เทาถอนใจยาวเหยียด
“แม้ว่าพวกเราจะทิ้งแก่นปฐมไปแล้ว แต่คนผู้นั้นเพียงเสแสร้งปล่อยพวกเรา เขาคอยตามหลังเพื่อสอดแนมพวกเรามาตลอดทางจนกระทั่งถึงเมื่อครู่ พวกเราไม่ได้แสดงช่องโหว่ใดๆ ระหว่างทาง เขาถึงค่อยรามือ” คนสวมอาภรณ์เทาร่างผอมเอ่ยด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
“ขี้ระแวงเกินไปแล้ว ความเคลือบแคลงแค่เพียงเล็กน้อยต่างถูกเขาขยายใหญ่ และกลายเป็นเรื่องจริงที่เขานึกเอาเอง”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่า ตอนแรกนึกว่าพลังของพวกเราสองคนถือว่าไร้ศัตรูในใต้หล้า และจะต้องถูกจัดอยู่ในห้าอันดับแรกแน่นอน นึกไม่ถึงว่า…” คนสวมอาภรณ์เทาร่างกำยำค่อนข้างจนใจ
“กลับไปวางแผนระยะยาวเถอะ ตัวประหลาดตัวนี้กับตัวประหลาดเฒ่านั้นไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา ตอนนี้คนที่ครอบครองแก่นปฐมอยู่ในมือมีไม่มาก แต่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดมีพวกเขาแค่สองคน ตอนนี้ตัวประหลาดเฒ่านั้นกำลังบีบคั้นยุทธจักรแห่งนี้ทีละก้าว ข้ากลับคาดหวังอยู่บ้าง รอเขามาถึงที่แห่งนี้แล้วเจอตัวประหลาดน้อยวิปริตอย่างเฉินจื่อลัวแล้วจะรู้สึกอย่างไรนะ”
“ไปเถอะ อย่างไรพวกเราก็ไม่มีแก่นปฐมแล้ว ไม่มีทางถูกคนอื่นหมายหัว คอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ก็พอ”
หลังจากทั้งสองคุยกันจบ ก็เร่งความเร็วหายไปจากที่ราบ
ไม่นานนัก เงาร่างของลู่เซิ่งก็ปรากฏตัวตรงจุดที่ทั้งสองหายไป จากนั้นก็กวาดตามองรอบข้าง
เขาแค่นเสียงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนำแก่นปฐมกลับไป
…
เขาเส้าหลินสืบทอดมานาน ไม่มีการบูรณะจึงทรุดโทรมก่อให้เกิดอัคคีภัยขึ้น เรื่องนี้กระจายไปทั่วยุทธจักรอย่างรวดเร็ว
ในฐานะพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายธรรมะ เขาเส้าหลินกลับประสบภัยพิบัติง่ายดายเช่นนี้
และในเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่สุดแล้วขุมกำลังใหญ่อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรมอย่างพันธมิตรสามานย์ ก็เข้าสู่สายตาของค่ายพรรคทั้งหมดในฝ่ายธรรมะอย่างสมบูรณ์
หลังผู้นำพันธมิตรเฉินจื่อลัวเอาชนะเจ้าอาวาสเขาเส้าหลินหรือหลวงจีนเฒ่าที่เหมือนตัวประหลาดรูปนั้นได้ พอศึกจบลง ขุมกำลังฝ่ายอธรรมก็เรียกเขาว่าราชาสามานย์ คำเรียกถึงขั้นสูงส่งกว่ามหาปรมาจารย์หวังโหวจงแห่งฝ่ายอธรรม
ตอนนั้นคนที่เห็นการต่อสู้ของลู่เซิ่งกับหลวงจีนมีจำนวนไม่น้อย พวกเขาได้เห็นการต่อสู้ที่แม้แต่หวังโหวจงก็ยังสอดมือเข้าไปไม่ได้
ชื่อราชาสามานย์ตกลงบนศีรษะลู่เซิ่ง แต่เขาไม่แยแส
นับตั้งแต่ได้แก่นปฐมมาครอง ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะมีขุมกำลังส่วนหนึ่งมาหา ถ้าไม่มาท้าประลอง ก็มาลอบสังหาร หรือไม่ก็มาล่อหลอก
พวกเขามีวิธีการมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
หลายวันให้หลัง ลู่เซิ่งก็ถือโอกาสให้ยอดฝีมือในพันธมิตรสามานย์คุ้มครองบริเวณรอบข้าง แล้วจัดคนกลุ่มใหญ่ไว้เฝ้าระวังรอบนอกอีกต่อหนึ่ง
การทำแบบนี้จะขัดขวางผู้มาทักทายส่วนใหญ่ไว้ได้
ในตอนนี้เอง คนของพันธมิตรสามานย์ส่งข่าวมาว่า เจอที่อยู่ของประมุขพรรคจำนวนมากที่ถูกจับตัวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
จ๊อก
น้ำชาสีเขียวอ่อนกระจ่างใสไหลออกจากปากของกาต้มชาอย่างช้าๆ ตกลงไปในจอกกระเบื้องดุจหยกขาวที่อยู่ด้านล่าง
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิในกระท่อมสีน้ำตาล แสงอาทิตย์สีเลือดจากอาทิตย์ยามอัสดงส่องไล่จากเท้าของเขาไปยังท่อนขา
เขาเปลี่ยนลูกตุ้มสองอันเป็นกระบี่ยักษ์สองเล่ม โซ่ยังคงรัดพันไขว้กันเป็นรูปกากบาทหน้าทรวงอก
ลู่เซิ่งยกชาขึ้นจิบแช่มช้า
“เหมือนที่คิดไว้…ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง แค่เดินทางไปเรื่อย ก็เจอคนครอบครองแก่นปฐมแล้ว…” อยู่ๆ ก็มีสตรีเย้ายวนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกกระท่อม
นางมีร่างกายอวบอัด โดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจ จงใจเผยร่องขาวโพลน สั่นไหวไปมายามก้าวเดิน เอวคอดกิ่วราวกับจะต้านทานน้ำหนักจากท่อนบนไม่ไหว
“น้องชาย บนตัวเจ้าสมควรมีหยกสีแดงอมม่วงก้อนหนึ่งกระมัง มอบมันให้พี่สาวเสีย แล้วปัญหาที่เจ้าเจอมาก่อนหน้านี้จะหายไปหมดสิ้น” นางยิ้มขณะมองลู่เซิ่ง
“คำพูดนี้ควรจะเป็นของฝั่งข้ามากกว่า แก่นปฐมเป็นของข้า คนอื่นไสหัวไป!” ทันใดนั้นบุรุษร่างสูงในชุดอาภรณ์เขียวที่สวมงอบคนหนึ่งก็เดินเขามาในกระท่อม
เขาถือเคียวสีดำเล่มหนึ่ง บนเคียวยังมีเลือดสีดำเหนียวข้นอาบอยู่
“ชิงสั่ว…นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาด้วย…” เสียงบุรุษแผ่วเบาอีกเสียงดังมาจากนอกกระท่อม คนที่สามได้มาถึงแล้ว
ลู่เซิ่งยังคงก้มหน้าต้มชาอย่างเยือกเย็น แล้วเติมชาใสจนเต็มจอกหยกขาวอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็วางกาต้มชาลง ขณะกำลังจะยกขึ้นดื่ม ก็พลันหยุดนิ่งแล้วเอาจอกชาใบใหม่ออกมาวางลงบนที่นั่งด้านหน้าตัวเอง
แล้วรินชาใสลงไปในจอกชาใบใหม่
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เติมชาใส่จอก จากนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก
เวลานี้เหล่าคนที่อยู่รอบข้างค่อยค้นพบความผิดปกติ ลู่เซิ่งเผชิญหน้ากับพวกเขาที่โผล่มาอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ไม่กลัว แต่ถึงขั้นไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย
เหมือนรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าพวกเขาจะมา
“เจ้า…เป็นใครกันแน่?!” สตรีร่างเย้ายวนคนแรกสุดค่อยผุดสีหน้าเคร่งขรึมขณะพิจารณาลู่เซิ่ง
อีกสองคนมีสีหน้าจริงจังเช่นกัน ตอนนี้มีคนใหม่ไม่น้อยล้อมที่นี่เอาไว้ พร้อมจะแย่งชิงแก่นปฐมได้ทุกเวลา
ตามหลักตรรกะทั่วไป ตอนนี้คนทั้งสามควรจะลงมือแต่แรก จากนั้นหลังจากได้แก่นปฐมมาค่อยรีบออกจากที่นี่ไปเพื่อป้องกันไม่ให้ตกสู่วงล้อม
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกเขาสามคนจึงเกิดความตึงเครียดที่อธิบายไม่ได้ตอนที่เตรียมจะลงมือ
“เจ้า…เป็นใครกันแน่!?” เสียงของบุรุษสวมงอบแหลมขึ้นเล็กน้อย
ลู่เซิ่งหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะตัวเอง เป็นหยกสีแดงอมม่วงทรงกลมก้อนหนึ่ง
“เจ้าเดาดูสิ”
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น สองตากลายเป็นสีแดงฉานดุจโลหิตตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
ทว่าหากสังเกตให้ละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่าตาขาวของเขาถูกริ้วเลือดสีแดงยึดครอง จนกลายเป็นภาพลวงตาขึ้นมา
“จงใจคลายการป้องกัน ส่งบริวารทั้งหมดไปด้านนอก รั้งอยู่ตามลำพังเพื่อล่อข้ามา ราชาสามานย์ เจ้านี่ช่างเชื่อมั่นในตัวเองเสียจริง”
เสียงทุ้มต่ำทรงพลังเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกกระท่อม
“ราชาสามานย์!”
พอได้ยินคำเรียกนี้ ร่างของคนทั้งสามที่เดิมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมพลันแข็งค้าง ต่างเสียวสันหลังวาบ
ตัวของคนทั้งสามเย็นเยียบลง หน้าซีดเผือดในบัดดล เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าถั่วไหลลงมาจากจอนผมอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งแสยะยิ้มเย็นชา
“ผู้อาวุโสอสรพิษนภาอยู่นี่ ต่อให้มีคนมากกว่านี้ก็ได้แต่ส่งไปตายเสียเปล่า เก็บไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
……………………………………….